สัญญาร้ายของประธานปีศาจ – ตอนที่ 326

ตอนที่ 326

ตอนที่ 326 ห้ามให้เธอรู้เด็ดขาด

ป้าจางตะลึงไปครู่หนึ่ง และเมื่อเห็นว่าเผยลี่เชินกำลังจะถอดเสื้อกันหนาวของเขาออกด้วย ป้าจางก็รีบลุกขึ้นอย่างระมัดระวังและเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่ประตูปิดสนิทแล้ว เผยลี่เชินก็ถอดเสื้อผ้าออก และเบียดตัวเข้าไปนอนอยู่ในผ้านวมทันที

อย่างที่ป้าจางพูดเอาไว้ไม่มีผิด ร่างกายของหญิงสาวนั้นเย็นเยือกราวกับน้ำแข็งเป็นอย่างมาก ตั้งแต่หัวจรดเท้าของเธอนั้นดูไม่มีความอบอุ่นเหลืออยู่เลยแม้แต่นิดเดียว เขาคว้าตัวหญิงสาวเข้ามากอดเอาไว้ภายในอ้อมแขนอย่างไม่ลังเล และอาศัยความร้อนจากอุณหภูมิร่างกายของตัวเองเพื่อทำให้ร่างกายของเธออบอุ่นขึ้นมา

เมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นไหลผ่านเข้าสู่ร่างกายของตัวเอง ในที่สุด เผยลี่เชินก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของหญิงสาวนั้นเริ่มอบอุ่นขึ้นมาบ้างแล้วทีละน้อย

ขอแค่ให้เธอนั้นสบายดี ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด เขาสามารถทำให้เธอได้ทั้งหมด

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ไป๋เสว่เอ๋อร์ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ในขณะที่หัวของเธอยังคงรู้สึกหนักอึ้งอยู่

เมื่อวานนี้ ดูเหมือนว่าเธอจะนอนหลับฝันไป ภายในฝันของเธอนั้น ดูเหมือนว่าเธอกำลังกอดเตาร้อนเอาไว้ มันร้อนมากจนทำให้เหงื่อในร่างกายของเธอไหลออกมา แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร เธอก็ไม่อาจปล่อยเตาร้อนนั้นออกไปจากมือได้

ผ้าห่มที่เคยห่มตัวเอาไว้เคลื่อนออกไปเล็กน้อย ทำให้ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกหนาวขึ้นมาที่บริเวณไหล่ของเธอ เมื่อเธอก้มลงไปมองที่ร่างกายของตัวเองนั้น เธอก็เห็นว่าทั่วทั้งร่างกายของเธอตั้งแต่หัวจรดเท้ากลับไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้นสวมอยู่เลย ทันใดนั้น ร่างกายของเธอก็แข็งเป็นหินด้วยความกลัวในทันที

เกิดอะไรขึ้นน่ะ เมื่อเย็นวานนี้ เธอจำได้ดีว่าตัวเองนั้นเข้านอนพร้อมกับสวมเสื้อผ้าเอาไว้เรียบร้อย แต่ทำไมเมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันนี้ นอกจากชุดชั้นในที่กำลังสวมใส่อยู่นั้น เสื้อผ้าทั้งหมดของเธอกลับหายไปไม่เหลือเลยแม้แต่สักชิ้นเดียวได้ล่ะ

ขณะที่เธอยังคงอยู่ในอาการตะลึงตกใจอยู่นั้น ทันใดนั้น ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา เธอรีบหยิบกองเสื้อผ้าที่วางไว้อยู่ข้างตัวขึ้นมาสวมอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าป้าจางงกำลังเดินเข้ามาภายในห้อง เธอก็รู้สึกโกรธจัดขึ้นมาอย่างไม่สามารถอธิบายได้ “ป้าจางคะ ใครมาถอดเสื้อผ้าของหนูออกกันคะ”

ป้าจางกำลังถือแก้วน้ำอุ่นเอาไว้ในมือของเธอ เมื่อถูกไป๋เสว่เอ๋อร์ถามด้วยความโกรธจัดแบบนั้น จึงทำให้ป้าจางสะดุ้งตกใจเล็กน้อย จากนั้น ป้าจางก็เอ่ยปากตอบกลับไปอย่างลังเลว่า “คุณหนูไป๋คะ เมื่อวานคุณมีไข้น่ะค่ะ ร่างกายของคุณหนูเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็งเลยค่ะ คุณผู้ชายก็เลยทำให้ตัวของคุณอุ่นขึ้นมาด้วยอุณหภูมิร่างกายของเขาเอง เพราะฉะนั้น ก็เลย……”

เมื่อได้ยินดังนั้น หน้าของไป๋เสว่เอ๋อร์ก็แข็งทื่อไปในทันที

คาดไม่ถึงว่าเมื่อวานเธอจะเป็นไข้ขึ้นมาเสียได้

เมื่อเห็นว่าไป๋เสว่เอ๋อร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ป้าจางค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาเธออย่างระมัดระวัง พร้อมกับวางแก้วน้ำที่อยู่ในมือลง จากนั้นก็กระซิบบอกเธอว่า “พอดีเช้านี้ คุณผู้ชายมีธุระเล็กน้อยที่ต้องไปจัดการน่ะค่ะ อีกเดี๋ยวก็คงกลับมา เขากำชับบอกให้ป้าเตือนคุณหนูให้ทานข้าวเช้าสักหน่อย หลังจากที่ตื่นขึ้นมาแล้วด้วยค่ะ”

ไป๋เสว่เอ๋อร์ยกมือขึ้น และนวดเข้าไปที่บริเวณขมับทั้งสองข้างของเธอ เพื่อให้อารมณ์โกรธเคืองของเธอนั้นหายไป เมื่อเห็นว่าป้าจางเดินออกจากห้องไปแล้ว เธอก็ไม่สามารถที่จะซ่อนความอ่อนแอภายในตัวเธอต่อไปไว้ได้ เมื่อเธอหันไปเห็นข้าวของของคุณพ่อที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงแล้ว น้ำตาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่อล้นและไหลรินออกมาอีกครั้งหนึ่ง

ไม่ได้ เธอจะมัวแต่หดหู่เศร้าเสียใจแบบนี้ต่อไปไม่ได้! เธอจะต้องจัดการกับงานศพของคุณพ่อ รวมไปถึงตามหาและตรวจสอบความจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของคุณพ่อให้ได้!

เมื่อตั้งปณิธานแน่วแน่แล้ว ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ลุกจากเตียง หลังจากที่เธอล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็ลงไปยังชั้นล่างเพื่อทานข้าวเช้าในทันที

ถึงแม้ว่าในตอนนี้ ภายในปากของเธอจะกำลังเคี้ยวอาหารเช้าที่มีทั้งกลิ่นหอมและรสชาติแสนอร่อยโอชา แต่สำหรับเธอแล้ว มันกลับจืดชืดและไร้รสชาติโดยสิ้นเชิง เธอในตอนนี้ราวกับเครื่องจักรกลที่ต้องการพลังงานจากอาหารที่ทานเข้าไปเท่านั้น

ทันใดนั้น ก็มีเสียงรถยนต์ดังขึ้นจากที่ด้านนอกของประตู จากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่บริเวณหน้าประตู

เธอไม่ได้หันศีรษะไปมองตามเสียงนั้น เธอยังคงนั่งทานข้าวเช้าอย่างไร้ความรู้สึกเหมือนเช่นเดิม

“เสว่เอ๋อร์!”

มันเป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเรียกชื่อของเธอ ไป๋เสว่เอ๋อร์ค่อยๆ หันหลังกลับไปมองอย่างช้าๆ ครั้งนี้ เธอถึงได้เห็นว่าเป็นเจียงหวั่นหวั่นที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูนั่นเอง

ไป๋เสว่เอ๋อร์ตะลึงไปครู่หนึ่ง ขณะที่เธอยังไม่ได้ตอบอะไรหญิงสาวกลับไปนั้น เจียงหวั่นหวั่นก็รีบวิ่งเข้ามาหาเธอ พร้อมกับเหยียดแขนทั้งสองข้างเข้าไปกอดไป๋เสว่เอ๋อร์เอาไว้

ความอบอุ่นจากอ้อมกอดที่ไหลผ่านร่างเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทำให้ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เธอได้ยินเสียงของเจียงหวั่นหวั่นกำลังสะอึกสะอื้นเบาๆ “เธอเป็นยังไงบ้าง”

ไป๋เสว่เอ๋อร์ที่เย็นชาดุจราวกับน้ำแข็งและไม่ยอมตอบอะไรกลับมา ทันใดนั้น นัยน์ตาของเธอก็ปรากฏให้เห็นถึงความสุขผุดขึ้นมาเล็กน้อย เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “ฉันสบายดี…”

สิ่งที่เธอกำลังพูดออกไปนั้นคือคำโกหก ซึ่งเธอเองก็ไม่เชื่อมันเลยแม้แต่น้อย

เจียงหวั่นหวั่นคลายอ้อมกอดของเธอออก จากนั้นก็ยิ้มขึ้นที่มุมปากและหัวเราะเบาๆ “ฉันอยากอยู่เป็นเพื่อนเธอจะได้ไหม”

ไป๋เสว่เอ๋อร์พยักหน้า เมื่อเห็นรอยยิ้มที่สร้างกำลังใจของเจียงหวั่นหวั่นแล้ว เธอก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นภายในหัวใจของอย่างบอกไม่ถูก

คนที่พร้อมจะมาอยู่ข้างกายเป็นเพื่อนเธอ และไม่ถามอะไรมากมายในเวลาแบบนี้ คนเหล่านั้นต่างหากคือเพื่อนที่แท้จริง

เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น เธอก็เห็นเผยลี่เชินและกู้หลี่เหลียงยืนอยู่ด้วยกัน และกำลังกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างอยู่

“เสว่เอ๋อร์ เธอรู้ไหมว่าเมื่อวานฉันตกลงไปในทะเลสาบด้วยล่ะ”

เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของไป๋เสว่เอ๋อร์ เจียงหวั่นหวั่นจึงเปลี่ยนเรื่องในทันที

“จริงเหรอ”

เจียงหวั่นหวั่นพยักหน้าอย่างมั่นใจ “จริงสิ”

เดิมทีนั้น เธอนึกว่ามันเป็นเพียงการโกหกเพื่อหลอกให้เธอไปที่สวนดอกเยว่กวังเสียอีก นึกไม่ถึงว่า มันจะเป็นเรื่องจริงเสียได้

ไป๋เสว่เอ๋อร์ถามกลับไปอย่างเบาๆ ว่า “แล้วตกลงไปได้ยังไงกัน”

เมื่อเจียงหวั่นหวั่นได้ยินดังนั้น เธอก็เหลือบสายตามองไปที่กู้หลี่เหลียง จากนั้นก็พูดด้วยอารมณ์ควันออกหูว่า “ก็เพราะว่ามีใครบางคนอยากจะลากฉันไปพายเรือเล่น แต่พอขึ้นไปนั่งบนเรือแล้วกลับไม่คิดที่จะช่วยกันพายสักนิดเดียว ฉันโกรธก็เลยเผลอลุกขึ้นยืนบนเรือ ใครจะไปรู้เล่าว่า……”

เมื่อได้เห็นความขุ่นเคืองแถมโกรธจัดแผ่ออกมาจากเจียงหวั่นหวั่นแล้ว ประกอบกับน้ำเสียงที่ชวนขำขันของเธอแล้ว ทันใดนั้น ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมากโดยไม่รู้ตัว

เมื่อเธอเห็นว่ากู้หลี่เหลียงคอยมองมาทางนี้อยู่เสมอ ไป๋เสว่เอ๋อร์จึงกระซิบถามเบาๆ ว่า “เธอมากับเขาอย่างนั้นเหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ เมื่อวานมันดึกมากแล้ว ฉันเลยต้องกลับไปนอนที่คฤหาสน์นั่นคืนหนึ่งก่อน พอเช้าวันนี้ ฉันถึงนั่งรถของเขามาที่นี่เนี่ยแหละ เขาทำให้ฉันตกลงไปในทะเลสาบ แถมยังขโมยจูบแรกของฉันไปด้วย แต่ฉันก็ยังนั่งรถของเขามาที่นี่……”

ขณะที่เจียงหวั่นหวั่นกำลังพูดด้วยความโกรธจัด ทันใดนั้น เธอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอก็หยุดพูดอย่างกะทันหัน และรีบยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองเอาไว้ พร้อมกับมองไปที่ไป๋เสว่เอ๋อร์ด้วยอาการตกใจเล็กน้อย

ไป๋เสว่เอ๋อร์มองเธอด้วยความประหลาดใจ และคิดว่าตัวเองคงฟังหญิงสาวผิดไปแน่ๆ “เมื่อกี้เธอพูดว่าจูบแรกอย่างนั้นเหรอ”

เจียงหวั่นหวั่นมีสีหน้าที่ดูกังวล เธอพยักหน้าอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก จากนั้นก็ถอนหายใจ พร้อมกับพูดด้วยเสียงที่เบาลงว่า “ก็นะ เดี๋ยวฉันจะเล่าทุกอย่างให้เธอฟังเอง”

เธอโน้มตัวเข้าไปหาไป๋เสว่เอ๋อร์ จากนั้นก็เล่าต่อไปว่า “เมื่อวานเขาช่วยฉันขึ้นมาจากทะเลสาบ แล้วก็ช่วย…ผายปอดให้ฉันน่ะ”

ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกแทบไม่อยากจะเชื่อเลย แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เธอคาดไม่ถึงมาก่อนเลยว่า เจียงหวั่นหวั่นและกู้หลี่เหลียงจะมีโอกาสได้มาพบกัน……

เผยลี่เชินที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่ง เมื่อเห็นว่าในที่สุด หญิงสาวเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้เล็กน้อย

เขาหันไปมองกู้หลี่เหลียงที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา พร้อมกับเอ่ยปากพูดว่า “ดูเหมือนว่า วิธีการของนายจะได้ผลนะ”

กู้หลี่เหลียงเลิกคิ้วขึ้น และกวาดสายตามองไปที่เจียงหวั่นหวั่น “อีกอย่างยัยคนงี่เง่าไม่รู้จักระมัดระวังนั่น ถ้ายัยนั่นคอยอยู่เป็นเพื่อนไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ ก็คงช่วยเบียงเบนความสนใจของเธอไม่ให้เศร้าไปได้บ้าง”

เมื่อได้ยินกู้หลี่เหลียงเรียกเจียงหวั่นหวั่นแบบนั้นเข้า ดวงตาของเผยลี่เชินก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา “อะไรกัน สนใจเธอเข้าแล้วสินะ”

“ยัยนั่นน่ะเหรอ” กู้หลี่เหลียงถามขึ้นมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ พร้อมกับถามชายหนุ่มกลับไปว่า “รสนิยมของฉันมันยังไม่ลดต่ำถึงขนาดนี้ไหม ผอมเหมือนซี่โครง หน้าอกก็ไม่มี เมื่อวานตอนที่ฉันช่วยผายปอดให้ ยัยนั่นนอกจากจะไม่รู้จักเอ่ยปากขอบคุณที่ฉันอุตส่าห์ช่วยเธอ ยังมีหน้ามาบอกว่าฉันขโมยจูบแรกของเธอไปอีก ใครจะไปสนกันล่ะ”

เมื่อได้เห็นการแสดงออกของกู้หลี่เหลียงแล้ว เผยลี่เชินก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรอีก เขานิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นสีหน้าของเขาก็ดูจริงจังขึ้นมาในทันที พร้อมกับเอ่ยปากพูดว่า “นายมากับฉันหน่อย ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับนาย”

กู้หลี่เหลียงลังเลไปครู่หนึ่ง เขาเดินตามเผยลี่เชินไปยังบริเวณระเบียงที่อยู่ด้านข้าง และเอ่ยปากถามขึ้นมาในทันทีว่า “เกี่ยวกับเรื่องคุณพ่อของไป๋เสว่เอ๋อร์หรือเปล่า”

“ใช่” เผยลี่เชินพยักหน้า ดวงตาของเขาดูเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย “เรื่องนี้ นายห้ามบอกให้เธอรู้เด็ดขาด”

กู้หลี่เหลียงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้ว เขาก็พยักหน้าตอบรับ “ฉันเข้าใจแล้ว เดี๋ยวฉันไปจัดการให้เอง”

“เพล้ง!”

ทันใดนั้น บริเวณห้องทานอาหารก็มีเสียงดังขึ้นมา เผยลี่เชินรีบหันหลังกลับไปอย่างไม่ลังเล และมองไปทางไป๋เสว่เอ๋อร์ด้วยความกังวลในทันที

เขารีบเดินไปตามเสียงนั้น และเมื่อเห็นชามข้าวต้มตกแตกอยู่ที่พื้น เขาก็เงยหน้าขึ้น และมองเห็นไป๋เสว่เอ๋อร์ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม โดยที่ไม่ขยับตัวเลยสักนิดเดียว

เผยลี่เชินขมวดคิ้วแน่น และพูดออกมาด้วยความกังวลใจ “เกิดอะไรขึ้น คุณบาดเจ็บหรือเปล่า”

“ฉัน….ถือไม่ระวังเองค่ะ” ไป๋เสว่เอ๋อร์ส่ายหัวอย่างไร้ความรู้สึก แต่ดวงตาของเธอนั้นกลับมีสีแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด

เจียงหวั่นหวั่นที่นั่งอยู่ข้างๆ ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกสะดุ้งตกใจไปกับความอ่อนไหวของเธอ เจียงหวั่นหวั่นรีบเข้าไปกอดไป๋เสว่เอ๋อร์เอาไว้ “เสว่เอ๋อร์ ไม่เป็นไรนะ พวกเราทุกคนจะอยู่ข้างๆ เธอนะ ไม่เป็นไรแล้ว”

ไป๋เสว่เอ๋อร์หลับตาลงด้วยความเจ็บปวด หลังจากนั้นสักพัก เธอก็กัดริมฝีปากของเธอ สูดลมหายใจลึกๆ และพูดออกมาว่า “ตอนนี้ก็สายมากแล้ว ฉันต้องไปส่งคุณพ่อขึ้นสวรรค์แล้วล่ะค่ะ”

สัญญาร้ายของประธานปีศาจ

สัญญาร้ายของประธานปีศาจ

Status: Ongoing

บริษัทไป๋ซื่อเกิดเรื่องใหญ่ในด้านการเงิน พ่อของเธอถูกตำรวจพาไป แม่ของเธอก็ป่วย ร่างกายยิ่งอ่อนแอขึ้น เธอต้องการเงิน ต้องการหลักฐาน นอกจากเผยอี้แล้ว เธอนึกไม่ออกว่ายังมีใครที่จะสามารถช่วยเธอได้ แต่สุดท้าย เธอเพียงแค่ได้รับความเยาะเย้ยจากเขา ยังดีที่เผยลี่เชินออกมาช่วยเธอตอนที่เธอสิ้นหวัง ไป๋เสว่เอ๋อร์มอบตัวเองให้กับเขา แต่ความสัมพันธ์ของสองคนกลับยังไม่จบ พวกเขาจะมีเรื่องอะไรกันต่อนะ? คำแนะนำนวนิยาย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท