ตอนที่ 182 ทำเรื่องใหญ่
เจียงหยู่ยกชาขึ้นดื่มอย่างนิ่ง ๆ
“แล้วแต่ ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน ถ้าเป็นสงครามด้านการค้าละก็ ต่อให้ตระกูลแซ่ออกโรงเอง ฉันก็ไม่กลัว”
ประโยคนี้ไม่ได้หมายความว่าเจียงหยู่นั้นโอ้อวดเกินไป และก็ไม่ได้โม้เกินเหตุไปแต่อย่างใด เพราะมันคือเรื่องจริง
ตระกูลเจียงสามารถขยายกิจการออกไปได้อย่างกว้างขวางในระยะเวลาสั้น ๆ แค่ 5 ปีเท่านั้น ทำให้ตระกูลแซ่ร่วงหล่นลงมาเป็นอันดับที่สอง นั้นบ่งบอกได้ว่าเจียงหยู่นั้นเป็นคนที่มีฝีมือมากจริง ๆ
แต่เพราะความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลนั้นดีมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่เคยเกิดความขัดแย้งใด ๆ กันมาก่อน
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าแซ่จื๋อจ้วนจะรู้สึกขัดหูขัดตาเจียงหยู่เพราะเรื่องของหวาเหวินไปสักหมดทุกอย่าง
และในอนาคตก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะต้องเผชิญหน้ากัน ฉินชุงเจี้ยนไม่มีทางพูดแบบไม่มีมูลอย่างแน่นอน
เขาเตือนเจียงหยู่ด้วยความหวังดี นั้นก็พิสูจน์ได้ว่าเขาต้องรับฟังไว้บ้างแล้ว
แต่ในสายตาของเจียงหยู่ เขาไม่ได้คิดว่าแซ่จื๋อจ้วนคือคู่แข่งของเขาแต่อย่างใด ในเมื่อไม่ใช่คู่แข่ง งั้นก็ย่อมไม่สามารถคุกคามเขาได้สำเร็จอย่างแน่นอน
จำนวนคนกว่า 10 คนที่แซ่จื๋อจ้วนพามานั้นคือคณะการรักษาพยาบาล
เขาใช้เวลาตรวจสอบเกือบหนึ่งอาทิตย์เต็ม หลังจากที่ตัดสินใจในทิศทางที่เป็นไปได้แล้ว เขาก็ทุ่มเงินอย่างมหาศาลเรียนเชิญคณะวิจัยที่มีชื่อเสียงดีจากด้านนอกมากลุ่มหนึ่ง
“ประธานแซ่ ขอบคุณที่คุณเชื่อมั่นในพวกเรา ที่มาในวันนี้ก็เพื่อหวังจะให้คุณอธิบายให้พวกเราฟังอย่างชัดเจน คุณอยากจะทำอะไร แล้วพวกเราสามารถทำด้านไหนได้บ้าง? คุณจะให้ผลตอบแทนอะไรแก่พวกเรา? ถ้าจะให้ดีก็ควรจะให้ทุกคนพร้อมกัน อย่าให้พวกเราเสียเวลา 6-7 ชั่วโมงเพื่อมาหาคุณ” ผู้รับผิดชอบคณะเป็นผู้ชายวัย 40 กว่า สวมแว่นตาคนหนึ่งพูดขึ้น ซึ่งเห็นปุ๊บก็รู้ทันทีว่าเป็นนักวิจัยค้นคว้า
แซ่จื๋อจ้วนยิ้ม “อย่าพึ่งร้อนใจไปครับ หม้อไฟร้านนี้อร่อยมากเลยนะครับ เชิญทุกคนรับประทานกันก่อน ทานอิ่มแล้วค่อยมาคุยกันก็ได้ครับ”
แซ่จื๋อจ้วนได้ติดต่อกลุ่มนี้ผ่านคำแนะนำของเพื่อนที่ทำผลิตภัณฑ์จากแร่ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือคนหนึ่ง
ความจริงแล้วเดิมทีพวกเขาเป็นคณะวิจัยการผลิตยาของรัฐวิสาหกิจ ต่อมาเพราะกิจการเกิดการล้มละลาย จึงได้กระโดดมาทำการวิจัยด้วยตัวเอง
แต่เพราะมันเป็นเรื่องเฉพาะทางเลยไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร พวกเขาเลยหาคู่ขาที่ตรงสายงานได้ยากมาก ทุกคนล้วนแต่หาได้จากโรงงานยาเล็ก ๆ ในพื้นที่ หรือไม่ก็ทำการทดสอบโรงงานผลิตภัณฑ์สุขภาพและอนามัย
แซ่จื๋อจ้วนเชิญพวกเขามาด้วยเงินจำนวนมหาศาล จนกระทั่งขอร้องเพื่อนให้ส่งปอร์เช่ คาเยนน์ให้แก่ผู้รับผิดชอบคณะนี้อีกคันหนึ่งด้วย
คน ๆ นั้นเห็นแวบแรกก็รู้ว่าเป็นคนร่ำรวยอยู่แล้ว ยังไม่ทันจะพูดประโยคสองก็ขนคณะมากันแล้ว
ทุกคนต่างกินหม้อไฟกันด้วยความคึกคัก จนดื่มเหล้ามาบรรจบครั้งที่สาม แซ่จื๋อจ้วนจึงได้เอ๋ยปากขึ้นว่า “ท่านไหนเป็นหัวใจหลักในการทำวิจัยครับ?”
“ก็ไม่ได้มีความสามารถมากขนาดนั้นหรอก รู้เพียงแค่งู ๆ ปลา ๆ เท่านั้น ” ชายที่มีผมสีขาววัย 50 กว่าพูดขึ้น
“ประธานแซ่ ศาสตราจารย์ฟ้านเป็นดอกเตอร์ของมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ มีการเผยแพร่เกี่ยวกับบทความด้านอุตสาหกรรมที่มีอิทธิพลมากมาย มีเกียรติศักดิ์ คุณชายแซ่มีแนวคิดอะไรสามารถพูดคุยกับศาสตราจารย์ฟ้าน โดยตรงได้เลยครับ” ผู้รับผิดชอบคนนั้นพยายามผลักดันชายสูงวัยคนนี้ ซึ่งจะต้องมีความสามารถมากแน่นอน
แซ่จื๋อจ้วนจึงบอกเล่าสถานการณ์ที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ออกไป ส่วนใหญ่แล้วเป็นการขอร้องให้ช่วยฟื้นคืนบริษัทให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง เขาต้องการให้ทำการวิจัยเกี่ยวกับยาที่เป็นที่นิยมของตลาด
หลังจากที่ทุกคนได้ยิน ต่างก็แสดงสีหน้าสับสน
“คุณชายแซ่ ผมขอพูดตรง ๆ นะครับ ต้นทุนในการลงทุนทำวิจัยยาในขั้นแรกนั้นสูงมาก อีกอย่างระยะเวลาก็ยาวนานด้วย แนวคิดของคุณกลัวว่าจะไม่ประสบความสำเร็จนะครับ” ผู้รับผิดชอบรู้สึกว่าแซ่จื๋อจ้วนนั้นคิดเพ้อฝันเกินไป ใครจะไปวิจัยยาได้ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ กัน?
แซ่จื๋อจ้วนถือโอกาสเอนกายพิงพนัก “เรื่องเงินลงทุนไม่มีปัญหาหรอกครับ ที่ผมอยากพลิกผันโรงงานเจ้าปัญหาให้ฟื้นกลับมาไม่ใช่เพราะเรื่องเงินหรอกครับ แต่เพื่อพิสูจน์ให้พ่อผมเห็น ดังนั้นเรื่องเงินผมมีให้แน่นอน ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือหวังว่าพวกคุณจะสามารถผลิตยาตัวใหม่ออกมาให้ผมภายใน 15 วันได้”
“เป็นไปไม่ได้เลยครับ 15 วันมันตลกเกินไปแล้วครับ” ทุกคนส่ายหน้า ปฏิเสธแนวคิดบ้า ๆ ของแซ่จื๋อจ้วน
“เอาแบบนี้ พวกคุณกลับไปคิดกันมาก่อน ภายใน 15 วัน ถ้าสามารถผลิตยาตัวใหม่ออกมาให้ผมได้ ขอแค่เพียงผลงานเล็กก็ได้ ผมจะให้ค่าตอบแทนเป็นจำนวนเงิน 100 ล้านหยวน ค่าทำการวิจัยผมออกเอง ต่อให้วิจัยล้มเหลวผมก็ยอมรับได้ครับ อีกอย่างถ้าล้มเหลวผมก็จะให้ค่าตอบแทนเป็นจำนวนเงิน 30 ล้านหยวนแก่พวกคุณ พวกคุณลองไปปรึกษากันก่อนนะครับ ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน” เมื่อพูดจบแซ่จื๋อจ้วนลุกขึ้น
คนเหล่านั้นต่างก็พากันอ้าปากตาค้างกันเป็นแถว เวลาเลยผ่านไป จนศาสตราจารย์ฟ้านคนนั้นได้พูดขึ้นว่า “เด็กคนนี้ทำเรื่องใหญ่ซะแล้ว