บทที่ 968 มุกทิพย์ผี
มองดูราชาผีที่กลายเป็นกองขี้เถ้าสีดำ เฉินเกอเดินเข้าไปเหยียบมันซ้ำหนึ่งที เพื่อยืนยันว่ามันได้ตายไปอย่างแน่นอนแล้ว เขาจึงได้เดินไปทางมุกที่ปกคลุมด้วยควันดำ เฉินเกอเดินเข้าไปแล้วก้มตัวลงเก็บมุกทิพย์ผีขึ้นมา เพิ่งจะหยิบมันขึ้นมา เขาก็รู้สึกถึงพลังวิญญาณที่ร้ายกาจโจมตีมาที่จิตใต้สำนึกของเขา
เฉินเกอรีบถอดเสื้อผ้าออกมาหนึ่งตัวเพื่อห่อมันเอาไว้ ไม่ใช่เป็นเพราะกลัวจะถูกมุกทิพย์ผีควบคุม แต่เป็นเพราะตอนนี้เขาเหนื่อยมาก เฉินเกอที่เพิ่งใช้พลังแปรเทพไปเมื่อกี้ไม่มีแรงที่จะไปวิเคราะห์ส่วนผสมของมุกทิพย์ผีอีก
ทางเล๋ยเล่ก็ได้โทรแจ้งตำแหน่งของหลี่เยว่เหอกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และได้ยืนยันแล้วว่าหลี่เยว่เหอและคนอื่นๆ ไม่มีอะไรน่าห่วงกันแล้ว เขากับเฉินเกอจึงได้เดินกลับบ้านไปพร้อมกัน
ตอนนี้ก็เที่ยงคืนกว่าแล้ว เฉินเกอและเล๋ยเล่เดินเข้าบ้านอย่างเบาๆ เพราะกลัวว่าจะรบกวนการนอนของเจินจีและหยูซิน
“เฉินเกอ เล๋ยเล่ พวกนายกับมาแล้ว!” เจินจีที่สวมใส่ชุดนอนผ้าไหมทั้งชุด ส่วนเว้าส่วนโค้งที่สวยงามทำให้เฉินเกอและเล๋ยเล่ที่เหนื่อยล้ากระปรี้กระเปร่าขึ้นมาไม่น้อย เธอพิงอยู่ตรงประตูถามด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้ในปากจะพูดว่า ‘พวกนาย’ กลับมาแล้ว แต่สายตาของเธอกลับมองไปที่เฉินเกอคนเดียว มองสำรวจเฉินเกอตั้งแต่หัวจรดเท้าว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่
“แฮ่ๆ เจินจีดึกป่านนี้แล้วเธอทำไมยังไม่นอนเหรอ” เฉินเกอเกาหัวอย่างเขินอาย
“นายก็ต้องให้ฉันนอนหลับได้สิ ไม่บอกไม่กล่าวก็ไปหาหลินเทียนหยวน หนึ่งวันหนึ่งคืนโดยที่ไม่มีข่าวคราว อีกอย่างในข่าวยังรายงานว่าหลี่เยว่เหอโดนจับตัวไป ฉันเกือบที่จะออกไปตามหาพวกนายแล้ว” เจินจีขณะที่บ่น ก็ได้นำอาหารที่ทำไว้เมื่อค่ำออกมาอุ่น
“ฮ่าๆ คุณหนูใหญ่เจิน หลินเทียนหวยนได้ถูกผมจัดการไปแล้ว ยังได้ของขวัญแห่งชัยชนะมาด้วยหนึ่งชิ้น!” เล๋ยเล่แย่งตอบอย่างภาคภูมิใจ
“หลินเทียนหยวนถูกจัดการแล้ว? เฉินเกอฉันรู้ว่านายต้องทำได้อยู่แล้ว!” เจินจีมองไปทางเฉินเกอด้วยสายตาที่ศรัทธา เล๋ยเล่นั้นอยากที่จะเอาหน้า แต่กลับถูกเพิกเฉย
เฉินเกอหยิบมุกทิพย์ผีที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้า มาเปลี่ยนใส่ที่กล่องไม้ที่ประณีต แสงสีดำที่แปลกประหลาดก็ทำให้เจินจีเกิดความสนใจขึ้นมา
“มันคืออะไร?” เจินจีถามอย่างประหลาดใจ
“มันเป็นมุกทิพย์ผีที่อยู่ในร่างของหลินเทียนหยวน พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือมุกทิพย์ผีที่ควบคุมหลินเทียนหยวนทำให้เจตจำนงของราชาผีตื่น เพราะมัน เกือบจะทำให้เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่” เฉินเกอปิดกล่องไม้ด้วยความระมัดระวัง ใช้พลังทิพย์ปิดผนึกมันไว้ชั่วคราว อย่างไรเสียของสิ่งนี้ก็เป็นของอันตราย
“มันคือมุกทิพย์ผีที่ท่านฟ่านพูดถึงหรือเปล่า? แล้วนายมีเบาะแสอะไรใหม่ๆ มั้ย?” ดวงตาที่งดงามของเจินจีเป็นประกาย
“ยังไม่มี ฉันกะว่าพรุ่งนี้จะไปหาท่านฟ่านแต่เช้า บางทีเขาอาจจะให้คำตอบกับฉันได้” เฉินเกอตอบ “ครั้งแรกที่ฉันสัมผัสมุกทิพย์ผีนั้นรู้สึกมีพลังสองแบบ พลังที่สามารถทำให้ฉันแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และพลังอีกแบบที่ดูเหมือนจะกลืนกินฉัน วันนี้ฉันใช้ทักษะเจินเสินก็ไม่สามารถใช้พลังทิพย์อีกแล้ว พรุ่งนี้เอาไปที่ท่านฟ่านแล้วค่อยดูพร้อมกันนะ”
“ก็ดี รีบทานข้าวแล้วไปนอนพักเถอะ” เจินจีได้อุ่นกับข้าวเรียบร้อยแล้ว เฉินเกอกับเล๋ยเล่ก็กินอย่างรวดเร็ว
เช้าวันที่สอง เฉินเกอก็พาเล๋ยเล่มุ่งไปบ้านที่แผ่นดินหลิงคงของท่านฟ่าน
“ไอ้หยา ดีจังเลย ฉันคิดไม่ถึงว่าในชีวิตนี้จะได้เห็นมุกทิพย์ผีนี้ อาศัยบุญบารมีของนายจริงๆ เฉินเกอ” ท่านฟ่านอารมณ์ดีมาก ศึกษามุกทิพย์ผีนี้เป็นความปรารถนาในชีวิตของท่าน
“เฉินเกอนายดูนี่ ด้านนอกมุกทิพย์ผีมีควันดำหนึ่งชั้น เป็นวิญญาณร้ายที่ราชาผีกักเก็บมาหลายพันปี หนึ่งในนั้นก็มีเจตจำนงของราชาผีอยู่ด้วย เผด็จการอย่างมาก หากไม่ใช่คนที่มีร่างกายที่แข็งแกร่งมาก ก็คงจะโดนมันกลืนกินไปแล้ว” ท่านฟ่านยังคงฝังใจกับมุกทิพย์ผี เขาไม่กล้าที่จะสัมผัสมันแม้แต่นิดเดียว “และแกนกลางของมุกทิพย์ผีนี้ เป็นหินสมัยโบราณชิ้นหนึ่ง ตำนานเล่ากันว่าพอราชาผีได้หินชิ้นนี้มา จึงได้ก้าวไปทีละขั้นตอนเข้าสู่เส้นทางการฝึกวิชาผีจนกลายเป็นราชาผี”
เฉินเกอฟังคำพูดของท่านฟ่านแล้ว ก็ได้ใช้พลังทิพย์ตรวจสอบทันที หลังจากพยายามมองผ่านทะลุวิญญาณร้ายแล้ว เฉินเกอก็ได้เห็นด้านในมุกทิพย์นั้นมีพลอยสิบสองเหลี่ยมอยู่หนึ่งเม็ด ด้านบนยังล้อมรอบด้วยฮู้ ย้อนคิดถึงรอยหลุมห้าเหลี่ยมบนคัมภีร์ดารกะ ในที่สุดเฉินเกอก็หัวเราะขึ้นมา
“ฮ่าๆๆๆๆ สวรรค์มีเมตตากับคนดีเสมอ ฉันคิดว่าฉันรู้ว่ามันคืออะไรแล้ว จากนั้นเฉินเกอก็หันไปทางเล๋ยเล่แล้วพูด เล๋ยเล่ ครั้งที่แล้วที่นายดูดมุกทิพย์ผีเข้าไปแล้ว ไม่เพียงไม่ถูกควบคุมแต่กลับมีพลังที่เพิ่มมากขึ้น ครั้งนี้นายกล้าที่จะช่วยฉันดูดควันดำชั้นนอกของมุกทิพย์ผีนี้มั้ย?”
“พี่เฉิน ผมรู้สึกว่าได้ พลังนี้ใกล้ชิดกับผมมาก อีกอย่างราชาผีก็ได้ตายไปแล้ว มุกทิพย์ผีก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นแล้ว” เล๋ยเล่ตอบ จากนั้นสองมือได้ยกมุกทิพย์ผีขึ้น จึงเริ่มใช้วิชาดูดวิญญาณที่เฉินเกอสอนให้เขาอีกครั้ง รวบรวมวิญญาณไว้ตรงอก ขยายรูจมูกแล้วใช้แรงดูด ควันดำก็หมุนเข้าไปในร่างกายของเล๋ยเล่
“ร้อน ร้อนมาก! พี่เฉิน ผมจะถูกเผาแล้ว!” ควันดำที่เล๋ยเล่ดูดเข้าไปในร่างกายกำลังต่อต้าน เล๋ยเล่ถูกควันดำนี้ทรมานจนเหงื่อท่วมหัว เฉินเกอรีบหยิบผลวิหายสะลูกหนึ่งป้อนให้เล๋ยเล่ จากนั้นจึงออกคำสั่ง “รีบนำพลังนั้นเคลื่อนย้านไปที่ดานเถียนจากนั้นใช้วิชารวมวิญญาณกดทับมันเอาไว้!”
เล๋ยเล่หลังจากที่กินผลวิหายสะก็รู้สึกเย็นสบายขึ้นไม่น้อย เขารีบปฏิบัติตามคำสั่งของเฉินเกอ นำควันดำย้ายไปที่ดานเถียนจากนั้นก็ใช้วิชาดูดวิญญาณทำให้ควันขยับไม่ได้อีก ควันดำยิ่งหมุนยิ่งเร็ว ยิ่งอยู่ยิ่งเล็ก สุดท้ายถูกเล๋ยเล่ดูดเข้าไปจนหมด
ในที่สุดเล๋ยเล่ก็สบายตัวแล้ว ทุกคนมองเขาอย่างประหลาดใจ
“เล๋ยเล่ นายรู้สึกว่าร่างกายตัวเองแปลกๆ หรือเปล่า? ร่างกายของนายมีลายงูเหลือมสีดำปรากฏออกมา” เฉินเกอถามอย่างห่วงใย
“ผมรู้สึกสบายมากขึ้นกว่าเดิม อีกอย่างเหมือนว่าผมจะจำเรื่องของเมื่อก่อนได้แล้ว พี่เฉิน!” เล๋ยเล่คุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วคารวะเฉินเกอ ดูดวิญญาณร้ายของมุกทิพย์ผีแล้ว ไม่เพียงแต่มีพลังเพิ่มขึ้น ยังช่วยฟื้นฟูความทรงจำกลับมาอีกด้วย
“งั้นก็ดี น้องชายที่ดีของฉันได้กลับมาแล้ว!” เฉินเกอก็ดีใจเป็นอย่างมาก
“นี่……ลายงูเหลือมนี้เป็นลักษณะเฉพาะของผู้ฝึกวิชาผี…..!” ท่านฟ่านพูดอย่างติดอ่าง
“อะไรคือผู้ฝึกวิชาผี?” เล๋ยเล่ถาม
“ผู้ฝึกวิชาผีก็คือ นอกจากที่ฝึกปฏิบัติตามปกติ ยังสามารถอาศัยการดูดวิญญาณเพื่อยกระดับของผู้ฝึกตน เป็นคนที่หายากในรอบพันปี วันนี้ตาเฒ่าอย่างฉันก็ได้เห็นมันแล้ว ช่างโชคดี โชคดีจริงๆ!” ท่านฟ่านพูดอย่างตื่นเต้น
เวลานี้เล๋ยเล่ก็รู้สึกว่าทั้งร่างกายตัวเองเต็มไปด้วยพลัง แข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนอย่างมาก บวกกับได้ฟื้นคืนความทรงจำของผู้ฝึกตน สามารถบอกว่าเหมือนกับตายแล้วเกิดใหม่ นอกจากผิวที่เปลี่ยนแปลงไป ดวงตาของเขาก็แน่วแน่มาก
“ยินดีด้วย เล๋ยเล่ ยินดีที่นายสามารถก้าวข้ามการบำเพ็ญจิตชั้นสามของขอบเขตเจินเสิน ในเวลาเดียวกันก็สามารถกลายเป็นผู้ฝึกวิชาผี หวังว่านายจะสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับฉัน กำจัดปีศาจในเวลาที่จะใกล้เข้ามานี้!” เฉินเกอแสดงความยินดีอย่างจริงใจกับเล๋ยเล่
“ตั้งใจแน่วแน่น ต่อให้ต้องตายก็ไม่ถอย!” ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามที่เล๋ยเล่ตัดสินใจจะช่วยเฉินเกอในการกอบกู้โลก เริ่มตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาตัดสินใจที่จะช่วยเฉินเกอกอบกู้โลกนั้น ชีวิตของก็ได้ถูกมัดรวมไว้กับของเฉินเกอแล้ว
“ต่อไปนี้ ถึงตาฉันที่ต้องเผชิญกับโชคชะตาแล้ว” เฉินเกอที่กำหินสิบสองเหลี่ยมไว้ในมือพูดอย่างเงียบ ๆ