ตอนที่ 110 ภาพชายหนุ่มรูปงามออกมาจากห้องน้ำ
ในเวลาเช้าตรู่ มีเพียงไฟไม่กี่ดวงที่ยังคงสว่างไสวอยู่ใน บ้านวิบูลย์ธนภัณฑ์ ในตอนดึกนี้ที่สุมิตรพึ่งจะทำงานเสร็จ และ ตอนนี้พึ่งจะกลับมาถึง
คิดถึงผู้หญิงคนนั้นที่ช่วงนี้ดูเหมือนจะเงียบขรึมอยู่นิด หน่อย ระหว่างทางเดินกลับห้องสุมิตรก็ได้มองไปที่ห้องของจัน วิภา แต่กลับพบว่าจันวิภานั้นไม่ได้อยู่ข้างในห้อง
“นางแพศยา มันยากนักหรือไงที่จะไม่ออกไปเกี่ยวผู้ชาย ข้างนอก?” สุมิตรไม่พอใจอยู่เล็กน้อย เขาหันตัว จึงได้เห็นห้อง ของนวาระที่อยู่ไม่ไกลเปิดประตูทิ้งเอาไว้
สุมิตรเข้าไปมองดูใกล้ๆ บนเตียงว่างเปล่าไม่มีคนอยู่!
คนไปไหนกันหมด? !
สุมิตรตระโกนเรียกสาวใช้ทันที ทั่วทั้งร่างแผ่ช่านกลิ่น อายที่เย็นยะเยือกออกมา มองไปยังสาวใช้ที่ตัวสั่นเทา สุมิตร เอ่ยถามขึ้นมา “พวกเธอสองคนไปไหนแล้ว”
สาวใช้เคร่งเครียด ไม่กล้าสบตาสุมิตร ทั่วทั้งตัวสั่นเทา แล้วพูดขึ้น “คุณผู้หญิงกับคุณนวาระออกไปด้วยกันตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ ตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย..
เมื่อได้ยินว่าออกไปด้วยกัน สุมิตรจึงคลึงกระหม่อมทันที มันเป็นการยากที่ทั้งสองคนจะเต็มใจออกไปด้วยกัน? !
ไม่สนพวกเธอแล้ว ผู้หญิงสองคนนี้จะไปที่ไหนกัน งานที่ ทำตลอดทั้งวันมันทำให้สุมิตรรู้สึกหมดเรี่ยวแรง โบกมือให้ สาวใช้ถอยออกไป แล้วตนเองก็กลับห้องไปพักผ่อน
การนอนหลับของสุมิตรครั้งนี้คือการนอนหลับจนถึงช่วง บ่ายของวันถัดไป หลังจากที่เขาลุกขึ้นมาจากเตียงก็ได้เรียก สาวใช้มาเพื่อสอบถาม คำตอบของสาวใช้ยังคงเป็นสองคนนั้น ยังไม่กลับมาจนถึงตอนนี้
มองดูสภาพอากาศข้างนอก ในใจของสุมิตรมีลางสังหรณ์ ที่ไม่ค่อยดีบางอย่าง เหมือนรับรู้ได้ว่าจะมีเรื่องอะไรบางอย่าง เกิดขึ้น ดังนั้นเขาจึงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาทั้งสอง คนนั้นอย่างรวดเร็ว มันน่าแปลกใจ ที่โทรศัพท์มือถือของทั้ง สองคนไม่สามารถติดต่อได้
ถือโทรศัพท์ไว้อย่างงุนงง ภายในใจองสุมิตรกลับรู้สึก เย็นยะเยือกมากขึ้นทุกที พวกเธอทั้งสองคน เกิดเรื่องขึ้น แน่ๆ!
สุมิตรรีบโทรหาธนภาค กล่าวเล่าอย่างคร่าวๆ ถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และสั่งให้เขาส่งคนไปหาคนทันที ตัวเขา เองก็ยังกดโทรออกไปอยู่หลายต่อหลายครั้ง ไม่มีอะไรที่นอก เหนือไปกว่าคำสั่งที่ให้ลูกน้องช่วยกันตามหาจันวิภาและนวาระ
และทางด้านของจันวิภา
เพื่อที่จะหลบหนี จันวิภาจึงโกหกว่าตัวเธอนั้นแพ้เกสร ดอกไม้ เพื่อออกจากห้องในเรือนกระจกแห่งนี้
สุพจน์ทำท่าเสียดายเพราะว่าห้องนี้ถูกออกแบบมาเพื่อจัน วิภาโดยเฉพาะ แต่กลับต้องจัดห้องอื่นให้กับเธอ
ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน จันวิภากำลังเอนตัวดูทีวีอยู่ บนโซฟา จ่าสุพจน์ก็เกิดมาจากบันได ร่างกายส่วนล่างมีแค่ ผ้าเช็ดตัวที่ห่อหุ้มเอาไว้ หยดน้ำที่อยู่บนร่างกายด้านบนเป็น เครื่องพิสูจน์ว่าเขาพึ่งจะอาบน้ำเสร็จ
สุพจน์เดินตรงไปที่ตู้เก็บไวน์ จันวิภาเหลือบมองมาทาง เขาโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นจึงร้องตระโกนโหวกเหวกขึ้นมา “เฮ้ย! นายบ้ากามหรือไง ทำไมไม่สวมเสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยลง มา”
สุพจน์ราวกับจะตระหนักได้ว่ามีคนอยู่ หันตัวกลับมามอง จันวิภาที่ไม่กล้ามองเขาแล้วเอามือปิดหน้าตนเองเอาไว้ ยิ้ม แล้วพูดขึ้น “ขอโทษจริงๆ ผมลืมไปเสียสนิทเลยว่าในบ้านยังมี คนอื่นอยู่อีก ขอโทษจริงๆที่ทำให้คุณตกใจ”
ร่องกล้ามเนื้อที่เห็นได้ชัดเจนของสุพจน์ ซิกแพคตรงหน้า ท้อง มันทั้งสง่างามและทรงพลัง
จันวิภามองอยู่แวบหนึ่งก็เอามือปิดหน้าและไม่กล้ามองดูอีก ตะโกนพูดออกไปอย่างร้อนรน “หยุดพูดได้แล้ว! นายรีบ ไปสวมเสื้อผ้าเร็วๆเถอะ! ”
เห็นได้ชัดว่ากล้ามเนื้อหน้าท้องของเขาน่าสนใจมาก แต่ เธอกลับปิดใบหน้าของตัวเองอย่างอาย ๆ และไม่กล้ามอง สุ พจน์หัวเราะออกมาเบาๆ ค่อยๆเดินเข้าไปใกล้กับจันวิภา แล้ว แง้มนิ้วของเธอที่ปิดใบหน้าเอาไว้อยู่ออกมา
นิ้วมือของจันวิภาได้ถูกแรงของสุพจน์แง้มออก วินาทีต่อ มา เธอจึงเห็นเส้นกล้ามเนื้อที่สวยงามของสุพจน์ชัดเจนยิ่งขึ้น จึงตกใจเสียจนเอามือมาปิดไว้ข้างหน้าอีกครั้ง “ว้ายยย! นาย ทำอะไรเนี่ย!
ท่าทีที่รุนแรงของจันวิภาทำให้สุพจน์ขบขัน จู่ๆเขาก็นึก อยากมองใบหน้าที่เขินจนแดงที่อยู่ภายใต้ฝ่ามือ จึงใช้แรงเปิด มือของเธอออกทันที ยกขึ้นสูงไปทางด้านข้าง ทำให้จันวิภาไม่ อาจที่จะปิดหน้าได้อีก
อย่างไรก็ตาม จันวิภากลับเรียนรู้ประสบการณ์ในครั้งนี้ ไม่ลืมตามองเรือนร่างที่น่าขายหน้าของสุพจน์อีกต่อไป ฉากบ้า กามเช่นนี้ เธอเคยผ่านมันกับสุมิตรมาแล้ว แต่กับคนอื่นยังไม่ เคย
จันวิภาหลับตาปี ขนตาสั่นไหวอยู่ตลอดเวลา แก้มที่ทั้ง บวมเป่งและแดงแจ๋ ราวกับผลของแอปเปิ้ลที่มีเสน่ห์เย้ายวน จนทำให้คนอยากที่จะลิ้มลองรสชาติอันหอมหวานนั้น
สุพจน์กลืนน้ำลายลงไปอีกหนึ่งโดยที่ไม่รู้ตัว ระงับความอยากที่จะพุ่งเข้าไปจูบ หัวเราะเยาะแล้วพูดขึ้น “คุณนี่น่าสนใจ กว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก”
คำพูดที่เจ้าชู้นั่น มันเต็มไปด้วยความคลุมเครือ
จันวิภาไม่ได้โง่ เธอฟังความหายของสุพจน์ออก นั่นคือสิ่ง ที่ผู้ชายพูดเมื่อเขาสนใจผู้หญิง
เมื่อได้ยินดังนั้น จันวิภาจึงเบิกตากว้าง แต่ทว่าสายตา กลับไม่ได้อยู่ที่ตัวเขา เธอหันหน้าออกไปข้างๆ แล้วพูดด้วย ความโมโห “ได้โปรดนายอย่าทำอย่างนี้ ฉันแต่งงานแล้ว รบกวนคุณรีบๆปล่อยฉันไปได้แล้ว! ”
เมื่อได้ยินคำว่าแต่งงานสองคำนี้ รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้า ของสุพจน์จู่ๆก็จางหายไป เขาปล่อยมือทั้งสองข้างของจันวิภา มองไปยังสวนที่อยู่ข้างนอกแล้วพูดขึ้นว่า “ผมรู้ และผมยังรู้อีก ว่าสามีของคุณคือสุมิตร!
“นายรู้จักสุมิตร?” จันวิภาจ้องมองสุพจน์ด้วยใบหน้าที่
แปลกใจ
นัยน์ตาของสุพจน์เผยออกมาให้เห็นถึงความเกลียดชัง เขาพูดอย่างเยือกเย็น “พวกเรารู้มากกว่ารู้! ”
จันวิภาถูกความเยือกเย็นที่มาอย่างฉับพลันของสุพจน์ ทำให้ตกใจกลัว แต่ทว่าการตอบสนองของเธอนั้นไวมาก จาก นั้นจึงรีบพูดออกไป “ในเมื่อนายรู้ว่าฉันแต่งงานแล้ว ก็รีบ ปล่อยฉันได้แล้ว ฉันอยากกลับบ้าน ไม่งั้นสามีจะเป็นห่วงฉัน?”
“เขาเป็นห่วงคุณด้วยหรอ?” น้ำเสียงของสุพจน์แทงเข้า กลางใจของจันวิภา “ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับสุมิตร ผมรู้ เป็นอย่างดี”
มันสายเกินไปที่จะถามว่าทำไมสุพจน์ถึงได้รู้ละเอียดถึง เพียงนี้ จันวิภาอึดอัดและพูดไม่ออก
ไม่ผิด สุมิตรไม่ได้เป็นห่วงเธอแน่ๆ เขาเป็นห่วงแต่นวาระ สิ่งที่เขาคิดมีแต่จะทรมานและดูถูกเธออย่างไร! หรือสงสัยว่า เธอออกไปพัวพันกับผู้ชายคนอื่น
เมื่อคิดเช่นนี้ จันวิภาจึงเจ็บปวดอยู่เล็กน้อย ที แม้แต่ข้อ แก้ตัวที่จะปฏิเสธคนอื่นก็ยังถูกมองออก
“ไม่ว่าจะเป็นอย่างไง เรื่องของฉันกับสุมิตรมันก็ไม่ได้ เกี่ยวกับคุณ ฉันแต่งงานแล้ว และฉันก็เป็นภรรยาของเขา สิ่งที่ คุณทำอยู่ตอนนี้คือการขังฉันเอาไว้ แล้วนี่มันก็ผิดกฎหมาย” จันวิภาจ้องมองสุพจน์อย่างเยือกเย็น หวังว่าเขาจะเปลี่ยน ความคิดให้กลายเป็นถูกได้
สุพจน์หันตัวมาแล้วมองตรงไปที่ดวงตาของจันวิภา แล้ว พูดอย่างไม่แยแสอะไร “แต่งแล้วก็อย่าได้ ผมไม่ถือสาหรอกถ้า คุณจะเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว”
“แต่ฉันถือ! พอพูดจบ จันวิภาจึงรู้สึกว่าประโยคนี้มัน ค่อนข้างกำกวม เติมทีเธอตั้งใจจะพูดว่าเธอถือสาที่สุพจน์เข้า มาใกล้เธอ ไม่ได้ถือสาเรื่องที่ว่าเธอแต่งงานแล้ว
แอบมองท่าทีของสุพจน์ จึงพบว่าเขาไม่ได้สนใจอะไร แต่ยักไหล่แล้วพูดขึ้น “ผมอย่างไงก็ได้ แต่ว่าคุณต้องอยู่ที่นี่ไม่ สามารถออกไปไหนได้ เป็นเด็กดีแล้วรอ”
พูดจบจึงเดินไปหยิบไวน์ออกมาจากตู้เก็บไวน์ แล้วเดินขึ้น ชั้นสองไป
จนกระทั่งสุพจน์เดินจากไป จันวิภาจึงจะค่อยๆถอนหายใจ ออกมาด้วยความโล่งอก แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่พบ ตอนนี้เธอ ไม่ปฏิเสธตัวตนของเธอในฐานะภรรยาของสุมิตร กล่าวอีกนัย หนึ่ง เธอดูเหมือนจะคุ้นเคยกับการยอมรับความจริงที่ว่าเธอ แต่งงานกับสุมิตรไปแล้ว