ตอนที่ 324 ทำไมต้องปิดบังเธอด้วย
ทันทีที่เดินทางมาถึงยังหน้าประตูของเรือนจำ รถของคุณจะต้องจอดนิ่งสนิทอยู่ที่บริเวณหน้าประตูเท่านั้น ไป๋เสว่เอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เธอมองไปที่เผยลี่เชินด้วยสีหน้าทจริงจัง “ฉันไปคนเดียวได้ค่ะ คุณรอฉันอยู่ที่นี่ก็พอแล้ว”
เมื่อได้ยินหญิงสาวพูดเช่นนั้น เผยลี่เชินก็ขมวดคิ้วเลกน้อย พร้อมกับถามซ้ำๆ ย้ำไปย้ำมาหลายครั้งว่า “คุณไปคนเดียวได้จริงๆ เหรอครับ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์พยักหน้าอย่างแน่วแน่ “ฉันไปคนเดียวได้ค่ะ”
การสูญเสียคนที่รักและใกล้ตัวไปอย่างกะทันหัน ดูเหมือนว่าจะทำให้เธอเข้มแข็งและเติบโตขึ้นแทบจะในทันที และเมื่อเป็นสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับคุณพ่อของเธอด้วยแล้วนั้น เธอก็อยากที่จะเข้าไปรับของสิ่งนั้นออกมาด้วยตัวเองเพียงลำพัง
ถึงแม้ภายในใจของเขาจะลังเล แต่เมื่อเห็นแววตาอันแน่วแน่ของหญิงสาวแล้ว เผยลี่เชินก็รู้สึกโล่งใจ “ครับ ผมจะรอคุณอยู่บนรถก็แล้วกัน”
ไป๋เสว่เอ๋อร์พยักหน้า เธอผลักประตูและลงจากรถไป ลมเย็นๆ พัดผ่านร่างกายของเธอ แขนและขาของเธอทั้งหมดนั้นแข็งเล็กน้อยไปชั่วขณะหนึ่ง ร่องรอยแห่งความอบอุ่นครั้งสุดท้ายที่อยู่ภายในร่างกายของเธอค่อยๆ หลุดลอยและมลายหายไปพร้อมกับสายลมนั้น
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเดินตรงไปที่ประตูใหญ่ของเรือนจำ เธอเดินเข้าไปยังภายในเรือนจำนั้นพร้อมกับเจ้าหน้าที่คนนั้น
ความทรงจำเมื่อครั้งก่อนในตอนที่เธอมาเยี่ยมคุณพ่อที่นี่นั้นค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาซ้อนทับกับภาพเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้อย่างช้าๆ ไป๋เสว่เอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เธอพยายามเก็บและกดความรู้สึกอ่อนไหวและความรู้สึกอ่อนแอที่ผุดขึ้นมาภายในหัวใจเอาไว้ พร้อมกับกัดฟันและเดินตรงไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างช้าๆ
เจ้าหน้าที่เรือนจำคนนั้นพาเธอเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปตามเส้นทางต่างๆ เมื่อมาถึงยังห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง เขาก็ให้เธอเข้าไปในนั้น “มันเป็นกระบวนการบางอย่างที่คุณจำเป็นต้องทำ รอสักครู่จะมีเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเรื่องนี้นำเอกสารมาให้คุณเซ็นตามขั้นตอนเล็กน้อย”
“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ” ไป๋เสว่เอ๋อร์ตอบกลับไปอย่างแผ่วเบา ภายในดวงตาของเธอนั้นดูว่างเปล่า
เมื่อเจ้าหน้าที่เรือนจำคนนั้นหันหลังเดินจากไป ครู่ต่อมา บรรยากาศภายในห้องนั้นก็กลับมาเงียบสงัดอีกครั้งหนึ่ง เมื่อมาอยู่ในสถานที่แบบนี้แล้ว ดูเหมือนว่าแม้แต่เวลาก็เดินผ่านไปช้าลงมากเหลือเกิน ทุกวินาทีที่ผ่านไปนั้นช่างยาวนานนับวันนับปี ไป๋เสว่เอ๋อร์จ้องไปที่เข็มชี้บอกวินาทีของนาฬิกาที่แขวนไว้อยู่บนผนังที่ไร้การตกแต่งใดๆ ของห้อง เธอคอยนับทุกวินาทีที่ผ่านไปนั้นอยู่ภายในใจ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุด ประตูด้านนอกก็มีเสียงบางอย่างดังขึ้นมา จากนั้น ก็มีเจ้าหน้าที่เรือนจำหญิงที่สวมชุดเครื่องแบบคนหนึ่งผลักประตูและเดินเข้ามาภายในห้อง เธอถือแบบแฟ้มเอกสารจำนวนหนึ่งที่ดูเหมือนเอาไว้ใช้สำหรับการลงทะเบียนในครั้งนี้เข้ามาด้วย
เธอหยิบเอาแบบฟอร์มเอกสารที่จำเป็นต้องใช้และใบกรอกรายละเอียดข้อมูลแยกออกมา จากนั้น เธอก็ส่งปากกาด้ามหนึ่งให้ไป๋เสว่เอ๋อร์ “รบกวนคุณช่วยกรอกแบบฟอร์มทั้งหมดนี้ด้วยค่ะ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์พยักหน้าคล้อยตาม เธอค่อยๆ กรอกข้อมูลตามที่เจ้าหน้าที่หญิงคนนั้นต้องการลงไปทีละรายการ หลังจากที่กรอกข้อมูลในแบบฟอร์มเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่หญิงคนนั้นก็ผลักแฟ้มเอกสารอีกเล่มหนึ่งมาวางไว้ที่ตรงหน้าของเธอ “แค่เขียนวันเวลาที่คุณมาเยี่ยมลงไป ก็เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยังคงก้มหน้า และยกปากกาขึ้นมาเพื่อที่จะกรอกข้อมูลที่ว่านั้นลงไป แต่เมื่อหางตาของเธอนั้นเหลือบไปเห็นข้อมูลที่ถูกกรอกเอาไว้อยู่ที่บรรทัดด้านบน การเคลื่อนไหวของเธอก็หยุดชะงักไปชั่วครู่ คิ้วของเธอนั้นค่อยๆ ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
เมื่อไรก็ตามที่มีคนมาเยี่ยมคุณพ่อของเธอนั้น คนคนนั้นจะต้องลงชื่อในแบบฟอร์มใบลงชื่อผู้มาเยี่ยมทุกครั้งไป เธอจำได้ว่าครั้งก่อนที่เธอมาเยี่ยมนั้น เธอได้ลงชื่อของตนเองไปเรียบร้อยแล้ว แต่ทว่าข้อมูลล่าสุดที่ปรากฏอยู่นั้น คนสุดท้ายที่เดินทางมาพบคุณพ่อของเธอนั้นไม่ใช่ไป๋เสว่เอ๋อร์ แต่กลายเป็นคนอื่นแทน
“ฉีเฟิง” คำสองคำนั้นคือสิ่งที่ถูกบันทึกเอาไว้อยู่ที่กรอบตารางด้านบน เวลาที่มาเยี่ยมนั้นคือเมื่อสามวันก่อน
ทันใดนั้น หัวใจของไป๋เสว่เอ๋อร์ก็บีบแน่นขึ้นมา มือของเธอที่กำลังจับปากกาอยู่นั้นสั่นเทิ้มไปหมด ภายในหัวของเธอนั้นเต็มไปด้วยคำถามที่ยังคงค้างคาใจและต้องการคำตอบผุดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก…….
เธอทำงานให้กับเผยลี่เชินมาเป็นเวลานาน นานพอที่จะรู้ดีว่าคนที่มีสถานะทางสังคมอย่างเขานั้น เวลาที่เขาคิดจะทำสิ่งใดก็ตาม เขาจะต้องทำมันให้สำเร็จให้จงได้ ดังนั้น มีหลายครั้งที่ธุระหน้าที่การงานเหล่านั้น เขาจึงจำต้องใช้ชื่อของผู้ใต้บังคับบัญชาไปทำในสิ่งนั้นให้สำเร็จ
เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ถ้าเกิดเธอเดาไม่ผิดแล้วล่ะก็ เมื่อสามวันก่อน เผยลี่เชินได้มาเยี่ยมคุณพ่อของเธอที่นี่ แต่ตอนที่ต้องลงทะเบียนกรอกข้อมูลนั้น เขากลับเขียนชื่อของฉีเฟิงลงไปแทน
แต่ทว่าเขากลับไม่เคยบอกเธอเรื่องนี้มาก่อนเลยสักนิดเดียว แม้ว่าวันนี้คุณพ่อของเธอจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้ว เขาก็ยังเลือกที่จะปิดบังเธอเอาไว้อยู่ดี
เมื่อสามวันก่อนตอนที่พวกเขาทั้งสองคนมาพบกันนั้น พวกเขาคุยเรื่องอะไรกันแน่นะ เป็นไปได้ไหมว่าเรื่องนี้มันจะเกี่ยวข้องกับตัวเธอด้วย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ มันอาจจะเกี่ยวข้องกับตัวเผยลี่เชินด้วยเหมือนกัน
คำถามชวนให้สงสัยผุดขึ้นมาและยังคงวนเวียนอยู่ภายในหัวสมองของไป๋เสว่เอ๋อร์อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เธอไม่อยากคิดมากอีกต่อไป แต่ทว่าในเวลาแบบนี้นั้น เธอไม่อาจที่จะคลายความสงสัยลงไปได้เลยแม้สักนิดเดียว
เรื่องของความเป็นความตายไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และยิ่งผู้ที่จากไปนั้นกลับเป็นคุณพ่อที่เธอรักสุดหัวใจด้วยแล้ว จะไม่ให้เธอคิดมากได้อย่างไรกัน
“มีอะไรไม่ถูกต้องหรือเปล่าคะ”
ทันใดนั้น เจ้าหน้าที่หญิงที่อยู่ตรงข้ามกับเธอก็เอ่ยปากถามขึ้นมา คำถามของเธอนั้นช่วยเรียกสติของไป๋เสว่เอ๋อร์ให้กลับมาสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้
ไป๋เสว่เอ๋อร์ส่ายหัว “เปล่าค่ะ”
เธอก้มหน้าและบันทึกวันเวลาที่เธอมาเยี่ยมในครั้งนี้ลงไปในบริเวณพื้นที่ว่างในใบลงชื่อผู้มาเยี่ยม หลังจากที่กรอกข้อมูลทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็วางปากกาลง ขณะที่เจ้าหน้าที่หญิงคนนั้นกำลังจะถือแฟ้มลงทะเบียนและเดินจากไป ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็รีบยื่นมือออกไปและจับแฟ้มเอกสารเล่มนั้นไว้อย่างรวดเร็วในทันที
“ขอโทษนะคะ ฉันมีเรื่องบางอย่างอยากจะถามคุณหน่อย คุณยังจำคนที่มาขอพบคุณพ่อของฉันเมื่อสามวันก่อนได้ไหมคะ”
“ขอโทษนะคะ ฉันตอบไม่ได้ค่ะ”
เจ้าหน้าที่เรือนจำหญิงคนนั้นมีสีหน้าเย็นชา เธอแค่ต้องการที่จะปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละวันของเธอให้เสร็จก็เท่านั้น เธอไม่ต้องการที่จะมีส่วนร่วมในเรื่องอื่นใดสักนิดเดียว
เธอดึงแฟ้มเอกสารที่อยู่ในมือของไป๋เสว่เอ๋อร์ออกไป พร้อมกับเก็บรวบรวมแบบฟอร์มและใบกรอกรายละเอียดข้อมูลที่เหลืออยู่ทั้งหมดด้วยสีหน้าที่เรียบตึง จากนั้น เธอก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นออกมาว่า “ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือค่ะ เดี๋ยวจะมีคนนำสิ่งของต่างๆ มาส่งให้ รอสักครู่นะคะ”
หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็ลุกขึ้นยืน และหันหลังเดินออกไปจากห้องในทันที
หัวใจของไป๋เสว่เอ๋อร์ค่อยๆ บีบรัดแน่นขึ้นอย่างช้าๆ เธอยังคงครุ่นคิดถึงภาพชื่อของฉีเฟิงที่เธอเพิ่งเห็นบนใบลงชื่อผู้มาเยี่ยมนั้นเหมือนเช่นเดิม ความจริงแล้ว นั่นไม่เหมือนลายมือของเผยลี่เชินเลย ถ้าหากไม่ใช่ฉีเฟิงเซ็นชื่อแทน แล้วให้เผยลี่เชินเข้าไปพบกับคุณพ่อแล้วล่ะก็ ก็ต้องเป็นเผยลี่เชินวานให้ฉีเฟิงมาหาคุณพ่อที่นี่ สรุปแล้ว ไม่ว่าความจริงของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร เผยลี่เชินต่างก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยทั้งหมด
แต่ว่าทำไมเขาจะต้องปกปิดสถานะของตัวเอง แล้วแอบมาพบคุณพ่อของเธออย่างลับๆ ด้วยล่ะ แถมยังไม่บอกเธอถึงเรื่องนี้สักนิดเดียวเลยด้วย หรือว่าจะมีเรื่องอะไรที่เธอไม่ควรจะได้รู้กันแน่นะ
“ก๊อกๆ”
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาสองครั้ง จากนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก เจ้าหน้าที่เรือนจำอีกคนหนึ่งกำลังใช้มือทั้งสองข้างของเขาอุ้มสิ่งของเข้ามา
เมื่อไป๋เสว่เอ๋อร์มองไปยังเจ้าหน้าที่คนนั้น เธอก็รู้ในทันทีว่าของที่อยู่ในมือของเขานั้นคือเสื้อผ้าของคุณพ่อของเธอ เธอรีบลุกขึ้นยืน และยื่นมือออกไปรับเสื้อผ้าเหล่านั้นกลับมา
เสื้อผ้าชุดนี้เป็นเสื้อผ้าที่เธอนำมาให้คุณพ่อไว้ใช้เปลี่ยนภายในเรือนจำเมื่อตอนที่เธอมาเยี่ยมคุณพ่อของเธอเป็นครั้งแรก ในตอนนี้นั้น เสื้อผ้าดูมอซอกลายเป็นสีเทา และดูล้าสมัยไปเล็กน้อยเสียแล้ว
ที่ด้านบนของเสื้อผ้าชุดนี้นั้นยังมีสมุดบันทึกขนาดเล็กวางอยู่เล่มหนึ่ง มันเบามาก และภายในสมุดบันทึกก็มีปากกาด้ามหนึ่งเสียบคั่นไว้อยู่ด้วย
ความรู้สึกเอ่อล้นขึ้นมาอัดแน่นอยู่ภายในหัวใจ ไป๋เสว่เอ๋อร์นำสิ่งของเหล่านั้นค่อยๆ วางลงบนโต๊ะอย่างช้าๆ จากนั้น เธอก็หยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กนั้นขึ้นมา เมื่อเธอพลิกหน้ากระดาษไปหนึ่งหน้า เธอก็เห็นรูปถ่ายสีของครอบครัวซึ่งปรากฏภาพของพวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกอยู่ในนั้น
จมูกของไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกแสบร้อนขึ้นมา น้ำตาค่อยๆ ไหลรินออกมาจากดวงตาของเธอ จากนั้นเธอก็พลิกหน้ากระดาษเพื่ออ่านเนื้อหาที่อยู่ภายใน ทั้งหมดนั้นเต็มไปด้วยคำพูด 1-2 ประโยคที่ถูกจดเอาไว้อย่างกระจัดกระจาย เนื้อหานั้นเกี่ยวกับอารมณ์และความรู้สึกของคุณพ่อ ซึ่งส่วนใหญ่นั้นก็เต็มไปด้วยงความคิดถึงที่คุณพ่อมีต่อเธอและคุณแม่ของเธอแทบจะทั้งสิ้น
ไป๋เสว่เอ๋อร์กวาดสายตามองไปในแต่ละบรรทัดอย่างรวดเร็ว สุดท้ายแล้ว น้ำตาของเธอก็อดไม่ได้ที่จะไหลรินหยดลงมา
เธอพลิกหน้ากระดาษของสมุดบันทึกเล่มนั้นอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เธอเห็นบันทึกที่ปรากฏอยู่ในหน้าสุดท้ายของสมุดบันทึกเล่มนั้น ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาในทันที
“วันนี้เผยลี่เชินมาหาฉัน และขอให้ฉันสัญญาเรื่องระหว่างเขากับไป๋เสว่เอ๋อร์ ฉันปฏิเสธไปแล้วล่ะ ในฐานะคนเป็นพ่อ ฉันไม่ยอมที่จะให้ลูกสาวของฉันจะต้องมีชีวิตที่ไม่มั่นคงและเต็มไปด้วยความยากลำบากเด็ดขาด และตัวเผยลี่เชินเองนั้นก็มีโชคชะตาที่ต้องยืนอยู่ที่บริเวณยอดสูงสุดของปีระมิด ถ้าเกิดเสว่เอ๋อร์จะต้องขึ้นไปอยู่บนนั้นกับเขาด้วยแล้ว เธอไม่มีทางที่จะมีความสุขได้อย่างแน่นอน”
“จุดประสงค์เดียวที่ให้ไป๋เสว่เอ๋อร์คอยติดตามเผยลี่เชินและคอยเรียนรู้การทำธุรกิจนั้น ก็เพื่ออยากให้เธอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่เมื่อลองมาดูในตอนนี้แล้ว มันกลับไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีเท่าไรนัก ท้ายที่สุดแล้ว ฉันกับเผยลี่เชินก็เกิดขัดแย้งกัน ฉันรู้ดีว่าเขาจะต้องไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน แต่ทว่าสำหรับเรื่องนี้แล้วนั้น ฉันเองก็ไม่อาจถอยได้เหมือนกัน”
ประโยคสองประโยคที่ถูกร้อยเรียงด้วยคำแสนเรียบง่ายและถูกบันทึกลงไปด้วยลายมือฉวัดเฉวียนของคุณพ่อ ไป๋เสว่เอ๋อร์สามารถมองออกได้ว่าตอนที่กำลังเขียนประโยคเหล่านี้อยู่นั้น คุณพ่อไม่พอใจทีเดียว มือของเธอที่กำลังจับสมุดบันทึกของคุณพ่อแน่นขึ้นเล็กน้อย อารมณ์ความรู้สึกของเธอนั้นต่างสับสนปนเปไปมาภายในหัวใจ และมันยากที่จะอธิบายได้
บันทึกที่อยู่ในสมุดบันทึกของคุณพ่อนั้นสิ้นสุดลงแค่นี้ หน้ากระดาษที่อยู่ถัดมาต่อจากนั้นว่างเปล่าไม่มีอะไรอยู่เลย
เมื่อดูจากบันทึกของคุณพ่อแล้ว เมื่อสามวันก่อน การพบกันระหว่างพวกเขาทั้งสองคนนั้นจบลงด้วยความไม่พอใจ แต่ทำไมเผยลี่เชินถึงไม่คิดที่จะบอกเธอเกี่ยวกับเรื่องราวพวกนี้เลยแม้แต่นิดเดียว