ตอนที่ 42 จับมืออย่างเก้อเขิน
เจียงหยู่เป็นพวกที่พยายามอย่างไร้ยางอาย ก็ได้แค่เพียงถือไว้ด้านหน้าเธอเท่านั้น
เพราะก็รู้ว่าหวาเหวินไม่สนใจของขวัญ แต่ก็ยังจะเอาจื่อถานใบเล็กมาตรงหน้าเธอ ให้เธอออกความเห็น
หวาเหวินจนใจ จึงหันไปเปิดกล่อง
หยิบขึ้นมาดูโดยรอบ มองเขาด้วยสายตาที่ค่อนข้างซับซ้อน “นายจะลงทุนซื้อของขวัญแพงขนาดนี้ทำไม?”
“ก็ไม่ใช่แม่ฉันนี่ แต่ก็ไม่ใช่คนอื่นไกล”
หวาเหวินไม่ได้ตอบอะไร ใช้มือยกของคาดคะเนน้ำหนัก
“นายซื้อมาเท่าไหร่?”
“สามแสนห้า”
หวาเหวินพยักหน้า “ราคาเหมาะสม ราคาตลาดก็อยู่ที่สามแสนห้าถึงสี่แสนนี่แหล่ะ จะว่าไปคุณภาพก็ไม่เลวเลย เพื่อนนายก็ไม่ได้หลอกอะไรนายนิ”
“ฮ่าๆ ไม่ได้หลอกก็ดีแล้ว”
หลังหวาเหวินประเมินราคา ใจของเจียงหยู่ก็รู้สึกดีขึ้นมา
เพราะไม่ต้องพักค้างแรมจึงไม่ได้ให้ชุนเถากันหยินซิ่งมาด้วย
รถค่อยๆขับเข้าไปในบ้านตระกูลหวา
ทั้งสองลงมาจากรถ เจียงหยู่ถือโอกาสจับมือหวาเหวิน
“นายทำอะไรน่ะ” หวาเหวินถามด้วยน้ำเสียงที่ต่ำ
“ในที่สาธารณะแบบนี้ เราต้องแสดงความรักต่อกัน”
เจียงหยู่กระชับมือเธอและเดินเข้าไปข้างใน
ด้านหน้าประตูมีคนคอยต้อนรับอยู่ไม่น้อย
ทำแบบนี้ก็ดูจะเป็นการให้ความสำคัญกับเจียงหยู่และตระกูลเจียง
“สีหน้าน้องห้านับวันยิ่งดีขึ้นแล้ว” คำพูดของหวาผิงบุตรคนสามดังขึ้น
เพราะหวาผิงเป็นดาราดัง ดังนั้นบ้านจะค่อนข้างมีฐานะ นิสัยก็จะค่อนข้างทระนง คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ฝีปากกล้า
หวาผิงยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็เดินตามเจียงหยู่เข้าไป
ทั้งสองนั่งอยู่ที่ห้องรับแขกครู่หนึ่ง หวาผิงก็ไปดูคุณยายที่สวนหลังบ้าน
จนกระทั่งถึงเวลาอาหารเที่ยง จึงพยุงคุณยายเข้ามาในห้องอาหาร
ตระกูลหวา มีหญิง 5 คน มีอยู่3คนที่แต่งงานแล้ว
ก็จะมีแต่บุตรหญิงที่สามหวาผิงและบุตรหญิงที่สี่หวาฟ่านเท่านั้นที่ยังไม่แต่งงาน
แต่หวาฟ่านมีแฟนแล้ว วันนี้ก็ได้มาที่นี่พอดี เขาเป็นตำรวจมีชื่อว่าป๋ายห้าว
คนในตระกูลหวานี้ ยากที่จะเข้าใจธรรมดาทั่วไป
ช่วงแรกก็ไม่เห็นด้วย แต่หวาฟ่านเป็นคนดื้อรั้น ดึงดันจะคบกันให้ได้
และก็ได้พาเขามา แต่พวกคนรวยในบ้านเหล่านั้นกลับทำปั้นปึงใส่
ป๋ายห้าวเป็นเพียงคนธรรมดา มาพบปะคนตระกูลหวาอย่างนี้ก็คงจะทำตัวไม่ค่อยถูกเท่าไหร่
โดยเฉพาะช่วงที่เจียงหยู่มอบของขวัญให้แล้ว
พอดูป๋ายห้าว มอบให้เพียงแค่ผ้าพันคอ Burberry ที่ราคาเพียงไม่กี่พันเท่านั้น
หวาหรุง บุตรที่สองตั้งใจพูดฉีกหน้าว่า “แม่ฉันมีผ้าพันคอแบบนี้เยอะจนกองเป็นภูเขาละ ทำไมต้องให้ผ้าพันคออีกล่ะ?”
สวี่ลี่หวาหัวเราะ “เยอะจริงๆ สีนี้ของฉันก็มี หรือไม่ก็เอาไปให้นายใช้ดีมั้ย?”
คำพูดเหล่านี้ยิ่งทำให้ป๋ายห้าวทำตัวไม่ถูกยิ่งกว่าที่เป็น…..
ภายนอกที่พูดแบบนี้ ที่จริงแล้วก็รู้ว่าของมันราคาถูกเกินไป
สำหรับตระกูลหวาแล้ว ผ้าพันคอBurberry เป็นของใช้ที่อยู่ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว จะมอบให้เป็นของขวัญ มันก็จะดูซอมซ่อไปหน่อย
แต่ก็ช่วยไม่ได้ ป๋าวห้าวเป็นเพียงแค่ตำรวจน้อยๆคนนึง เงินเดือนก็เพียงแค่สี่ห้าหมื่นเท่านั้น แต่เค้าก็ถือว่าน้ำใจมากแล้ว
หวาฟ่านมีอาการชักสีหน้าเล็กน้อย ในใจมีอารมณ์โกรธเป็นเนืองนิด
พูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “ป๋ายห้าวเป็นเพียงตำรวจธรรมดาคนนึง จะเปรียบเทียบรายรับกับชายเจียงหยู่ไม่ได้อยู่แล้ว ชายเจียงให้ของขวัญราคาหลักแสน นั่นมันคือจำนวนเงินที่คนธรรมดาเค้าเอาไว้ดาวน์บ้านกัน มันเป็นช่องว่างระหว่างคนรวยคนจน ซึ่งบางครั้งเราไม่สามารถใช้เงินมาตัดสินน้ำใจหรือเจตจำนงของใครได้ เพราะน้ำใจมันไม่มีมูลค่าหรอก ”
ความคิดเห็นที่หวาฟ่านพูดมานั้น ทำให้เจียงหยู่ที่เพิ่งเข้ามายิ่งทำตัวไม่ถูก
เจียงหยู่ก้มหน้าไม่ได้พูดอะไร เพราะเขาก็ไม่ได้คิดอยากจะให้อะไรมันขัดแย้งขึ้นกว่าเดิม
แต่ด้านของหวาเหวินรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่
เธอเหลียวมองหวาฟ่าน “พี่สี่พูดแบบนี้ไม่ถูกนะคะ ชีวิตที่สมบูรณ์เกิดตาย ฟ้ากำหนด ความต่างระหว่างรวยจนอยู่ที่สภาพของบ้านเมือง จะโทษที่เจียงหยู่ดันเกิดในตระกูลเจียงเหรอ? เกิดในสภาพครอบครัวดีหรือไม่ดี ไม่ใช่ว่าจะสามารถควบคุมมันได้”
เมื่อพูดจบ เจียงหยู่รู้สึกประหลาดใจปนดีใจเป็นนิจ นี่หวาเหวินกำลังปกป้องเขาอยู่เหรอ?