ตอนที่ 186เธอที่อับอายเธอที่ไม่เต็มใจ
แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแม้ในวิภาจะเกลียดตัวเองแต่ก็ เกลียดสุมิตรด้วยความเศร้าโศกที่อยู่ในใจยังคงไม่ไปไหนกัน วิภากลิ้งตัวบนเตียงอยู่หลายชั่วโมงคิดถึงเครื่องบินพรุ่งนี้เช้า ดังนั้นฉันจึงมั่นในตอนเช้าและเก็บกระเป๋าทันที
รอจนเก็บกระเป๋าเกือบจะเสร็จแล้วท้องฟ้าก็ค่อยๆสว่าง ขึ้นมาเธอฟุบหมอบลงบนเตียงและพักผ่อนเล็กน้อยความง่วง นอนกำลังมาในเวลานี้ไม่รู้สึกตัวจันวิภาก็หลับไปเสียแล้ว
โชคดีที่จันวิภาตั้งนาฬิกาปลุกไว้เมื่อคืนไม่งั้นเธอก็คงจะ นอนยาวไปจนถึงตอนบ่ายแน่ตอนที่นาฬิกาปลุกดังขึ้นมาจน วิภากระโดลุกออกจากเตียงทันทีเธอรีบลุกจากเตียงไปล้าง หน้าแปรงฟันและเปลี่ยนเสื้อผ้ารอจนจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น เวลาก็เกือบจะถึงแล้ว
คิดถึงเมื่อคืนนี้ที่สุมิตรบอกว่าจะให้ไปสนามบินพร้อมกัน กับเขาไม่รู้ว่าจะนับหรือไม่นับ……..หรือเขาไปสนามบินจากโรง พยาบาลแล้วหรืออย่างไร?
จันวิภาไม่ค่อยชัดเจนกับแผนการของสุมิตรหยิบโทรศัพท์ ออกมาโทรหาเขาเกินความคาดหมายคิดไม่ถึงเลยว่าจะไม่มี คนรับ
โทรไปหนึ่งครั้งไม่มีคนรับจันวิภาก็ได้โทรอีกหนึ่งครั้งแต่ก็ ยังคงไม่มีคนรับ
จันวิภานอย่างไม่พอใจอยู่สองสามค่าในที่สุดก็วาง โทรศัพท์ลงไปอย่างไม่เต็มใจหยิบกระเป๋าเดินทางขึ้นมาแล้ว ออกประตูไป
อย่างไรก็ตามเขาเป็นคนใหญ่คนโตถ้าหากไปสนามบิน แล้วตัวเองไม่ได้ไปในวิภาก็ขี้เกียจจะสนใจเขาแล้ว
จนวิภาออกไปโบกแท็กซี่เพื่อไปสนามบินพอถึงสนามบิน
เวลาก็ปาไปเจ็บ โมงสิบนาทีแล้วต้องรีบไปเช็คอินจันวิภาหยิบ โทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาสุมิตรอีกครั้งมันน่าแปลกประหลา ดจริงๆ ยังไม่มีคนรับสายอีก “ไอ้บ้าสุมิตร……. ทำบ้าอะไรอยู่……. “จันวิภาจ้องมอง โทรศัพท์ด้วยสีหน้าที่โมโหเห็นได้ชัดว่าเขาบอกจะไปทำงาน
นอกสถานที่แต่จนถึงตอนนี้ตัวเองก็ยังไม่มาไม่มาก็ช่างแต่ยัง
ไม่รับโทรศัพท์อีกบ้าบอจริงๆ!
เวลานี้แล้ว…….
เวลาค่อยๆเดินผ่านไปสิบห้านาทียี่สิบนาทีสามสิบ
นาที……
เสียงเตือนขึ้นเครื่องดังขึ้นในห้องโถงขนาดใหญ่จันวิภา ในตอนนี้ก็รีบร้อนเสียจนก้าวกระโดดออกไปอย่างรวดเร็วใน ตอนนี้เธอโทรหาสุมิตรอยู่นับครั้งไม่ถ้วนอย่างไรก็ตามสุมิตร เหมือนกับระเหยไปแล้วไม่รับโทรศัพท์และก็ไม่เห็นตัว
จ้องมองฝูงชนที่เข้าแถวเพื่อเช็คอินจันวิภารีบร้อนเหมือนั่ง มดที่อยู่บนหม้อไฟในท้ายที่สุดเธอก็โทนออกไปอย่างไม่เต็มใจ อีกครั้ง
ครั้งสุดท้ายแล้ว! ถ้าไม่รับอีก! แม่คนนี้จะกลับบ้าน แล้ว! ทํางานนอกสถานที่บ้านแก
บางทีสวรรค์อาจจะได้ยินเสียงคำรามที่เปี่ยมไปด้วยความ โกรธของจันวิภาครั้งนี้ในที่สุดก็มีคนรับแต่เสียงปลายสายนั้น กลับเป็นเสียงผู้หญิง
“คุณคือ…….จันวิภาจ้องมองหน้าจอมือถืออย่างไม่แน่ใจ
คิดว่าตนเอง โทรผิด
ไม่ผิดแน่!
ผู้หญิง ที่อยู่ปลายสายหัวเราะออกมาอย่างเกียจคร้าน สุ มิตรออกไปซื้ออาหารเช้า ให้ฉันแล้วคุณเลขาเกิดอะไรขึ้นหรอ โทรหาเจ้านายของตัวเองซะเยอะขนาดนี้ดูเหมือนว่าที่ฉันเตือน เธอนี่เธอจะฟังไม่เข้าใจนะ
น้ำเสียงของผู้หญิงคนนี้คุ้นเคยอยู่เล็กน้อยผ่านคำพูดของ เธอจนวิภาก็จำขึ้นมาได้ทันทีว่าเธอเป็นใคร เจริญศรี คือเธอ งั้นหรอ?”
“เรียกฉันว่าคุณนาย! “เจริญศรีพูดอย่างไม่พอใจน้ำเสียง เย่อหยิ่งเธออย่าโทรมาอีกสุมิตรดูแลฉันอยู่ที่โรงพยาบาลเขา ไม่ว่างไปทำงานกับเธอและก็ไม่ว่างที่จะมาสนใจเธอเธอจัดการ ด้วยตัวเองละกัน”
พูดจบก็ไม่ให้โอกาสจันวิภาใต้พูดต่อเจริญศรีวางสายลง
ไปอย่างมีความสุข
“จันวิภาจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายทิ้งไป
เธอโมโห
สุมิตร! นายจะทำอะไรกันแน่! นายพูดเองว่าจะไป ทำงานนอกสถานที่ไม่เพียงแต่ไม่โทรมาหาฉันสักสายแต่ยังจะ ให้ฉันโทรไปหานายอีก! นี่ยังไม่เท่าไหร่นายยังจะให้ผู้หญิง ของนายดูถูกฉันอีก…..มิตร! นายมันสารเลว!
จันวิภายืนอยู่คนเดียวในอาคารผู้โดยสารขนาดใหญ่ข้าง กายมีเพียงแค่กระเป๋าเดินทางหนึ่งใบมีคนเดินผ่านมาบ้างเป็น ครั้งคราวเธอโกรธเสียจนอยากจะร้องไห้ออกมา
หากไม่ใช้สถานที่ที่มีคนพลุกพล่านขนาดนี้น้ำตาของเธอก็
คงจะหยดลงมาแล้ว
สุมิตรจากนี้ฉันจะไม่เชื่อนายอีก
ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อเทียบกับความโกรธแล้วจันวิภาจึงรู้สึก ทุกข์ใจมากกว่าดูราวกับเธอได้กลับมาสู่วันวานที่น่าชื่นนั่นหกปี แล้วจันวิภาได้ใช้ชีวิตง่ายและสะดวกสบายมาอยู่ตลอดไฉน เลยจะได้พบกับความอัปยศและความอับอายเช่นนี้
จันวิภายืนนิ่งอยู่ที่เดิมอยู่นานเป็นไปได้ยากที่จะทำใจให้ สงบเธอลากกระเป๋าเดินทางแล้วออกจากสนามบินไปจากนั้น
จึงโบกรถกลับบ้าน
ระหว่างทางกลับกันวิภารับสายโทรศัพท์จากสุมิตรเธอ มองไปที่หน้าจออยากที่จะเลื่อนปิดไปแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรท้าย ที่สุดเธอจึงเลื่อนรับไปซะอย่างนั้น
รับก็รับจันวิภาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาวางแนบหูและไม่พูด
ออกมา
“นาราวีระนนท์? “เมื่อทางด้านของสุมิตรไม่ได้ยินเสียง จากทางด้านนี้จึงเรียกออกมาอย่างไม่มั่นใจ
จันวิภาส่งเสียงอึมออกมาเบาๆ จากนั้นจึงไม่ได้พูดอะไรอีก
ที่แท้ก็เป็นตัวเขาเองไม่ใช่เจริญศรี
ภายในใจของฉันวิภาเปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจแต่สิ่งที่ ทำให้เธอประหลาดใจก็คือการโทรมาของสุมิตรดังนั้นเธอจึง ส่งเสียงยิ้มเบาๆถือเป็นการตอบเขา
ในที่สุดก็ได้ยินเสียงจากปลายสายสุมิตรจึงวางใจแล้วพูด ต่อ”เป็นอย่างนี้เจริญศรีประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ฉันต้องอยู่ โรงพยาบาลเพื่อดูแลเธอการเดินทางไปเมืองจึงต้องล่าช้าไป ก่อน”
เป็นจริงเหมือนที่เจริญศรีพูดเอาไว้สุมิตรยินดีที่จะอยู่กับ เธอและปล่อยแผนการเดินทางในวันนี้ไป
อย่างไรก็ตามคำอธิบายนี้มันก็สายเกินไปแล้วเธอมารอที่ สนามบินทั้งหนึ่งชั่วโมง
จันวิภาส่งเสียงอ๋อออกไปอย่างไม่ค่อยสนใจไม่รอให้สุ มิตรพูดอะไรอีกเธอก็ตัดสายทิ้งไป
สายตาของเธอห้อยลงมาจ้องมองขาข้างที่บาดเจ็บอย่าง เงียบๆเพื่อที่จะได้เคลื่อนไหวได้อย่างสะดวก ในวันนี้แล้วเธอจึง จงใจสวมใส่รองเท้าแม้ว่าจะเดินอย่างหนักด้วยเท้าข้างเดียว อีกข้างหนึ่งผ่อนแต่ก็โชคดีที่มันไม่เดินกระเผลกไปมาให้อาย คนอื่น
สุมิตรไม่รู้แน่ๆว่าตนเองต้องทนความเจ็บปวดขนาดไหน จึงจะลากกระเป๋าเดินทางลงมาได้จากนั้นก็มาที่สนามบินอีก
ความเจ็บปวดของเธอแน่นอนว่าเขาไม่รู้หกปีก่อนก็ไม่รู้ หกปีต่อมาก็ยังไม่รู้อีกในใจเขาในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีแค่ เจริญศรีที่ได้รับบาดเจ็บจนต้องนอนโรงพยาบาล
จิตตกอย่างน่าประหลาดอารมณ์ของจันวิภาแย่มากตอนที่ กลับถึงบ้านก็มีท่าทางเหมือนกับยังไม่มีสติกลับคืนมา
จันวิภากลับมาถึงบ้านเอากระเป๋าเดินทางโยนไว้ข้างๆพุ่ง ตัวไปบนเตียงแล้วนอนกลับลงไป
ไม่ได้นอนคืนหนึ่งทำให้อารมณ์ไม่ดีจนวิภาหลับใหลลงไป อย่างรวดเร็วตอนที่เธอตื่นขึ้นมาก็เป็นตอนเย็นแล้ว
จันวิภาเดินไม่ได้เพราะอาการบาดเจ็บที่เท้าดังนั้นจึงเปิด คอมพิวเตอร์ขึ้นมาอย่างน่าเบื่อหน่ายเธอกำลังเลื่อนดูหน้าเว็บ อย่างไร้จุดหมายทันใดนั้นวิดีโอปรากฏขึ้นที่กลางหน้าจอจัน วิภามองเห็นวิเทศน์ที่อยู่ในวีดีโอ
“วิเทศน์!
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาจนวิภาพึ่งจะเห็นลูกชายหัวแก้วหัว แหวนของตนเองเป็นครั้งแรกทันใดนั้นจึงมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที นำเรื่องที่ไม่มีความสุขสลัดทิ้งไปทั้งหมดเธอดีใจที่ได้เห็นวิ เทศน์ในวีดีโอจึงรีบเอ่ยถามออกไปอย่างรีบร้อน วิเทศน์ลูกอยู่
ที่ไหน? ! สบายดีมั้ย? ! “