บทที่ 886 พัสดุที่น่าสงสัย
“แฮ่ๆ ไม่เล่นแล้ว ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อน!”
ฉีเซียวหยุนยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวกับเฉินเกอ
“ครับผม!”
เฉินเกอก็ไม่ได้ไปเผยไต๋ของเขา เพียงแต่พยักหน้ารับ
พูดจบ ฉีเซียวหยุนก็รีบลุกขึ้นจากไป เดินไปทางห้องน้ำโดยตรง
ในที่สุดเขาก็รอดพ้นเงื้อมมือของเฉินเกอจนได้ ไม่กล้าที่จะไปหาเรื่องเฉินเกออีกแล้ว
ไม่นานนัก การสังสรรค์ของเพื่อนนักเรียนในคืนนี้ก็ได้สิ้นสุดลงอยากราบรื่น
เฉินเกอได้พาเจินจีออกไปจากโรงแรม ขับรถกลับถึงบ้าน
“เฉินเกอ วันนี้ดูเหมือนฉีเซียวหยุนจะโดนนายแกล้งไปไม่น้อยเลยนะ!”
เมื่อกลับถึงบ้าน เจินจียิ้มมองเฉินเกอแล้วพูดอย่างขำขัน
“ฮ่าๆๆๆๆ!”
ได้ฟังคำพูดของเจินจี เฉินเกอก็หัวเราะลั่นทันที
“ใครใช้ให้เขามาหาเรื่องฉันล่ะ ฉันไม่มีทางที่จะปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน อีกอย่าง ฉันกลั่นแกล้งเขา เธอไม่ดีใจเหรอ?”
เฉินเกอพลางหัวเราะพลางคุยกับเจินจีไปด้วย
เจินจีได้ยินแล้ว เธอก็พยักหน้ากล่าวอย่างดีใจ: “ฉันก็ต้องดีใจอยู่แล้ว นายคนนั้นตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยก็ตอแยฉันไม่เลิก ในที่สุดก็มีคนสามารถทำให้เขาขายหน้าได้แล้ว!”
พูดตามตรง งานเลี้ยงสังสรรค์เพื่อนร่วมรุ่นในคืนนี้การกระทำของเฉินเกอนั้นเจินจีรู้สึกดีใจมาก เพราะได้ช่วยตัวเองจัดการคนที่น่ารำคาญคนหนึ่ง
เชื่อว่าต่อไปนี้ฉีเซียวหยุนคงไม่มาตอแยเธออย่างแน่นอนแล้ว
“แครก!”
เวลานี้ ก็เห็นเล๋ยเล่เปิดประตูเดินออกมา
“พี่เฉิน คุณหนูใหญ่เจิน พวกคุณกลับมาแล้วเหรอ!”
เล๋ยเล่เดินออกมา มองทั้งสองคนแล้วถาม
“เล๋ยเล่ ดึกป่านนี้แล้วนายยังไม่นอนอีกเหรอ?”
เจินจีสงสัยมองไปทางเล๋ยเล่แล้วถาม
“ผมเหรอ ผมกำลังรอพวกคุณกลับมาไง ผมมีของอย่างหนึ่งจะมอบให้พวกคุณ เป็นของที่ท่านฟ่านส่งมา!”
เล๋ยเล่ฟังแล้ว ก็รีบอธิบายกับเจินจีและเฉินเกอ
“ท่านฟ่านส่งมาให้พวกเราเหรอ? ของอะไรกัน?”
เฉินเกอได้ยิน ก็นิ่งไปสักพัก จากนั้นก็รีบถามเล๋ยเล่
เล๋ยเล่เดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง หยิบกล่องใบหนึ่งออกมายื่นให้กับเฉินเกอ
“กล่องใบนี้ ผมยังไม่ได้แกะ ยังมีจดหมายอีกหนึ่งฉบับ ท่านฟ่านน่าจะเป็นคนเขียนให้พวกคุณ!”
เล๋ยเล่จ้องไปที่เฉินเกอแล้วบอก
เฉินเกอฟังแล้ว ก็รีบรับกล่องมาเปิดทันที
เปิดออกแล้ว ข้างในมีถุงหอมอยู่หนึ่งอัน กระจายด้วยกลิ่นหอมที่สดชื่น
“ว้าว หอมจังเลย นี่มันคืออะไรเนี่ย? ทำไมท่านฟ่านต้องส่งถุงหอมอันนี้มาให้คุณละ?”
เล๋ยเล่ได้กลิ่นแล้ว ก็อุทานขึ้นมาทันที จากนั้นจึงได้ถามเฉินเกออย่างอยากรู้อยากเห็น
เฉินเกอขณะนี้ก็คิ้วได้ขมวดแน่นขึ้นแล้ว สีหน้าลำบากใจทันที
เห็นสีหน้าของเฉินเกอที่เปลี่ยนไป เจินจีกับเล๋ยเล่รู้สึกถึงความไม่ปกติ คิดว่าถุงหอมนี้ต้องแทนความหมายเรื่องอะไรที่เกิดขึ้น
เฉินเกอไม่ได้ตอบเล๋ยเล่ในทันที แต่ว่าได้เปิดจดหมายที่ท่านฟ่านส่งมาให้ตัวเอง จากนั้นจึงได้อ่านข้อความในจดหมาย
หลังจากอ่านแล้ว เฉินเกอยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น คิ้วได้กลายเป็นเส้นตรงแล้ว
“พี่เฉิน เป็นอะไรครับ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? สีหน้าของพี่ดูแย่มากเลย?”
เล๋ยเล่รีบถามเฉินเกอด้วยความห่วงใย เขายังไม่เคยเห็นอาการของเฉินเกอแบบนี้มาก่อน
“ใช่ เฉินเกอ ในจดหมายว่ายังไงบ้าง?”
เจินจีก็ถามอย่างสงสัยมาก
“กลิ่นในถุงหอมอันนี้คือกลิ่นหอมดึงดูดผี ใช้มาดึงดูดผีโดยเฉพาะ ท่านฟ่านบอกว่าเขาจะไปสถานที่ที่หนึ่งที่เรียกว่าแดนเผ่าผีเพื่อไปสืบค้นความลับของเผ่าผี อยากให้ฉันไปกับเขาด้วย ดังนั้นจึงได้ส่งถุงหอมนี้มาให้ฉัน ฉันเคยได้นัดกับท่านฟ่านเอาไว้ หากพบเจออุปสรรคที่หนักหนา ก็ให้ใช้ถุงหอมนี้เป็นสัญญาณ!”
หลังจากนั้น เฉินเกอก็บอกเล่าให้กับเล๋ยเล่และเจินจีฟัง
หลังจากที่ฟังเฉินเกอเล่าแล้ว ทั้งสองคนจึงได้เข้าใจทันที ที่แท้มันคือสัญญาณ
“มันน่าจะเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ?”
เล๋ยเล่ก็ได้ถามอย่างแปลกใจ
เฉินเกอส่ายหัว แล้วกล่าว: “มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เผ่าผีนั้นฉันเคยได้ยินมาบ้าง มันเป็นสถานที่ที่ดุเดือดมาก ดูเหมือนท่านฟ่านคงพบเจออุปสรรคอะไรสักอย่างจึงจะไปที่เผ่าผี”
หากในสถานการณ์ทั่วไปเฉินเกอกับท่านฟ่านไม่เคยใช้ถุงหอมนี้มาติดต่อกันไปรษณีย์
หากส่งไปรษณีย์ ก็แสดงว่าได้เกิดเรื่องที่หนักหนาขึ้นแล้ว ต้องการความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย
“แล้วจะออกเดินทางเมื่อไหร่?”
“พรุ่งนี้เช้าเก้าโมง!”
เฉินเกอได้บอกเวลาที่จะออกเดินทาง เวลากระชั้นชิดมาก
“เจินจี เล๋ยเล่ เธอสองคนรีบไปปลูกโจวโน่ขึ้นมา พวกเธอสามคนรีบไปเก็บข้าวของ พรุ่งนี้เช้าเราออกเดินทางพร้อมกัน!”
ต่อมาเฉินเกอก็ได้สั่งการเล๋ยเล่และเจินจีทั้งสองคน
เรื่องครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ดังนั้นเฉินเกอจึงต้องพาพวกเขาทั้งสามคนไปด้วย คนเพิ่งขึ้นหนึ่งคนก็มีแรงเพิ่มขึ้นหนึ่งแรง
“ได้ ฉันรู้แล้ว!”
เจินจีไม่มีความคิดเห็นใดๆ จึงได้ตอบตกลงทันที
จากนั้น เฉินเกอและทั้งเขาสามคนในเวลากลางดึกต่างคนต่างเก็บข้าวของของตัวเอง เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางพรุ่งนี้
แน่นอน คืนนี้เฉินเกอยากที่จะนอนหลับได้
รุ่งสางของอีกวัน
เฉินเกอและเขาทั้งสามก็ได้ตื่นแต่เช้าแล้ว
ล้างหน้าแปรงฟันแล้วก็ทานอาหารเช้า เฉินเกอและเขาทั้งสามก็รีบออกเดินทางทันที
ตามแผนเวลาและที่กำหนัดไว้ เฉินเกอให้เล๋ยเล่ขับรถไปที่ทางเข้าทางด่วนหลินไห่ ท่านฟ่านจะรอตัวเองอยู่ตรงนั้น
หลังจากขับรถผ่านไปครึ่งชั่วโมง ทั้งสี่คนก็ถึงทางเข้าทางด่วนหลินไห่แล้ว
ก็เห็นชายคนหนึ่งใส่ชุดกันลมสีดำ สวมหมวกสีดำ เป็นชายชราที่ในมือถือไม้เท้ากำลังนั่งอยู่ข้างทาง มองไปแวบเดียวก็มั่นใจว่าคือท่านฟ่าน
เฉินเกอให้เล๋ยเล่จอดรถไว้ข้างกายท่านฟ่าน
จากนั้นตัวเองก็เปิดประตูรถลงไปต้อนรับ
“ท่านฟ่าน!”
เฉินเกอมองไปที่ท่านฟ่านแล้วเรียกอย่างมีมารยาท
“อืม!”
ท่านฟ่านเพียงแค่ตอบสั้นๆคำเดียว จากนั้นก็ได้รับความช่วยเหลือจากเฉินเกอในการพยุงขึ้นไปนั่งข้างคนขับ
จากนั้นเฉินเกอก็ไล่ให้เล๋ยเล่ลงมาจากที่นั่งคนขับ ให้เขาไปนั่งด้านหลัง แล้วตัวเองเป็นคนขับรถ
ไม่ใช่ว่าเล๋ยเล่ขับรถไม่ดี เพียงแต่ว่าสถานที่ที่พวกเขาจะไปนั้นมีแต่เฉินเกอกับท่านฟ่านที่รู้ทาง ดังนั้นกังวลว่าเล๋ยเล่จะขับผิดทิศหลง จะทำให้หลงทางได้
“ท่านฟ่าน ยังมีคนอื่นจะไปกับเราอีกมั้ย?”
ก่อนออกเดินทาง เฉินเกอได้ถามท่านฟ่านไปหนึ่งประโยค
ท่านฟ่านส่ายหัวเล็กน้อย ไม่พูดแม้แต่คำเดียว เพียงแค่นั่งพิงเบาะรถไว้อย่างเงียบๆ
ท่านฟ่านใส่แว่นดำไว้ มองหน้าและตาของเขาไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่าเขากำลังลืมตาหรือหลับตาอยู่
ต่อมา เฉินเกอก็สตาร์ทรถ เหยียบคันเร่งเคลื่อนรถออกไปโดยตรง ขับขึ้นทางด่วนหลินไห่
“เล๋อเล่ สถานที่ที่จะไปนี้ใช้ระยะเวลาในเดินทางประมาณสิบกว่าชั่วโมง พวกเธอสามคนสามารถนอนพักสักงีบ วันนี้ตื่นแต่เช้า พวกเธอคงเหนื่อยกันแล้ว!”
ระหว่างทาง เฉินเกอได้ออกความเห็นให้เขาทั้งสามคน
พวกเขาทั้งสามคนต่างพยักหน้า
หากขึ้นทางด่วนแล้ว ก็จะไม่สามารถจอดพักได้อีกเลย นอกเสียจากจะถึงจุดพักรถ
ไม่นานนัก พวกเขาทั้งสามก็ได้พิงหลับอยู่บนเบาะแล้ว
ไม่นานนักรถทั้งคันก็เงียบสงบ มีเพียงเฉินเกอคนเดียวที่กำลังตั้งใจขับรถ เฉินเกอกับท่านฟ่านก็ไม่ได้สนทนากัน
สิบกว่าชั่วโมงของการขับรถ สำหรับคนทั่วไปเป็นเรื่องที่ลำบากมาก แต่สำหรับเฉินเกอนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ไม่เหนื่อยเลยสักนิด