ตอนที่ 134 วันเกิดของหวาผิง
เมื่อหวาเหวินได้ยินเขายังพูดถึงเรื่องนี้ เธอจึงถามเขาว่า “ทำไมหวางเซียวอี้ถึงได้เจาะจงเป็นตระกูลหวาของฉันด้วย?”
เจียงหยู่อธิบายด้วยความอดทนว่า “นายหญิงแก่ตระกูลหวางไม่ได้มองที่ความคู่ควร เมื่อกี้ก็บอกเธอไปแล้วว่าในตระกูลใหญ่ทั้งสี่ตระกูลนี้ เหลือเพียงแค่ตระกูลหวาเท่านั้นที่มีลูกสาวอีกสองคนยังไม่แต่งงาน อายุก็ไล่เลี่ยกับเซียวอี้ เหมาะสมที่จะเป็นข้อแก้ต่างให้กับนายหญิงแก่ได้”
“แต่พี่สามและพี่สี่ต้องไม่ยอมแน่ ๆ ” หวาเหวินขมวดคิ้ว
“ไม่เป็นไร เพียงแค่เธอช่วยถามให้หน่อยก็พอ ถ้าปฏิเสธกลับมาก็ช่างเถอะ ถึงอย่างไรเซียวอี้ก็มาขอร้องฉันด้วยตัวเอง พวกเราก็ช่วย ๆ เขาหน่อยละกัน เธอว่าไงละ?”
เมื่อเห็นเจียงหยู่พยายามอดทน และใช้น้ำเสียงอย่างอ่อนโยนพูดกับเธอขนาดนี้
หวาเหวินจึงไม่อาจใจแข็งปฏิเสธกลับได้ เธอทำได้เพียงแค่พยักหน้า แล้วจำมันไว้ในใจ
คิดว่าเมื่อมีเวลาว่างก็จะไปถาม ๆ ดูให้
ไม่ได้ก็ช่าง ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่เรื่องของตัวเองอยู่แล้ว
วันที่สอง หวาเหวินได้ส่งวีแชทไปหาหวาฟ้าน ด้วยการถามหยั่งเชิงไปว่าเธออยากดูตัวไหม?
หวาฟ้านจึงตอบปฏิเสธกลับมาอย่างเด็ดขาด อีกทั้งยังแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่ายังลืมป๋ายห้าวไม่ได้
เมื่อได้ยินความหมายนั้น ดูเหมือนว่าเธอยังอยากดึงเอาความรู้สึกตอนนี้กลับมาด้วย
ถ้าเป็นแบบนี้ละก็ ถามไปก็คงไร้ประโยชน์ ถ้าแสร้งแสดงเป็นคนรักกันแล้วถูกป้ายห้าวเข้าใจผิดขึ้นมาละก็ เรื่องอาจจะยิ่งแย่ลงไปมากกว่านี้ก็ได้?
หรือพูดอีกอย่างก็คือ หวาฟ้านมีนิสัยค่อนข้างปิดกั้นตัวเอง จึงไม่เห็นด้วย
หวาเหวินเอนตัวลงนอนบนที่นอนไม้…….
พร้อมกับกอดเจ้าโคกเอาไว้ในอ้อมแขน
“เจ้าโคก แกว่าเราควรทำยังไงดี? หวางเซียวอี้มีหน้าตาใช้ได้เลยนะ ใบหน้าคมมีเสน่ห์……… และก็ไม่เหมือนกับคนไก่ขัน สุนัขขโมยแบบนั้นสักนิด แต่พี่สี่เป็นคนที่หัวรั้นเอามาก ๆ รู้จักแค่เพียงตำรวจที่ทำร้ายเธอมาครึ่งชีวิตคนนั้น แล้วเรายังต้องถามพี่สามอีกไหม? เราจะถูกด่าไหม? ”
เจ้าโคกส่งเสียงร้องเหมียวออกมา จากนั้นก็แทรกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของหวาเหวิน
ความจริงแล้วหวาเหวินนั้นกลัวหวาผิงมากเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์ที่ค่อนข้างดุดันนั้นของเธอ
ไม่เพียงแต่หวาเหวินเท่านั้น ตระกูลหวาต่างก็เกรงกลัวหวาผิงกันทั้งนั้น
เธอเป็นราชสีห์มาตั้งแต่กำเนิด เป็นเหมือนดั่งราชินีผู้สูงส่ง
ในแวดวงการบันเทิงเธอเองก็เป็นดาวที่เจิดจรัสไม่มีใครสามารถเทียบเทียมได้
เคยมีผู้กำกับดื่มเหล้าจนเมามายคนหนึ่ง เขาจะทำมิดีมิร้ายกับเธอ
ว่ากันว่าถูกเขากระชากเข้าไปในห้องน้ำอย่างรุนแรง จากนั้นก็ถูกเธอต่อยจนฟันหน้าหักไปสามซี่
แล้วก็มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีดาราหญิงที่มีชื่อเสียงในระดับเดียวกันคนหนึ่ง ตั้งใจจะทำให้เธอเสียหน้า
ในพิธีมอบรางวัล ดาราสาวคนนั้นก็ได้นำถ้วยรางวัลวางลงบนพื้น จากนั้นก็ให้หวาผิงโน้มตัวลงไปหยิบถ้วยรางวัลนั้น
เธอบอกว่าเธอเจ็บข้อมือ ไม่สามารถถือถ้วยรางวัลถ้วยนี้ได้
แล้วในตอนนั้นเองเธอก็ได้ป่าวประกาศออกไปว่าหวาผิงนั้นดักขาเธอจนทำให้ถ้วยรางวัลถ้วยนั้นหล่นลงไปบนพื้น
จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเบา ๆ ว่า “ในเมื่อเธอคว้ารางวัลนี้ไม่ได้ งั้นก็เตะมันให้พังไปเลย จะได้เก็บไว้เป็นที่ระลึก”
ผลที่ตามมาหลังจากนั้น หวาผิงได้เป็นข่าวหน้าหนึ่งทุกฉบับ
มีคนบอกว่าเธอนั้นโปรโมทเพื่อสร้างกระแส แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่
นิสัยใจคอของหวาผิงและหวาเหวินนั้นเหมือนกัน ถ้าฉันไม่ไปยุ่งกับคุณ คุณก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับฉัน
ดังนั้นสำหรับคำซุบซิบนินทาที่เป็นกระแสเหล่านั้น หวาผิงเองก็ไม่ได้สนใจไม่ถามและก็ไม่โกรธแต่อย่างใด
หลายปีมานี้ ภาพยนตร์ที่ได้รับมานั้นมีคุณภาพสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ทักษะการแสดงของเธอก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น และได้รับการยอมรับจากผู้ชมและเพื่อนร่วมงานเป็นจำนวนมาก
ต่อให้ตัดความเป็นตระกูลหวาออกได้ แต่เธอก็ยังเป็นหวาผิงดาราสาวผู้ทรงเสน่ห์และโด่งดังที่สุดอยู่ดี
ในยามค่ำคืนของวันพุธ
หลังจากที่หวาเหวินได้รับวีแชทของหวาผิงแล้ว เธอก็รีบให้เจียงอยู่ดูทันที
“คืนนี้เป็นวันเกิดของพี่สาม ฉันเองก็ต้องไปร่วมงานเลี้ยงเป็นครั้งแรก……… นายจะเรียกหวางเซียวอี้มาด้วยไหม?”
ความจริงแล้วหวาเหวินจำวันเกิดใคร ๆ ไม่ได้เลย จำได้แค่วันเกิดของตัวเองเท่านั้น
ปีนี้เธอมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเป็นครั้งแรก หวาผิงเลยคิดว่าไหน ๆ เธอก็อยู่ที่นี่ด้วยแล้ว ก็ถือโอกาสเรียกเธอมาสนุกสนานสร้างความคึกครื้นกันสักหน่อย
อีกทั้งยังเรียกพี่น้องคนอื่น ๆ มาเข้าร่วมด้วย แต่น่าเสียดายที่คนอื่น ๆ หาข้ออ้างที่จะไม่มาร่วมงานวันเกิดเธอซะงั้น
จะกลัวอะไรกัน? หรือไม่อยากให้ของขวัญวันเกิดกันแน่?
หวาฟ้านกลับไม่ใช่เหตุผลนี้ เธอไม่ชอบงานเลี้ยงกลางคืนที่มันเสียงดังแบบนี้ ดังนั้นจึงได้โอนเงินทางวีแชทให้กับหวาผิงเพื่อแสดงถึงความจริงใจ