ตอนที่ 80 ดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย
เยี่ยเม่ยถึงกับอึ้งไป
เหมือนไม่รู้ว่าเรื่องราวนี้ทำไมถึงได้วกกลับมาหาตัวเองได้
หลังจากที่อึ้งไปชั่วครู่ นางก็คุกเข่าลงพร้อมเอ่ยขึ้น “หม่อมฉันรับราชโองการ”
“ข้าขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้บัญชาการกองกำลังรักษาเมืองทหารองครักษ์ ควบคุมกองกำลังทหารสองแสนนายในเมืองหลวง องค์ชายใหญ่มอบตราพยัคฆ์ให้กับเหอซั่วหนี่ว์อ๋องทันที” ฮ่องเต้ตรัสพร้อมกับทอดพระเนตรมองเป่ยเฉินเสียงอย่างไม่พอใจ
เป่ยเฉินเสียงคุกเข่าลงทำอะไรไม่ถูก
ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเรื่องราวถึงลุกลามเช่นนี้
เหล่าขุนนางต่างก็ตกตะลึง ตอนนี้ทุกคนก็รู้แล้วว่า การกระทำในวันนี้ได้ทำให้ฮ่องเต้พิโรธแล้ว
ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าฮ่องเต้ทำตามความต้องการเหล่าขุนนาง พระองค์ไม่ต้องการตราพยัคฆ์คุมกำลังทหารสองแสนนายแล้ว
แต่ก็ไม่ต้องการให้เป่ยเฉินอี้ได้ไปเช่นกัน
ท่านอ๋องกับขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลาย รวมตัวกันกดดันให้ฮ่องเต้ยอมก้มหัว ถ้าฮ่องเต้ยอมก้มหัวให้ นี่จึงเป็นเรื่องประหลาดอันดับหนึ่งในใต้หล้า
คนทั้งหลายพากันนิ่งเงียบ ไม่ก็ช่วยเป่ยเฉินอี้พูด มีเพียงเยี่ยเม่ยคนเดียวที่เข้าข้างฮ่องเต้ ตอนนี้ฮ่องเต้ย่อมเชื่อใจเยี่ยเม่ยมากขึ้นไปอีก
เยี่ยเม่ยรีบตอบรับ “เป็นพระกรุณา หม่อมฉันจะไม่ทำให้พระองค์ผิดหวัง จะจัดการทหารในเมืองหลวงให้ดีที่สุด”
เหล่าขุนนางต่างพากันหันไปมองเยี่ยเม่ย ถึงแม้ว่าทุกคนจะยังไม่ค่อยเชื่อใจสตรีนางนี้เท่าไร แต่นางชนะศึกที่ชายแดนได้ก็เป็นเรื่องจริง
เรื่องราวลุกลามมาถึงขนาดนี้ ดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะโกรธอี้อ๋องเป็นอย่างมาก หากหวังให้ฮ่องเต้เรียกคำสั่งคืน มอบอำนาจการทหารให้แก่อี้อ๋องนั้นก็ดูจะเป็นไปไม่ได้
ส่วนองค์ชายใหญ่เดิมก็พึ่งพาไม่ค่อยได้อยู่แล้ว เมื่อเข้ามาในท้องพระโรงสิ่งแรกที่ทำหาใช่รับผิด แต่กลับร้องว่าถูกใส่ร้าย ทุกคนคิดอย่างไม่ยำเกรงว่าสมองแบบนี้สมเป็นลูกของฮ่องเต้จริงๆ ไม่ควรจะมอบอำนาจการทหารกับเขา
มอบให้เยี่ยเม่ยย่อมดีกว่าแน่
ดังนั้นจึงไม่มีใครคัดค้าน
มีเพียงท่านเสนาบดีคนเดียว ขณะที่ทุกอย่างกำลังวุ่นวายอยู่นั้นก็ลืมคำพูด คิดไม่ทันว่าตนเองจะพูดอะไรดี ตอนนี้ก็เหมือนเพิ่งจะได้สติขึ้นมา
เขารีบหันไปมองฮ่องเต้ เอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาท เหอซั่วหนี่ว์อ๋องรบชนะศึกก็จริง แต่นางไม่มีประสบการณ์ควบคุมกองกำลังรักษาเมืองทหารองครักษ์มาก่อน กระหม่อมคิดว่ามอบอำนาจทหารให้เหอซั่วหนี่ว์อ๋องง่ายๆ เช่นนี้ เกรงว่าจะไม่ดีต่อความสงบสุขของเมืองหลวง”
“เอ่อ…” ฮ่องเต้ก็ลังเลเช่นกัน
ถึงอย่างไรเรื่องกองกำลังรักษาเมืองทหารองครักษ์ไม่ไช่เรื่องเล็กๆ แม้ว่าตอนนี้พระองค์ทรงพอใจท่าทีของเยี่ยเม่ย แต่ก็ยังไม่ได้วางใจเสียทั้งหมด
เมื่อเห็นฮ่องเต้มีทีท่าที่ลังเล เป่ยเฉินเสียงจึงรีบเอ่ยปากขึ้น “เสด็จพ่อ เรื่องครั้งนี้เป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ ต่อไปลูกจะเข้มงวดกับพวกเขาให้มากขึ้น ต่อไปจะต้องไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก เสด็จพ่อได้โปรดให้โอกาสลูกอีกสักครั้ง เสด็จพ่อ”
คำพูดของเป่ยเฉินเสียง
ฮ่องเต้ทรงขมวดพระขนง
เมื่อเห็นท่าทางฮ่องเต้ที่ผ่อนคลายลง จงซานจึงรีบกล่าวขึ้น “ฝ่าบาททรงมอบทหารให้เหอซั่วหนี่ว์อ๋อง แต่ว่าทรงให้องชายใหญ่คอยดูแลอยู่ด้วย ตรวจสอบตลอดเวลา ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วก็จะไม่เกิดข้อผิดพลาดใหญ่โต ฝ่าบาททรงเห็นว่าอย่างไร”
นี่….
เมื่อจงซานเสนอความคิด ซือถูจ้าวกับเป่ยเฉินเสียงต่างหันมามองเขาเป็นตาเดียว ไม่เข้าใจว่าจงซานต้องการช่วยใครกันแน่ระหว่างพวกเขากับเยี่ยเม่ย
ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกว่าเป็นความคิดที่ดีกับทั้งสองฝ่าย พยักหน้ารับ “ก็ดี เป็นไปตามนี้”
ตอนที่ 81 นี่ก็คือแผนการ
ในความเป็นจริงถึงแม้ว่าฮ่องเต้จะพิโรธเป่ยเฉินเสียงเพราะเรื่องนี้มาก แต่ไม่ได้คิดจะเรียกคืนกำลังทหารในมือเป่ยเฉินเสียง
เพียงแต่พระองค์ก็คิดไม่ถึงว่าเป่ยเฉินอี้จะถือโอกาสนี้กัดไม่ปล่อย
ตอนนี้มอบอำนาจทางการทหารให้กับเยี่ยเม่ยที่จงรักภักดีกับพระองค์ และให้เป่ยเฉินเสียงช่วยควบคุมอีกทีถึงค่อยวางใจได้ เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน
ดังนั้นเรื่องนี้ก็เป็นไปตามนี้
เป่ยเฉินเสียงมองดูตัวเองเกือบจะสูญเสียอำนาจคุมทหารสองแสนนายไปจนหมดสิ้น สุดท้ายกลายมาเป็นคนช่วยดูแลตรวจสอบ เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็ถือได้ว่าน่าพอใจ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยรับ “กระหม่อมรับบัญชา!”
เมื่อพูดจบก็ส่งตราพยัคฆ์ให้เยี่ยเม่ยอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
เรื่องช่วยจัดการก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องอำนาจทางการทหารตอนนี้ก็ตกอยู่ในมือของเยี่ยเม่ยแล้วจริงๆ
ส่วนเป่ยเฉินอี้ก็ดูเหมือนจะไม่พอใจเพราะไม่อาจจะเรียกเอาอำนาจทางการทหารมาไว้ในมือได้
จึงได้สะบัดแขนแล้วหันหลังจากไป
ฮ่องเต้มองดูท่าทางกำเริบเสิบสานของเขา สีพระพักตร์ก็เขียวคล้ำด้วยความกริ้ว ตรัสอย่างไม่พอพระทัย “นี่เขาจะกบฏแล้ว กบฏแล้ว”
“ขอฝ่าบาทอย่าได้กริ้ว อี้อ๋องเพียงแค่อยากจะแบ่งเบาภาระของฝ่าบาท อยากจะให้ฝ่าบาทให้ความสำคัญเท่านั้น ฝ่าบาทอย่าได้กริ้วอี้อ๋องเลย” ฉับพลันก็มีคนพูดขึ้น
ฮ่องเต้ก็รู้อยู่แก่ใจ เป่ยเฉินอี้มีคุณงามความชอบประจักษ์ในแผ่นดิน อาจจะหยิ่งยโสไปบ้าง เหล่าขุนนางก็พากันปกป้องเป่ยเฉินอี้ ฮ่องแต่รู้อยู่ในพระทัยว่าในสายตาของเหล่าขุนนางเป่ยเฉินอี้เหมาะที่จะเป็นฮ่องเต้ของเป่ยเฉินมากกว่าพระองค์หลายเท่า
ดังนั้นแม้เป่ยเฉินอี้จะแสดงท่าทางไม่เคารพ พระองค์เองก็ทำได้แค่เพียงอดทน ถ้าจะลงโทษ คนพวกนั้นก็พากันขอร้องขึ้นมา
แต่ในหัวใจของพระองค์เต็มไปด้วยเพลิงโทสะ จะไม่ระบายออกก็ไม่ได้
มองดูสีหน้าซีดเผือดของเฉินควนและจ้าวเย่ที่คุกเข่าอยู่กลางท้องพระโรง พระองค์ตรัสขึ้นอย่างฉุนเฉียวว่า “เข้ามาลากตัวมันทั้งสองออกไปตัดหัว ข้าไม่ต้องการเห็นหน้าพวกมันอีกแล้ว”
“ฝ่าบาททรงไว้ชีวิตด้วย”
“ฝ่าบาท”
แม่ทัพทั้งสองต่างช่วยขอร้องให้ตัวเอง เขาทั้งสองคิดไม่ถึงว่าเพียงเพราะเรื่องของคนสองคนที่ถกเถียงกัน ทะเลาะกัน สุดท้ายจะทำให้พวกเขาต้องตาย
เหล่าขุนนางต่างรู้ดีแก่ใจ ฮ่องเต้โกรธหาที่ระบายไม่ได้ถึงได้มาลงที่เขาทั้งสอง แต่ว่าความผิดที่ทั้งสองทำไว้ โทษก็ถึงแก่ความตายไม่อาจอ้อนวอนขอร้องได้ ดังนั้นทุกคนจึงไม่พูดอะไร
แม่ทัพทั้งสองถูกลากออกไป
ตั้งแต่ที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเดินเข้ามาจนถึงตอนนี้ นอกจากถวายความเคารพแล้ว ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรแม้แต่คำเดียว เหตุผลง่ายๆ ก็เพราะในมือเขามีตราพยัคฆ์คุมกำลังนายทหารชายแดนสองแสนนาย ซ้ำในตอนนี้ก็ยังถกเถียงเรื่องอำนาจการทหาร ถ้าเขาพูดอะไรขึ้นมา เสด็จพ่อก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าในมือเขายังมีทหารอยู่อีกมากมาย
เมื่อมอบกำลังสองแสนนายให้เยี่ยเม่ยอีก นั่นก็หมายถึงพวกเขาสองคนสามีภรรยามีกำลังทหารในมือถึงสี่แสนนาย นี่ก็เหมือนอำนาจคุกคามฮ่องเต้ แต่เมื่อเขานิ่งเงียบ ฮ่องเต้ก็ไม่ได้คำนึงถึง จึงลดความยุ่งยากไปได้ไม่น้อย
แล้วก็เป็นจริงฮ่องเต้ไม่ทันได้ดำริอย่างลึกซึ้ง และเป็นเพราะไม่อยากให้เป่ยเฉินอี้ได้อำนาจทางการทหารไป จึงมอบอำนาจการทหารนี้ให้กับเยี่ยเม่ย
เรื่องราวก็จบลงเช่นนี้
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรคนทั้งหมดแล้วตรัสว่า “ทุกคนออกไปให้หมด เหอซั่วหนี่ว์อ๋อง ท่านเสนาบดี ต้าซือคง องค์ชายใหญ่และองค์ชายสี่อยู่ก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อฮ่องเต้ตรัสดังนี้แล้ว ทุกคนจึงเดินออกไปตามพระบัญชา
รอกระทั่งคนออกไปจนหมด
ฮ่องเต้ถึงได้ใจเย็นลง ตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็น “ข้าเข้าใจดีว่าเรื่องในวันนี้เป็นแผนการ”