สวีฮูหยินใหญ่ดูจะร้อนใจเรื่องหาลูกสะใภ้มากจริงๆ เพียงไม่กี่วัน ก็ส่งจดหมายจากตระกูลสวีมาถึงเยี่ยหลี ซึ่งเนื้อความบอกว่า ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้เรียบร้อยแล้ว รอเพียงให้สวีชิงเฉินกลับไปดูหน้าลูกสะใภ้เท่านั้น เมื่อได้รับจดหมายอย่างจริงใจของสวีฮูหยินใหญ่ เยี่ยหลีก็ได้แต่ยิ้มด้วยความจนใจ ลุกขึ้นเดินไปหาสวีชิงเฉินที่ห้องหนังสือ
เรือนหน้าของตำหนักติ้งอ๋อง เยี่ยหลีแบ่งสัดส่วนเป็นพื้นที่ทำงาน นอกจากห้องโถงใหญ่ที่เอาไว้เพื่อต้อนรับแขกเหรื่อและโถงประชุมสำหรับปรึกษาหารือโดยเฉพาะแล้ว ยังได้แบ่งห้องเล็กๆ ใหญ่ๆ ไว้ทำเป็นห้องหนังสืออีกหลายห้อง เพื่อให้เป็นห้องทำงานของขุนนางสายบุ๋นทั้งหลายของตำหนักติ้งอ๋อง
เมื่อเยี่ยหลีก้าวเข้าไปในห้อง ก็เห็นสวีชิงเฉินอยู่หลังโต๊ะหนังสือ กำลังนั่งสบายๆ จิบชาไปพลาง พลิกหนังสือพับในมือไปพลาง แล้วเยี่ยหลีก็นึกยอมใจในรัศมีของพี่ใหญ่ของตน สมญานามคุณชายอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้านั้น มิได้ได้มาเฉยๆ จริงๆ ทั้งๆ ที่เพียงนั่งคร่ำเคร่งจัดการงานอยู่ในห้องหนังสือ แต่สวีชิงเฉินกลับดูสง่างามโดดเด่น ประหนึ่งเป็นคุณชายเจ้าสำราญกำลังขับขานบทกลอนอยู่กระนั้น
“พี่ใหญ่” เยี่ยหลีก้าวเข้าไปในห้องหนังสือ แล้วเอ่ยเรียกขึ้นเบาๆ
สวีชิงเฉินวางฎีกาในมือลง ลุกขึ้นยิ้ม “หลีเอ๋อร์ เวลานี้เจ้ามาหาพี่ด้วยเรื่องอันใดหรือ”
เยี่ยหลียิ้มโบกมือเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ไม่ต้องเกรงใจหลีเอ๋อร์เช่นนี้ นั่งลงพูดคุยกันเถิด”
สวีชิงเฉินเลิกคิ้ว ค่อยกลับนั่งลงบนเก้าอี้อย่างไม่เกรงใจ อมยิ้มมองเยี่ยหลี รอให้นางเอ่ยปากพูดก่อน
เยี่ยหลีคิดไปคิดมาแล้วเอ่ยถามว่า “พี่ใหญ่ไม่ได้กลับจวนสวีหลายวันแล้วหรือ”
เดิมทีสวีชิงเฉินก็เป็นคนมีความคิดความอ่านฉลาดฉับไวอยู่แล้ว เพียงแค่เยี่ยหลีเอ่ยปาก ก็เข้าใจเจตนาของเยี่ยหลีทันที จึงยิ้มแล้วเอ่ยถามว่า “นี่ท่านแม่ให้เจ้ามาเกลี้ยกล่อมข้าให้กลับจวนไปดูหญิงหรอกหรือ”
เยี่ยหลีรู้สึกละอายใจขึ้นมาเล็กน้อย คำพูดนี้เดิมทีมิได้มีปัญหาอันใด แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดเมื่อออกจากปากสวีชิงเฉินแล้ว ถึงได้รู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นพิเศษ
เยี่ยหลีคิดไปคิดมา แล้วจึงนำจดหมายที่สวีฮูหยินส่งมาออกมายื่นให้สวีชิงเฉิน ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ถึงแม้หลีเอ๋อร์จะไม่ควรถามถึงเรื่องของพี่ใหญ่ เพียงแต่…อย่างไรพี่ใหญ่ก็ควรมีคำตอบให้ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ต่อให้เพียงเพื่อให้ท่านสบายใจก็ยังดี การที่พี่ใหญ่ผัดผ่อนไปเรื่อยๆ เช่นนี้ มิใช่นิสัยของท่านเลย และมีแต่จะทำให้ท่านป้าสะใภ้ใหญ่เป็นทุกข์”
สวีชิงเฉินเมื่อเห็นตัวอักษรที่เป็นลายมือของสวีฮูหยิน บนใบหน้าหล่อเหลามีสีหน้าจนใจและรู้สึกผิดอยู่หลายส่วน
เยี่ยหลีเอ่ยกับเขาเสียงเบาว่า “ไม่ว่าพี่ใหญ่จะมีเหตุผลหรือมีความคิดอันใด พูดคุยกับท่านป้าสะใภ้ใหญ่ให้ชัดเจนเลยจะดีกว่า เท่าที่หลีเอ๋อร์ดู ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านลุงใหญ่กับท่านตาก็มิใช่คนที่ไม่เข้าใจเหตุและผล หากพี่ใหญ่มีความคิดอันใด ผู้อาวุโสทุกคนก็คงจะไม่บังคับพี่ใหญ่ให้แต่งงานจริงๆ พี่ใหญ่เองก็ไม่จำเป็นต้องหลบท่านป้าสะใภ้ไปทุกวันเช่นนี้ มิใช่หรือ”
สวีชิงเฉินอึ้งไป ได้แต่ยิ้มแหยๆ อย่างจนใจ “หลีเอ๋อร์ดูออกหมดแล้วเหรือ”
เยี่ยหลีบิดมุมปากขึ้นยิ้ม “ชัดเจนออกมิใช่หรือ ต่อให้ซิวเหยาชอบอู้งานเพียงใด แต่ก็คงไม่ถึงขั้นโยนงานทั้งหมดมาให้พี่ใหญ่ เรื่องหนักเรื่องเบาเขาแยกออกอย่างชัดเจน แต่ช่วงนี้น้อยนักที่พี่ใหญ่จะกลับจวนสวีมิใช่หรือ”
สวีชิงเฉินเก็บกระดาษจดหมายลง ถอนใจออกมาเบาๆ หันมองเยี่ยหลีแล้วเอ่ยว่า “พี่รู้แล้ว อีกเดี๋ยวจะกลับไป”
เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ อมยิ้มมองสวีชิงเฉิน เอ่ยถามว่า “อยากให้เยี่ยหลีกลับไปเป็นเพื่อนพี่ใหญ่เพื่อเพิ่มความกล้าหรือไม่”
สวีชิงเฉินไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เมื่อส่งสวีชิงเฉินกลับไปแล้ว เยี่ยหลีจึงเดินกลับไปยังห้องหนังสือของตน เมื่อเข้าไปด้านใน ผ่านประตูเข้าไป ก็เห็นม่อซิวเหยากำลังนั่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ อ่านม้วนกระดาษฉบับหนึ่งอยู่อย่างออกรส
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเยี่ยหลี ม่อซิวเหยาก็รีบกวักมือเรียกนาง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “อาหลี รีบมาดูนี่เร็ว…”
เยี่ยหลีก้าวเข้าไปด้วยความใคร่รู้ “ดูอันใดหรือ”
เมื่อก้มลงดู กลับเป็นเรื่องราวที่สวีชิงเฉินประสบพบเจอมาตลอดชีวิต ที่องครักษ์ลับส่งขึ้นมาให้ นางขมวดคิ้วปรายตามองม่อซิวเหยาทีหนึ่ง ก่อนเลิกคิ้วเอ่ยถามว่า “ท่านให้คนสืบเรื่องพี่ใหญ่หรือ”
ม่อซิวเหยาโบกมือ เอ่ยว่า “ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อช่วยอาหลีนะ คนตระกูลสวีมิได้กำลังเป็นกังวลเรื่องการแต่งงานของสวีชิงเฉินหรอกหรือ สองวันนี้จิตใจอาหลีก็มัวแต่คิดพะวงด้วยเรื่องของเขาเช่นกันกระมัง”
เยี่ยหลีพยักหน้าทีหนึ่ง ถือว่าพอยอมรับคำอธิบายของเขาได้ แล้วเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นท่านพอมองอันใดออกหรือ”
ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้น มองเยี่ยหลีอย่างรู้สึกสงสาร
เยี่ยหลีอึ้งไป หรือจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกับพี่ใหญ่จริงๆ
“อาหลี เจ้าต้องทำใจดีๆ ไว้นะ” ม่อซิวเหยาตบมือเยี่ยหลีเบาๆ เอ่ยปลอบใจว่า “ข้าว่าพวกเราคงต้องคิดจริงจังเรื่องจะให้พี่ใหญ่เจ้าแต่งงานเสียแล้ว”
“หมายความเช่นไร” ม่อซิวเหยายกหนังสือพับในมือขึ้น “ยี่สิบกว่าปีมานี้ คุณชายชิงเฉินไปทำอันใดมาบ้าง ในนี้เขียนไว้โดยละเอียดไม่มีตกหล่น เพียงแต่…ไม่มีตรงใดเอ่ยถึงว่าเขาเคยมีอันใดกับสตรีนางใด หรือแม้กระทั่งเขาเคยปฏิบัติต่อสตรีนางใดเป็นพิเศษมาก่อน”
เยี่ยหลีหรี่ตาลง กัดฟันเอ่ยว่า “ดังนั้นท่านจึงคิดว่าพี่ใหญ่เป็นรักร่วมเพศ?”
ม่อซิวเหยาโยนจดหมายพับลงบนโต๊ะ ยืดเอวเล็กน้อย “แล้วจะมีอันใดอีกเล่า คุณชายชิงเฉินอีกสองปีก็จะอายุสามสิบปีแล้ว เจ้าเชื่อหรือว่า สามสิบปีมานี้คุณชายชิงเฉินจะไม่เคยแม้แต่ต้องมือสตรี”
เยี่ยหลียึดมั่นในความคิดของตน “ท่านบอกว่าพี่ใหญ่มีสายตาสูง จึงไม่ถูกใจสตรีบ้านๆ ทั่วไป”
ม่อซิวเหยากรอกตาขึ้นฟ้า แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เขาไม่เชื่อในคำปลอบใจตนเองของเยี่ยหลี
เยี่ยหลีจับใบหน้าที่หายสนิทดีแล้วของม่อซิวเหยาขึ้นมาอย่างไม่เห็นขัน หยิกซ้ายหยิกขวาดึงออกด้านข้าง “อย่าคิดแต่จะหาเรื่องให้พี่ใหญ่สิ เรื่องเช่นนี้หากพูดออกไปจะส่งผลไม่ดีต่อพี่ใหญ่นะเพคะ”
ม่อซิวเหยาดึงมือทั้งสองข้างของนางออกมาจับไว้ในมือตนอย่างรู้สึกเจ็บ ยกมือนวดใบหน้าส่วนที่โดนเยี่ยหลีดึง พลางเอ่ยถามว่า “อาหลีรังเกียจคนรักร่วมเพศหรือ”
เยี่ยหลีถลึงตาดุๆ ใส่เขา “ไม่รังเกียจ เพียงแต่…ห้ามพูดจาเหลวไหล! ต่อให้พี่ใหญ่เป็นรักร่วมเพศจริง ก็ต้องให้เขาพูดออกมาเองถึงจะถือว่าเป็นเช่นนั้น!”
ม่อซิวเหยาพยักหน้าอย่างว่าง่าย เช่นนั้นอาหลีก็เห็นด้วยที่สวีชิงเฉินเป็นรักร่วมเพศแล้วล่ะสิ
เยี่ยหลีที่ฟังเขาพูดจนงุนงงไปหมด ลืมไปเสียสนิทเลยว่า ในจดหมายพับขององครักษ์ลับ ถึงแม้จะมิได้มีเขียนไว้ว่าสวีชิงเฉินปฏิบัติต่อสตรีนางใดเป็นพิเศษ แต่ก็มิได้เขียนไว้ว่าเขาปฏิบัติต่อบุรุษคนใดเป็นพิเศษเช่นกัน
ไม่รู้ว่าสวีชิงเฉินเกลี้ยกล่อมสวีฮูหยินใหญ่อย่างไร หลังจากนั้นก็ไม่ได้ยินข่าวคุณชายตระกูลสวีมีการดูตัวแพร่ออกมาในเมืองหลีเลย แต่กลับเป็นสวีชิงเฉิน ที่จู่ๆ ก็รู้สึกว่า ทุกคราที่ลูกพี่ลูกน้องสาวมองตน สีหน้าของนางมักดูประหลาดและมีแววเป็นกังวลขึ้นหลายส่วน
หากจะถามว่า ในปีนี้ เรื่องที่สำคัญที่สุดของซีเป่ยคืออันใด สิ่งนั้นก็คือการสอบกลางครั้งใหญ่ที่จะจัดขึ้นในเดือนหกอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งนี่ถือเป็นการสอบคัดเลือกบุคคลผู้มีความสามารถครั้งแรก นับตั้งแต่ซีเป่ยก่อตั้งขึ้นมาได้ห้าปี จึงย่อมดึงดูดความสนใจของคนทุกฝ่าย ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการตอกย้ำจุดยืนที่ว่า ยามนี้ซีเป่ยและต้าฉู่ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป
แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนสนใจยิ่งไปกว่านั้นคือ การจัดสอบกลางครั้งใหญ่นี้ มิได้จำกัดอยู่แค่เพียงบัณฑิตในเขตซีเป่ยเท่านั้น บัณฑิตของต้าฉู่และซีเป่ย ขอเพียงเป็นผู้มีความสามารถอย่างแท้จริง ซีเป่ยเองก็ไม่ปฏิเสธ
ถึงแม้อากาศร้อนอ่อนๆ ในเดือนหกจะมิใช่ช่วงเวลาที่ดีในการจัดสอบเคอจวี่นัก แต่บัณฑิตที่มากล้นด้วยความรู้ความสามารถจากทุกพื้นที่ในซีเป่ย รวมถึงต้าฉู่และซีหลิง ต่างก็รอนแรมเดินทางไกลมาเพื่อให้ถึงเมืองหลีทันเวลากันอย่างไม่ขาดสาย
และด้วยเพราะหกเดือนหลังจากการสอบกลาง เมืองหลีจะมีการจัดประชุมการค้าที่จัดขึ้นปีละหนึ่งครั้ง พ่อค้าวานิชจากทุกแว่นแคว้นจึงทะยอยเดินทางไกล เพื่อนำสินค้าของตนมาขายให้ได้ราคาที่ดีขึ้น ดังนั้น ความอบอุ่นที่ผู้คนมีให้เมืองแห่งนี้ จึงร้อนแรงขึ้นประหนึ่งอากาศในหน้าร้อนที่ร้อนระอุ
เมื่อชั่วเวลาห้าปีผ่านพ้นไปแล้ว จึงไม่สามารถเอ่ยถึงเมืองหลีในยามนี้ เช่นเดียวกับเมื่อในวันวานได้อีกแล้ว แค่เพียงพื้นที่ของเมืองอย่างน้อยๆ ก็ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมกว่าหนึ่งเท่า พ่อค้าแม่ค้ารวมถึงสินค้าหลากหลายตระกาลตาก็มีให้เลือกอยู่เต็มถนน ไม่น้อยหน้าต้าฉู่หรือเมืองหลวงของต้าฉู่เลยแม้แต่น้อย บนถนนยังได้เห็นผู้คนที่การแต่งตัว สีผม สีผิวและดวงตาไม่เหมือนชาวบ้านซีเป่ยทั่วๆ ไป ซึ่งเดินทางมาจากพื้นที่ทางตะวันตกเดินไปเดินมาอยู่เป็นระยะอีกด้วย
ณ หนิงเซียงเก๋อ ภายในห้องที่อยู่ติดหน้าต่าง ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีนั่งหันหน้าเข้าหากัน กำลังจิบชาและพูดคุยกันสบายๆ อย่างที่น้อยนักจะได้เห็น พวกเขาคอยมองออกนอกหน้าต่างเป็นระยะๆ คลื่นฝูงชนบนท้องถนนเดินกันขวักไขว่
เยี่ยหลีเมื่อเห็นเช่นนี้ก็ให้รูสึกปลื้มใจและพึงพอใจเป็นที่สุด เมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่พวกเขาร่วมแรงรวมใจบริหารจัดการกันมาตลอดห้าปี ถึงได้มีความเจริญรุ่งเรืองและความสงบสุขเช่นในวันนี้ เช่นเดียวกับพื้นที่ในเขตซีเป่ย พวกเขาทุกคนร่วมกันปกป้องผืนแผ่นดินแห่งนี้ และร่วมกันปกป้องชาวบ้านทุกคนในผืนแผ่นดินแห่งนี้ให้อยู่อย่างสงบสุข
เมื่อหันไปมองบุรุษที่นั่งอยู่ตรงข้ามตน ในใจเยี่ยหลีก็เกิดความอบอุ่นและหวานล้ำขึ้นทันที พวกเขามิได้เป็นเพียงสามีภรรยากันเท่านั้น แต่พวกเขาคอยอยู่เคียงข้าง เคียงบ่าเคียงไหล่ พึ่งพากันเสมอมา พวกเขามีความคิดและความรับผิดชอบที่เหมือนกัน
“อาหลีกำลังคิดอันใดหรือ ถึงได้ดูมีความสุขเช่นนี้” ม่อซิวเหยาวางถ้วยชาลง มองภรรยาที่ระบายยิ้มด้วยความพอใจอยู่เต็มไปหน้าด้วยสีหน้าอบอุ่น
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ไม่มีอันใด แค่เพียงรู้สึกว่าการได้เห็นภาพเช่นนี้ ช่างน่ายินดียิ่งนัก”
เขามองตามสายตาเยี่ยหลีลงไปด้านล่าง ผู้คนเดินผ่านไปมาอยู่บนท้องถนน ภรรยาสาวที่ตั้งแผงขายเครื่องประทินผิวอยู่บนถนน ถึงแม้เสื้อผ้าจะซอมซ่ออยู่เล็กน้อย แต่บนใบหน้ากลับมีรอยยิ้มแห่งความสุข
ครอบครัวพ่อแม่กับลูกอายุประมาณสามสี่ขวบที่เดินอยู่บนถนน เด็กน้อยชี้นิ้วไปยังถังหูลู่* ด้วยความอยากซื้อถังหูลู่ ชายชราอายุประมาณหกสิบปีเดินไปข้างหน้าท่ามกลางผู้คนด้วยฝีเท้าที่มั่นคง ยังมีบัณฑิตหนุ่มอีกจำนวนไม่น้อยที่เดินผ่านไปมา บนใบหน้าของทุกคนดูจะมีประกายประหลาดและรอยยิ้มปรากฏให้เห็น
ม่อซิวเหยาหันกลับมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่หนักแน่นว่า “ขอเพียงมีพวกเราอยู่ พวกเขาจะมีชีวิตที่มีความสุขเช่นนี้ตลอดไป”
เยี่ยหลีพยักหน้า เอ่ยเสียงเบาว่า “อันที่จริงสิ่งที่ชาวบ้านต้องการก็มิได้มีอันใดมากนัก ของเพียงให้พวกเขาได้มีชีวิตที่สงบสุข กินให้อิ่ม มีเสื้อผ้าใส่ให้อบอุ่น พวกเขาก็คงนึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งแล้ว”
ม่อซิวเหยาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ก็ใช่น่ะสิ ยามนี้คนที่ชาวบ้านในซีเป่ยต่างให้ความเคารพนับถือเป็นที่สุด ก็คืออาหลีของข้านี่เองมิใช่หรือ หากไม่มีอาหลี พวกเขาจะมีชีวิตที่ดีเช่นวันนี้ได้อย่างไร”
แผนการค้ากับต่างแดนของซีเป่ย เป็นสิ่งที่อาหลียกขึ้นมา การขยายพื้นที่เพาะปลูกที่พื้นที่ราบทางตอนเหนือ ก็เป็นสิ่งที่อาหลียกขึ้นมา คำพูดของเขานี้ มิใช่เป็นคำพูดยกยอลอยๆ เท่านั้น อาหลีทำเพื่อซีเป่ย กองทัพตระกูลม่อและเพื่อเขามามากเกินไปแล้วจริงๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ม่อซิวเหยานึกขอบคุณในความโชคดีของตนที่ได้แต่งงานกับภรรยาที่เก่งกาจเช่นนี้
เยี่ยหลีบิดมุมปากขึ้นเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านอ๋องกล่าวชมเกินไปแล้ว ข้าก็เพียงแค่ขยับปากขยับพู่กันเท่านั้น คนที่ต้องไปลงมือทำจริงๆ ล้วนเป็นผู้อื่น”
ม่อซิวเหยายิ้ม “ถึงแม้จะมีหลายเรื่องที่คนทั่วไปสามารถทำได้ แต่กลับไม่เคยมีผู้ใดคิดได้มาก่อน ดังนั้นอาหลีจึงเป็นคนที่ได้รับความดีความชอบเป็นอันดับแรก”