เมื่อฮ่องเต้ตรัสไม่เพียงแต่เยี่ยเม่ยที่ตกใจ แม้แต่จงซานก็ใจกระตุก คิดว่าฮ่องเต้พลันแจ่มแจ้งขึ้นมาในฉับพลัน เปลี่ยนเป็นฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว เกรงว่าตนเองกับคนอื่นๆ จะตกอยู่ในอันตราย
ไม่คิดว่า…
หลังจากที่ฮ่องเต้ทรงแสดงสีพระพักตร์เคร่งขรึมอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตรัสขึ้น “ลองคิดดู อยู่ดีๆ ทำไมแม่ทัพสองคนถึงได้ชกต่อยกัน ผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัวขึ้นเป็นเรื่องบังเอิญจริงหรือ จู่ๆ อี้อ๋องก็เรียกให้พวกเจ้าทุกคนไปงานเลี้ยง มีประสงค์อันใดกันแน่”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ก็ยังตรัสต่อไป “จนสุดท้ายก็มีใครก็ไม่รู้ไปรายงานที่ค่ายทหาร ทำเรื่องให้ใหญ่โต พอมาถึง อี้อ๋องก็มาซักไซ้ไล่เรียงกับข้า ถ้าข้าโง่อีกนิดก็คงจะมองไม่ออกว่านี้คือกับดัก เป็นหลุมพรางที่เป่ยเฉินอี้วางแผนไว้เป็นอย่างดี”
ด้วยความร้อนตัวเยี่ยเม่ยจึงไม่กล้าจะพูดอะไรออกมา
จงซานเป็นคนที่กะล่อน เขาทำราวกับไม่รู้สึกผิด และเมื่อได้ยินฮ่องเต้ตรัสเช่นนี้ ก็ทำท่าทางเจ็บปวดใจอย่างมากพร้อมกับพูดว่า “จริงพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท! แสดงว่าอี้อ๋องคิดจะก่อกบฏ ตั้งใจวางแผนใส่ร้ายองค์ชายใหญ่กับท่านแม่ทัพทั้งสอง ต้องการจะบีบให้ฝ่าบาทมอบอำนาจทางการทหารให้แก่เขา แต่โชคดีที่ฝ่าบาททรงอ่านแผนการของเขาได้ทะลุปรุโปร่ง จึงทรงมอบอำนาจการทหารให้แก่เหอซั่วหนี่ว์อ๋อง พวกเราจึงหลีกเลี่ยงความยุ่งยากครั้งนี้ไปได้ ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งนัก ”
เดิมทีองค์ชายใหญ่ยังสงสัยจุดยืนของจงซาน แต่เมื่อได้ฟังที่จงซานพูด ก็รู้สึกได้ว่าจงซานกำลังช่วยตนอยู่ ดูเอาเถิด จงซานก็แสดงความเห็นออกมาว่าเขาโดนเสด็จอาใส่ร้ายเช่นกัน คาดว่าที่เสนอให้มอบอำนาจทางการทหารให้แก่เยี่ยเม่ยและให้ตนเป็นผู้ช่วยนั้น ก็คงเพราะเห็นว่าเหตุการณ์ลุกลามจนไม่อาจแก้ไขได้ จึงได้แต่ถอยไปตั้งหลักใหม่ วางแผนเพื่อตนเองอีกครั้ง
เยี่ยเม่ยได้ฟังที่จงซานพูดในใจกลับรู้สึกว่าเสแสร้งนัก นางเองไม่ใช่คนที่ถนัดในเรื่องเล่นเกมการเมืองในวังหลวง แต่ถนัดการใช้คำพูดกลับขาวเป็นดำเช่นเดียวกับเยาเนี่ยสหายสนิท ดังนั้นในเวลานี้นางรู้สึกกลัวขึ้นมา
ฮ่องเต้เป็นกษัตริย์มาตั้งหลายปี ไม่น่าจะโง่ขนาดนี้สิ
และแล้ว……
สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือพระองค์ก็ทรงโง่มากจริงๆ สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เผยให้เห็นความลำพอง ทอดพระเนตรมองจงซาน ตรัสต่อว่า “นั่นสิ โชคที่ข้าเห็นเยี่ยเม่ยเข้ามา จึงได้ตัดสินใจมอบอำนาจการทหารให้กับนางทันที ข้าจะยอมให้เป่ยเฉินอี้ได้ไปง่ายๆ เช่นนั้นหรือ เป่ยเฉินอี้ขโมยไก่ไม่ได้ซ้ำยังต้องเสียข้าวไปอีก วางแผนโดยเปล่าประโยชน์ ตอนนี้คงโมโหน่าดู คิดถึงหน้าตาของปราชญ์อันดับหนึ่งในใต้หล้าผู้นั้นแล้ว ข้าช่างมีความสุขเสียจริง
เยี่ยเม่ย “….”
เกรงว่าเป่ยเฉินอี้คือผู้ที่ปราดเปรื่องกว่าใครในใต้หล้า ส่วนพระองค์คือลาโง่อันดับหนึ่งในใต้หล้า
ต่อให้เป็นจริงอย่างที่ฮ่องเต้คาดการณ์ไว้ เป่ยเฉินอี้ดำเนินตามแผนการไม่สำเร็จ แต่ที่ว่าขโมยไก่ไม่ได้ซ้ำยังต้องเสียข้าวไปอีก คำพูดนี้มันไม่ค่อยจะถูกต้องนัก เป่ยเฉินอี้ก็ไม่ได้สูญเสียอะไรไปนี่
ดูท่าฮ่องเต้จะไม่เพียงแต่มีปัญหาเรื่องสติปัญญา แต่พื้นฐานภาษาก็ยังไม่ได้เรื่องอีกด้วย!
“จริงด้วย โชคดีที่ฝ่าบาทล่วงรู้แผนการร้ายของเสด็จอา มิเช่นนั้นครั้งนี้ ต้องเสียทีให้กับเสด็จอาจริงๆ” เป่ยเฉินเสียงรีบแสดงความคิดเห็นออกมา
เยี่ยเม่ย “….”
พวกท่านสองพ่อลูกกำลังแข่งว่าใครโง่กว่ากันหรือไง
เอาเถอะ พวกท่านก็แสดงความคิดกันออกหน้าออกตา ไม่ต้องแข่งกันแย่งตำแหน่งเจ้าโง่อันดับหนึ่งหรอก
ซือถูจ้าวได้แต่อึ้งจนพูดไม่ออก โกรธจนพูดออกมาตรงๆ เขาไม่รู้ว่าฮ่องเต้กับเป่ยเฉินเสียงกำลังพูดอะไรกัน
จริงๆ แล้วตอนที่ฮ่องเต้ได้มอบอำนาจทางการทหารให้กับเยี่ยเม่ย เขาที่เป็นเสนาบดีก็ได้แต่ยืนงง
ไม่เข้าใจว่าสมองของฮ่องเต้กำลังคิดอะไรอยู่ ไม่อาจเก็บอำนาจการทหารไว้ในมือได้ แต่ก็ไม่ยอมมอบให้เป่ยเฉินอี้ เช่นนั้นจึงมอบให้เยี่ยเม่ยอย่างนั้นหรือ อย่าหาว่าเขาพูดตรงๆ เลย ฝ่าบาทกับเยี่ยเม่ยมีความสัมพันธ์ที่ดีกันขนาดนั้นเลยอย่างนั้นหรือ ฝ่าบาทเชื่อใจเยี่ยเม่ยได้เพียงนี้เชียวหรือ
เรื่องหักมุมในการส่งมอบอำนาจทางการทหารนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
ซือถูจ้าวคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน ค่อยๆ เริ่มเข้าใจ ยังไม่ใช่เพราะหลังจากเกิดเรื่องขึ้น ทุกคนยืนอยู่ข้างอี้อ๋อง มีเพียงเยี่ยเม่ยที่อยู่ข้างฝ่าบาท ไม่แปลกที่ฮ่องเต้จะคิดว่าเยี่ยเม่ยคือคนที่ภักดีกับพระองค์เพียงคนเดียว
ในเวลาเช่นนั้น ฮ่องเต้ย่อมยอมมอบอำนาจทางการทหารให้นางได้ง่ายๆ
เสนาบดีได้แต่ถอนใจยาวอยู่ข้างใน มองไปยังคนที่เข้ามาแล้วไม่พูดอะไร แต่ใครก็ไม่อาจมองข้ามได้อย่างเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ไม่รู้ว่าเป็นลางสังหรณ์ไม่ดีของตนหรือเปล่า เขาสงสัยว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งฮ่องเต้จะถือเอาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ก็เป็นได้
อย่างไรเสีย
ตอนนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับเยี่ยเม่ย ก็มีกำลังทหารอยู่ในมือถึงสี่แสนนาย
ในเวลานี้เป่ยเฉินเสียงเองก็ยังมึนงงอยู่ เขายังไม่ทันลืมความสุขที่สามารถแต่งกับมู่หรงเหยาฉือได้ กำลังมีความสุขสะใจอยู่ในจวนดีๆ
ไม่เคยคิดว่าเมื่อหลับอยู่กลางดึก ต้องตื่นขึ้นมาถูกเรียกให้เข้าวัง กำลังทหารสองแสนนายหลุดมือไป ชีวิตคนขึ้นๆ ลงๆ ก็เป็นเช่นนี้เอง
เขารู้สึกว่าเขาถูกรังแก เลยพูดขึ้น “เสด็จพ่อ ลูกถูกใส่ร้าย เสด็จอา….ทำเกินไปแล้ว”
เดิมทีฮ่องเต้โมโหเป่ยเฉินเสียงมาก แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเป็นแผนการของเป่ยเฉินอี้แล้ว
พระองค์ก็เริ่มสงสารลูกชายตัวเองขึ้นมา
พระองค์ตรัสออกไปว่า “ลำบากเจ้าแล้ว เสด็จอาเจ้าเป็นตาแก่เจ้าเล่ห์ เจ้าจะไปสู้เขาได้อย่างไร
ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์
ดูเหมือนว่าเป่ยเฉินอี้ไม่ได้โตไปกว่าเป่ยเฉินเสียงสักเท่าไร
เยี่ยเม่ยแสดงออกว่าถ้านางจำไม่ผิดเป่ยเฉินอี้โตกว่าไม่ถึงสองปีด้วยซ้ำ ช่างเถอะ หลังจากที่ถูกคนวางแผนทำร้าย ก็ต้องมีเหตุผลมาปลอบใจตัวเองให้ได้ใช่หรือไม่
แต่ว่า
ฮ่องเต้เปลี่ยนสุรเสียง ตรัสขึ้นมาว่า “แต่เจ้าเป็นลูกคนโตของข้า ไม่ควรจะประมาทเช่นนี้ เจ้าต้องระวังคนรอบข้างตลอดเวลา อย่าให้เกิดเรื่องเช่นวันนี้อีก หากครั้งหน้าเสด็จอาของเจ้าต้องการหัวเจ้าขึ้นมา ข้าก็อาจทำอะไรไม่ได้ ”
เหตุการณ์ครั้งนี้เป่ยเฉินเสียงต้องถูกลงโทษ แต่เป่ยเฉินอี้คร้านจะเอาเรื่อง เขาจึงรอดตัวไป
แต่ครั้งหน้า…..
เป่ยเฉินเสียงหน้าซีดเผือด ตกใจกลัวจนหน้าขาวซีดเป็นกระดาษ
เขาระแวงคนมากมาย ไม่คิดว่าสุดท้ายคนที่จะเอาชีวิตเขาได้กลับเป็นเสด็จอาที่ไม่เคยอยู่ในสายตา คิดดังนี้ได้ จึงรีบพูดขึ้น “ต่อไปลูกจะระวังให้มากขึ้น”
เยี่ยเม่ยเอ่ย “ฝ่าบาททรงวางพระทัยได้ หม่อมฉันกับองค์ชายสี่จะภักดีและสนับสนุนฝ่าบาทกับองค์ชายใหญ่แน่นอน”
“เจ้าพูดจริง” ฮ่องเต้ตรัสถาม แล้วหันไปทอดพระเนตรเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ยินเข้าก็ยิ้มน้อยๆ ก้มหน้าตามเยี่ยเม่ย กล่าวช้าๆ “เสด็จพ่อโปรดวางพระทัย พระชายาว่าอย่างไร เยี่ยนก็ว่าตามนั้น ”
ฮ่องเต้สำราญพระทัยเป็นอย่างมาก รีบตรัสตอบ “ดี ดี ครอบครัวร่วมใจ แค่เป่ยเฉินอี้ไม่ต้องกลัวหรอก องค์ชายใหญ่ เจ้ากับน้องสี่ของเจ้าต้องช่วยเหลือกัน เข้าใจไหม”
เป่ยเฉินเสียงเองก็ดีใจมากเช่นกัน พยักหน้ารับ “พ่ะย่ะค่ะ ลูกจะหมั่นหารือกับน้องสี่และเหอซั่วหนี่ว์อ๋องแน่นอน ร่วมมือป้องกันเสด็จอาด้วยกัน”
เขาไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าจะมีสักวันที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะช่วยเหลือเขา
ซือถูจ้าวมองดู แต่ในใจก็ไม่อาจวางใจได้ รู้สึกว่าเป่ยเฉินเสียงด่วนดีใจเกินไป