ตอนที่ 273 ความใฝ่ฝัน
เมื่อป๋ายห้าวหยิบแหวนแต่งงานออกมา หวาฟ้านถึงกับตกตะลึงไม่น้อยทีเดียว
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นย่างรวดเร็วมาก จนเธอตั้งตัวไม่ทัน……
ป๋ายห้าวเอื้อมมือไปจับมือของหวาฟ้านด้วยตัวเอง เพื่อช่วยใส่แหวนให้กับเธอ มือของหวาฟ้านในนั้นเรียวสวยอยู่แล้ว ดังนั้นนิ้วของเธอจึงพอดีกับแหวนเพชรวงนี้ไม่น้อย
หวาฟ้านยังคงอยู่ในอาการตกตะลึงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ ป๋ายห้าวกุมมือเธอไว้ ก่อนยิ้มและพูดขึ้นว่า “จะว่าไปก็ละอายใจเหมือนกันนะ เงินเดือนของฉันมีข้อจำกัดไม่สามารถซื้อแหวนเพชรหลายกะรัตเหล่านั้นได้ ซื้อได้แค่เพียงแหวนเพชรเนื้อผสมประเภทนี้เท่านั้น แต่ฉันได้ยินมาว่าเพชรเนื้อผสมนี้ไม่ค่อยมีราคานัก เราคนยากจนมีแต่เพียงคำสัญญาและความรักของกันและกัน ฉันหวังว่าเธอ….. จะไม่ถอดใจเสียก่อน”
“ป๋ายห้าว นายหมายความว่ายังไง?”
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้ว ดูเหมือนว่าหวาฟ้านนั่นจะได้ยินเสียงอัตราการเต้นของหัวใจที่เร็วขึ้นได้อย่างชัดเจน ดัง ตึก ๆ ออกมาจากหน้าอก
เธอตื่นเต้นมาก เธอเคยใฝ่ฝันถึงช่วงเวลามาเนิ่นนานเท่าไหร่
จนกระทั่งเลิกรากันไป เธอก็ยังฝัน เคยฝันว่าทั้งสองคนนั้นได้จัดพิธีแต่งงานขึ้นในโบสถ์ขนาดเล็กของยุโรป
แต่หลังจากที่ตื่นขึ้นมา กลับเหลือแค่เพียงความว้าเหว่ในความว่างเปล่า
นึกไม่ถึงว่า จะมีวันที่ป๋ายห้าวนั้นขอแต่งงานจริง ๆ
ป๋ายห้าวเป็นคนจริงจัง และโง่ที่สุด ไม่มีคำพูดหวานใด ๆ ดังนั้นเมื่อก่อนหวาฟ้านจึงแกล้งเขาบ่อย ๆ ด้วยการถามเขาว่าเมื่อไหร่จะแต่งงาน
เขาพูดว่าจะไม่ขอแต่งงานด้วยใบหน้าที่แดงระเรื้อ ไปจดทะเบียนสมรสโดยตรง มองข้ามขั้นตอนนี้ไป
แต่ตอนนี้ เขามีแหวนแล้ว และก็ขอแต่งงานแล้วด้วย…..
“นี่ฉันกำลังขอแต่งงานอยู่นะ อ่ะจริงสิ ฉันจะต้องคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เพื่อแสดงความจริงใจด้วยใช่ไหม?”
เมื่อพูดจบ ป๋ายห้าวก็ปล่อยมือของหวาฟ้าน และกำลังจะทำตามที่พูดทันที
แต่แล้วเขากลับถูกหวาฟ้านกุมมือไว้แน่น “ไม่ต้อง นายไม่ต้องคุกเข่าแล้ว ผู้ชายที่มีส่วนสูงราวเจ็ดฟุต คุกเข่าให้กับแค่พ่อแม่และฟ้าดินก็พอ พวกเราไม่ต้องเลียนแบบการกระทำของชาวตะวันตกก็ได้”
“ได้ ฉันจะฟังเธอ”
ป๋ายห้าวรู้ว่าหวาฟ้านนั้นเป็นผู้หญิงอนุรักษ์นิยมมากคนหนึ่ง ยังคงไม่ลืมส่งเสริมจิตวิญญาณแห่งความรักชาติ
“งั้นแสดงว่าเธอก็ตกลงนะสิ?” ป๋ายห้าวเห็นว่าเธอเองก็ไม่ได้ให้คำตอบที่แน่นอนแต่อย่างใด
“ป๋ายห้าว ทำไมถึงได้ขอแต่งงานกะทันหันแบบนี้ละ ฉันป่วยเป็นอะไรใช่ไหม?”
หวาฟ้านนั้นฉลาดมาก เธอไม่เชื่อว่าป๋ายห้าวนั้นจะคิดเปลี่ยนใจมาขอเธอแต่งงานด้วยตัวเอง และยิ่งเห็นว่าป๋ายห้าวนั่นขอแต่งงานด้วยความกระตือรือร้นแบบนี้อีก
แต่…..จังหวะมันไม่ถูกต้อง เธอจึงคิดขึ้นมาได้ทันใด ว่าอาการป่วยของตัวเอง อาจจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น?
“ไม่มีอะไร พี่อย่าคิดไปมั่ว ๆ แบบนั้นสิ”
ด้วยความที่เป็นคนจริงจัง เมื่อหวาฟ้านถาม เขาจึงเกิดอาการกระวนกระวายใจขึ้นมาทันที หวาเหวินจึงพูดแทนเขา เพราะหวาฟ้านนั้นไม่รู้อาการป่วยของตัวเอง
ถึงแม้ว่ายังไม่แน่ใจว่าจะใช่มะเร็งหรือไม่ แต่ถ้าพูดออกไปแล้วคงจะเพิ่มภาระให้กับสภาพจิตใจของเธออย่างมากทีเดียว
หวาฟ้านยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น “นายฮ่า โกหกไม่เป็นเลยจริง ๆ แค่ฉันถาม นายก็กระวนกระวายใจขึ้นมาแล้ว ไม่ต้องปิดบังฉันหรอก บอกฉันเถอะ ฉันรับได้ ต่อให้ผลตรวจมันจะแย่จนถึงขั้นทำให้ฉันตายได้ ยังจะมีอะไรที่ไม่สามารถแบกรับได้อีกละ “
หวาฟ้านพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เมื่อป๋ายห้าวได้ยินก็ยิ่งปวดใจมากขึ้นไปอีก
“เสี่ยวหลิน เธออย่าทำแบบนี้เลย ฉันไม่อยากเห็นเธอเป็นแบบนี้ ฉันไม่ได้โกหกเธอนะ”
“นายไม่ต้องพูดแล้ว ฉันจะถามน้องห้าเอง ฉันต้องการรู้ความจริง” หวาฟ้านยืนหยัดที่จะรู้ความจริง
สุดท้ายแล้วป๋ายห้าวจึงทำได้เพียงแค่บอกความจริง นำอาการป่วยของหวาฟ้านพูดออกไป
หลังจากที่หวาฟ้านฟังจบ ก็ยังคงสงบนิ่ง “ที่แท้ก็ยังไม่มีแน่ใจนี่เอง ฮ่า บางทีอาจจะไม่ได้เป็นก็ได้นะ ถ้าเป็นมะเร็งปอดจริง ก็เป็นแค่การยืนยันทั่วไป นายจะไม่เสียใจหลังจากที่ขอฉันแต่งงานเหรอ?”
“ไม่ ฉันคิดมาดีแล้ว” ป๋ายห้าวมองไปทางเธอด้วยสีหน้าจริงจัง
หวาฟ้านก้มหน้าลงมองแหวนบนนิ้วของตัวเอง ด้วยสายตาขมุกขมัว
เธอยังพูดอีก “งั้นถ้าฉันเป็นมะเร็งจริง ก็น่าจะอยู่ได้ไม่นาน นายขอฉันแต่งงาน นายก็อาจจะได้กลายเป็นหม้ายไปตลอดชีวิตเลยนะ ผู้ชายที่เป็นหม้ายไม่ค่อยมีค่าหรอก นายคิดไม่ได้เหรอ?