บทที่ 164 ดูแลคนของแกให้ดี
ไป๋เสว่เอ๋อร์ตกตะลึงไปชั่วขณะ ยังไม่มีการตอบสนองกลับมา เผยอี้ก็ได้หันหน้ามองมาที่เธอ ในสายตาของชายหนุ่ม แฝงไปด้วยความระมัดระวังและความโมโหอย่างเห็นได้ชัด
คนที่ถูกชนเป็นเธอแท้ๆ แต่คิดไม่ถึงว่าจินจิงจิงกลับมากลับคำลอบกัดเธอได้ สีดำต่างสามารถพูดจนกลายเป็นสีขาว นี่คือหลักเหตุผลอะไรกัน?
“ไป๋เสว่เอ๋อร์ เธอคิดจะทำอะไร?” เผยอี้เดิมทีก็อัดอั้นความโมโหเอาไว้ ตอนนี้มาเกิดเรื่องนี้อีก เขาก้าวขาขึ้นมา ขวางอยู่ตรงด้านหน้าของจินจิงจิง ถือโอกาสยืมเรื่องมาแสดงอารมณ์ที่แท้จริงพอดี
“ฉันไม่ได้ผลักเขา เมื่อครู่นี้เขาชนฉันแท้ๆ” ไป๋เสว่เอ๋อร์เอ่ยปากขึ้นด้วยท่าทีที่เต็มร้อย ไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่นิดเดียว
จินจิงจิงได้ฟัง ก็เอนตัวซบไปบนร่างกายของเผยอี้ เอ่ยปากขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “เผยอี้ ช่างเถอะค่ะ เขาก็คงอาจจะไม่ทันระวังเหมือนกัน”
แม้คำพูดจะพูดเช่นนี้ แต่ความหมายภายในคำพูดเด่นชัดเจนมาก เธอยังคงกัดแน่นว่าเป็นไป๋เสว่เอ๋อร์ที่ชนเธอ
เผยอี้ขมวดคิ้วขึ้น เอ่ยปากขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “เขาชนคุณ จะช่างเถอะได้ยังไงกัน?”
ในขณะที่พูด เขาก็หันไปทางไป๋เสว่เอ๋อร์อีกครั้ง “ทั้งๆที่รู้ว่าเขากำลังท้อง เธอก็ยังจะชนเขา นี่หมายความว่ายังไง?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์อ้าปากต้องการที่จะอธิบาย อยู่ๆคิ้วก็ขมวดเข้าหาแน่น ถูกคนดึงถอยไปข้างหลังเบาๆ จากนั้น เผยลี่เชินก็ได้ก้าวขาเข้ามาบังไว้ที่ด้านหน้าของเธอ
สีหน้าของเผยลี่เชินเคร่งขรึมและจริงจัง กระชับไปที่ใจความสำคัญในทันที “อยากรู้ว่าใครชนใคร เปิดกล้องวงจรปิดออกมาเลย แค่ดูก็รู้แล้ว”
พอเขาพูดเช่นนี้ จินจิงจิงถึงได้สังเกตเห็นว่าระเบียงทางเดินทั้งสองตอนต่างก็มีกล้องวงจรปิดชะโงกหน้าอยู่ ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาต่างสามารถถูกถ่ายเอาไว้ได้อย่างชัดเจน
เพียงชั่วขณะ จินจิงจิงก็ขาดความมั่นใจไปเลย เธอซบไปยังเผยอี้ แล้วเอ่ยปากขึ้นเบาๆว่า “เผยอี้ ช่างเถอะค่ะ ฉันรู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย พวกเรากลับกันเถอะ”
ในขณะที่พูด เธอก็ดึงแขนของเผยอี้ บอกเป็นนัยให้เขาเดินไป
เผยลี่เชินเอ่ยปากขึ้นอย่างนิ่งๆว่า “ไปอะไรกัน? เมื่อกี้นี้ยังยืนยันว่าเป็นไป๋เสว่เอ๋อร์ที่ผลักเธอ ทำไมตอนนี้มารีบร้อนจะไปแล้วล่ะ”
ประโยคเดียว ทำเอาสีหน้าของจินจิงจิงเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวแดงไปเลย
เผยอี้มองออกทุกอย่าง เขาโน้มสายตาลงมา จ้องจินจิงเอาไว้แล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
จินจิงจิงกัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ เหลือบมองไปยังไป๋เสว่เอ๋อร์ รู้ว่าหากยังไม่ยอมอ่อนข้อต่อไป ไม่มีผลดีกับตัวเองเลยแม้แต่น้อย เธอสูดหายใจเข้าเต็มปอดแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่นี้คงจะเป็นฉันที่เท้าลื่นไปเอง เลยชนเข้ากับเขา…”
“ดังนั้น? เธอชนเขา ยังใส่ร้ายว่าเขาผลักเธออีก ไม่ขอโทษหน่อยหรอ?”
เผยลี่เชินก้าวขาขึ้นไปข้างหน้าเล็กน้อย ดูมีพลังในการบีบบังคับ
เพียงชั่วพริบตาเดียว ในใจของทุกคนต่างก็เข้าใจอย่างชัดเจนว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น สีหน้าของเผยอี้มืดมน ในเวลานี้ ก็ไม่มีหนทางที่จะพูดแทนเธอได้อีก
จินจิงจิงกัดริมฝีปากเล็กน้อย กวาดตามองไปยังเผยลี่เชินแวบหนึ่ง ในที่สุดก็ก้มศีรษะลงเอ่ยขอโทษกับไป๋เสว่เอ๋อร์ “ขอโทษ”
เผยอี้รู้สึกขายหน้า กวาดตามองไปยังไป๋เสว่เอ๋อร์ครู่หนึ่งอย่างเย็นชา จากนั้นก็ยื่นมือออกไปดึงจินจิงจิงเอาไว้ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “พวกเราไปกันเถอะ”
“เดี๋ยวก่อน” เผยลี่เชินก้าวขาขึ้นไปข้างหน้าเล็กน้อย ขวางทางของพวกเขาเอาไว้ในทันที “เรื่องยังไม่จบ”
เผยอี้โมโหขึ้นมาในทันที “เผยลี่เชิน พี่ให้เขาขอโทษ เขาก็ขอโทษแล้ว พี่ยังคิดจะยังไงอีก?”
สายตาของเผยลี่เชินเผยความเยือกเย็นออกมา จ้องตรงไปยังเผยอี้ เอ่ยปากขึ้นราวกับเย้ยหยันว่า “ใครว่าขอโทษคำเดียวก็พอแล้ว?”
ในขณะที่พูด เขาก็มองไปยังจินจิงจิงด้วยสายตาที่เยือกเย็น “ข้อความที่แอบถ่ายไป๋เสว่เอ๋อร์นั่น เธอเป็นคนส่งมาใช่ไหม?”
จินจิงจิงได้ยินดังนั้น นัยน์ตาก็สะท้อนความลนลานออกมาภายในทันที เธอรีบหลบไปที่ด้านหลังของเผยอี้ แล้วเอ่ยปากขึ้นเบาๆว่า “ประธานเผยกำลังพูดอะไรคะ? ฉันไม่ค่อยเข้าใจ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ตกตะลึงไปชั่วขณะ คิดไม่ถึงว่าเขาจะถามออกมาเช่นนี้ หรือว่าคนที่แอบถ่ายเธอกับเฉียวเจิ้น แล้วส่งรูปไปให้กับเผยลี่เชินคือจินจิงจิง?”
เผยอี้มึนงงไปหมด ขมวดคิ้วมองไปยังเผยลี่เชิน “พวกพี่กำลังพูดอะไรอยู่กันแน่!”
“ฉันพูดว่าอะไร ในใจของเขารู้ดี” เผยลี่เชินทิ้งประโยคนี้เอาไว้ จากนั้นเตือนขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นว่า “ดูแลคนของแกให้ดี มิเช่นนั้นผลลัพธ์ที่ตามมารับผิดชอบด้วยตนเอง!”
เผยลี่เชินพูดจบ ไม่รอให้เผยอี้ได้พูดอะไร ก็หันหน้าไปทางไป๋เสว่เอ๋อร์ แล้วเอ่ยปากขึ้นเบาๆว่า “พวกเราไปกันเถอะ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อย เดินตามเขาไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากออกมาจากโรงแรม ขึ้นมาบนรถแล้ว ในที่สุดไป๋เสว่เอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “คนที่แอบถ่ายฉันคือจินจิงจิง?”
เผยลี่เชินตอบกลับอย่างนิ่งๆว่า “อื้ม ผมให้คนตรวจสอบแล้ว เบอร์โทรศัพท์นั้นเป็นเบอร์โทรศัพท์ผู้ช่วยของจินจิงจิง”
ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าวิธีการของจินจิงจิงจะชั้นต่ำขนาดนี้
เจิงหงเอ่ยปากถามขึ้นมาว่า “ท่านประธานเผย พวกเราจะไปที่ไหนกันครับ?”
เผยลี่เชินนิ่งเงียบไปชั่วขณะ แล้วเอ่ยปากออกคำสั่งขึ้นว่า “กลับไปที่บริษัทก่อน”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้สติกลับคืนมา นึกถึงท่าทีของประธานหวางในห้องรับรองพิเศษเมื่อครู่นี้ ในใจก็ยิ่งสับสนวุ่นวาย
ตอนนี้พวกเขาทางนั้นดูเหมือนจะตัดสินใจอย่างแน่นอนแล้วว่าอยากให้บริษัทเผยซื่อชดใช้เงินค่าผิดสัญญา หากเป็นเช่นนี้ พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องนำเงินค่าผิดสัญญาจำนวนตัวเลขไม่น้อยออกมา อีกทั้งอะไหล่เหล่านั้นที่ผลิตออกมาต่างก็ต้องเสียหายอยู่ในมือของพวกเขา นี่สำหรับพวกเขาแล้วคือความเสียหายเป็นสองเท่า
เผยลี่เชินนิ่งเงียบมาตลอดครึ่งทาง ในที่สุดตอนที่ใกล้จะมาถึงบริษัทก็หันไปทางไป๋เสว่เอ๋อร์ แล้วเอ่ยปากถามขึ้นว่า “คุณมีความคิดว่ายังไง?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยปากขึ้นเบาๆว่า “ฉันคิดว่าคราวนี้ประธานหวางคงไม่ถึงขั้นแตกหักกับพวกเราไปเลย หากฝ่ายเราชดใช้เงินค่าผิดสัญญา สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่มีอะไหล่ของพวกเรา จัดกิจกรรมไม่ได้ก็เป็นความเสียหายอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน พวกเขารับเอาเงินค่าผิดสัญญาจากพวกเราไปแล้ว กลับยังคงเปลี่ยนแปลงความจริงในเรื่องที่ขาดอะไหล่ไม่ได้ ฉันคิดว่าพวกเราสามารถพยายามอีกหน่อย ลดความเสียหายของทั้งสองฝ่าย”
“ความหมายของคุณก็คือ พวกเราไปเจรจากับประธานหวางอีกครั้ง?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์พยักหน้าอย่างแน่ใจ “ใช่ค่ะ เขาสามารถยอมรับอะไหล่ส่วนที่ผลิตออกมาแล้วทั้งหมดของพวกเราได้อย่างแน่นอน เพราะว่าในตอนนี้ หากเขาไปหาโรงงานของบริษัทอื่นสั่งสินค้าใหม่อีกล่ะก็ ยิ่งจะไม่ทันเวลา”
เผยลี่เชินคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยปากขึ้นเบาๆว่า “แนวทางความคิดของคุณไม่เลว แต่เขาจะยอมรับหรือไม่นั้น ไม่แน่”
ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่ไม่ลองดูใครจะไปรู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร หลังจากที่เผยลี่เชินกับไป๋เสว่เอ๋อร์ปรึกษาหารือกันแล้วนั้น ได้ตัดสินใจว่าจะนัดพบประธานหวางใหม่อีกครั้ง
แต่ใครจะรู้ว่า ราวกับเดาออกล่วงหน้าว่าพวกเขาจะโทรศัพท์ไปยังไงอย่างงั้น ผู้ช่วยของประธานหวางรับสายโทรศัพท์ของไป๋เสว่เอ๋อร์ ก็พยายามหาข้ออ้างทุกวิถีทางปฏิเสธออกไปแบบอ้อมๆ จนถึงขั้นผ่านไปสองวันเต็มๆ พวกเขาก็ยังนัดประธานหวางไม่ได้
ไป๋เสว่เอ๋อร์เอ่ยปากขึ้นอย่างคิดไม่ตกว่า “ก่อนหน้านี้ทั้งๆที่เคยมีการร่วมธุรกิจกันตั้งหลายครั้ง คราวนี้ประธานหวางทำเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจะปิดทางให้ตัน ต่อไปก็คงไม่ร่วมงานกับพวกเราอีก”
ธุรกิจในเครือของเผยซื่อแผ่ขยายออกไปทั่วเมืองไห่เฉิงรวมไปถึงเมืองที่อยู่บริเวณโดยรอบ กิจการเกี่ยวเนื่องไปถึงอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนทางด้านการเงิน การวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรวมทั้งการผลิตอุปกรณ์เสริมต่างๆ มองดูทั้งเมืองไห่เฉิงแล้ว บริษัทที่กล้าแตกคอกับเผยซื่อมีไม่กี่แห่งจริงๆ และประธานหวางแห่งบริษัทเทคโนโลยีหลั่งอี้ คราวนี้เห็นได้ชัดว่าต้องการจะใช้อำนาจที่แข็งแกร่งต่อกรกับอำนาจที่แข็งแกร่ง ปะทะกันขึ้นมาแล้ว เพื่อเงินค่าผิดสัญญาจำนวนหนึ่ง ไม่เสียดายที่จะตัดโอกาสในการร่วมธุรกิจกับเผยซื่อในภายภาคหน้า
“ดังนั้นจะบอกว่า เรื่องในคราวนี้ ไม่ได้ง่ายอย่างที่พวกเราคิด”
ในขณะที่พูด เผยลี่เชินก็หันหน้ามองไปทางไป๋เสว่เอ๋อร์ “แต่ว่า อยากพบกับประธานหวางนั้น ผมยังมีอีกวิธีหนึ่ง”
…
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง เผยลี่เชินก็ได้พาไป๋เสว่เอ๋อร์เดินทางออกจากคฤหาสน์ มุ่งตรงไปยังสถานบันเทิงในเมืองไห่เฉิงที่เพิ่งจะเปิดใหม่ได้ไม่นาน
เพื่อที่จะไม่เป็นจุดสนใจขนาดนั้น พวกเขาตั้งใจกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ถอดชุดสูทที่เป็นแบบพิมพ์ของความเคร่งขรึมในวันธรรมดาออกไป เปลี่ยนเป็นชุดลำลองที่ดูเรียบง่าย
เผยลี่เชินเปลี่ยนเป็นเสื้อโค้ทขนแกะสีควันบุหรี่ ร่างกายที่สูงโปร่งราวกับหุ่นโชว์ในตู้แสดงสินค้า และไป๋เสว่เอ๋อร์ได้สวมใส่ชุดกระโปรงไหมพรมยาวสีดำ ทั้งสองคนยืนคู่กันดูเหมาะสมกันอย่างถึงที่สุด
เดิมทีคิดว่าแบบนี้จะดูเรียบง่ายกว่าสวมใส่ชุดทำงานหน่อย แต่พอทั้งสองคนเดินเข้าไปในผับพร้อมกัน กลับยิ่งดึงดูดสายตาของผู้คนมากขึ้นไปอีก
เดินเข้าไปในผับที่แสงไฟสลัว เสียงผู้คนวุ่นวายดังสนั่นหวั่นไหว ราวกับเข้ามาในอีกโลกนึงก็ไม่ปาน พอสังเกตเห็นว่าสายตาของผู้ชายจำนวนไม่น้อยกำลังจับจ้องมาบนเรือนร่างของไป๋เสว่เอ๋อร์ เผยลี่เชินก็ขมวดคิ้วขึ้น ยื่นมือออกไปโอบเอวบางของเธอเอาไว้ทันที