บทที่ 21 ทำให้ ซูซีมู่โกรธเสียแล้ว
วันนี้ซูซีมู่ยุ่งมาก ช่วงเช้าประชุมทั้งเช้าโดยไม่ทันได้พัก ตอนบ่ายยังต้องต้อนรับลูกค้าอีกสองท่าน
หกโมงสี่สิบ เขาเข้าประชุมด่วนอีกครั้งแล้วจึงกลับไปที่ห้องทำงาน
เปิดโทรศัพท์ ก็เห็นว่าโล่เฟยเอ๋อส่งข้อความมาหาว่าเขาว่างหรือไม่ มีเรื่องอยากให้เขาช่วย
ตอนแรกก็คิดว่าจะใช้ข้อความตอบกลับไปว่ามีเรื่องอะไร แต่เมื่อคิดไปคิดมาสุดท้ายเขาก็คิดว่าถ้าโทรไปเลยน่าจะชัดเจนมากกว่า ดังนั้นเขาจึงใช้โทรศัพท์ในมือโทรหาโล่เฟยเอ๋อ
จากการโทร ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่ได้กลับบ้าน ยังซื้อของอยู่ข้างนอก
เมื่อเขาได้สติคืนมา เขาก็ใกล้จะถึงตึกอวิ๋นเหซียงแล้ว
ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะรีบร้อนได้มากถึงขนาดนี้
ซูซีมู่มองตรงไปทางด้านหน้าประมาณตึกอวิ๋นเหซียง0เมตร เห็นเงาหนึ่งยืนอยู่เสาใต้ไฟข้างถนน เขาเหม่อมองอยู่ชั่วขณะ จากนั้นจึงขับรถไปด้านหน้าค่อย ๆ จอดตรงหน้าโล่เฟยเอ๋อ และปลดล็อครถ
โล่เฟยเอ๋อไม่ได้มีความประหลาดใจใดใด เปิดประตูรถทางด้านข้างคนขับพลางก้าวขึ้นไปนั่งเรียบร้อย
“ขอโทษด้วย ที่ต้องรบกวนให้คุณมากะทันหันแบบนี้” โล่เฟยเอ๋อพูดพลางรัดเข็มขัดนิรภัย
ซูซีมู่ส่ายหน้า “เปล่า ฉันอยู่แถวนี้พอดี”
เธอส่งเสียง อ้อ ออกมา จากนั้นจึงเอ่ยถามต่อ “คุณกินข้าวหรือยัง?”
โล่เฟยเอ๋อรู้สึกว่าหากจะพูดเรื่องนั้นบนรถแบบนี้ ไม่ดีเท่าไร
ตอนนี้เป็นเวลาที่คนปกติเขาจะกินข้าวเย็นกันพอดี เธอคิดว่าหากเขายังไม่ได้กินข้าว เธอก็คงจะเลี้ยงข้าวเขาแล้วค่อยขอร้องให้เขาไปรวมงานแต่งเพื่อนวัยเรียนกับเธอ
ซูซีมู่ไม่ได้ตอบกลับอะไรโล่เฟยเอ๋อ เพียงแต่ถามว่า “ไปกินที่ไหน?”
โล่เฟยเอ๋อชี้ไปทางตึกอวิ๋นเหซียง ไม่ไกลจากตรงนั้นมีร้านอาหารสไตล์ตะวันตกอยู่ “ตรงนั้น ร้านอาหารยุโรปอร่อยอยู่ …”
โล่เฟยเอ๋อหยุดพูดไปครู่หนึ่ง แล้วจึงถาม “คุณว่าโอเคมั้ย?”
ซูซีมู่พยักหน้าโดยที่ไม่ได้เอ่ยอะไร จากนั้นจึงลดความเร็วลง ค่อย ๆ ขับรถเข้าไปจอดในลานจอดรถของร้านอาหารที่ว่า
ร้านสไตล์ยุโรปดูหรูหรา เสียงดนตรีทำนองเสนาะหู สภาพแวดล้อมทำให้รู้สึกสบายใจ
ลูกค้าเยอะทีเดียว ซูซีมู่กับโล่เฟยเอ๋อเลือกนั่งโต๊ะด้านในสุด
หนักงานเดินมารับออเดอร์เสร็จก็เดินจากไป ซูซีมู่ถึงค่อย ๆ เอ่ยปาก “คุณบอกว่ามีเรื่องให้ฉันช่วย?”
โล่เฟยเอ๋อไม่ได้คาดคิดว่าซูซีมู่ถามออกมาตอนนี้ เธองงอยู่เล็กน้อย จากนั้นจึงพูดออกมาด้วยท่าทางลำบากใจเล็กน้อย “คือว่า… เพื่อนมหาลัยของฉันจะแต่งงาน คุณจะ… ไปกับฉันได้มั้ย?”
งานแต่งงาน? คือโทรศัพท์สายเมื่อวานที่เธอรับ?
โล่เฟยเอ๋อเห็นว่าซูซีมู่เงียบไปนาน เข้าใจไปว่าเขาลำบากใจ จึงทำท่าเหมือนว่าไม่ได้ใส่ใจอะไร “คือ ถ้าหากคุณไม่ว่าง งั้นฉันไปถามคนอื่นก็แล้วกัน”
สำเสียงของโล่เฟยเอ๋อฟังออกชัดเจนว่าเธอผิดหวัง
เสียดายที่ซูซีมู่ฟังน้ำเสียงนั้นไม่ออก เพราะว่าเขาได้ยินว่าโล่เฟยเอ๋อจะไปถามคนอื่น ในสมองก็เบลออีกทั้งยังว้าวุ่นใจ
ถามคนอื่น? ที่แท้เขาก็ไม่ใช่ตัวเลือกเดียวของเธอ
ซูซีมู่รู้สึกไม่ดี ไม่ดีเอามาก ๆ ! สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในทันที
โล่เฟยเอ๋อเห็นสีหน้าของซูซีมู่ดูไม่ดี ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเขาโมโหเสียแล้ว
นางทำปากขมุบขมิบพลางพูดออกมาเสียงเบา “ขอโทษ คุณซู เป็นฉันเองที่หุนหันเกินไป คุณอย่าโมโหเลย ฉัน… ”
ยังไม่ทันรอให้โล่เฟยเอ๋อพูดจบ ซูซีมู่ก็ตัดบทนางเสียงอย่างนั้น “เมื่อไร? ที่ไหน?”
โล่เฟยเอ๋อชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบกลับเขา “คืนพรุ่งนี้สองทุ่ม โรงแรมหมิงจู”
ซูซีมู่ ส่งเสียงอึมเบา ๆ จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก สีหน้านั้นนิ่งสงบราวกับผิวน้ำ
โล่เฟยเอ๋อลองแกล้งหาเรื่องคุยกับเขา แต่เขากลับไม่ได้สนใจอะไรนางเลย
“คุณซู สเต็กเนื้อวัวของคุณ” โล่เฟยเอ๋อไถจานสเต็กเนื้อวัวไปวางไว้ตรงหน้าเขาพลางยิ้มออกมาเล็กน้อย
นัยน์ตาสีดำเป็นประกายของเธอแฝงไปด้วยความเอาอกเอาใจและขอโทษในที และยังแอบซ่อนความไม่สบายใจไว้อีกด้วย
ซูซีมู่มองไปทางเธอด้วยแววตาเย็นชา จากนั้นก็ละสายตาออกมาใช้มีดกับส้อมหั่นสเต็กตรงหน้า
รอยยิ้มบนใบหน้าของโล่เฟยเอ๋อพลันเจือนขึ้นมาทันที จากนั้นจึงก้มลงกินอาหารค่ำของเธอต่อไปเงียบๆ
หลังจากจบมื้ออาหาร ซูซีมู่จัดการชำระเงินค่าอาหารจากนั้นก็เดินออกไปไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
ตอนที่โล่เฟยเอ๋อวิ่งตามออกมา ก็เห็นเพียงแค่เงารถของซูซีมู่ขับออกไปแล้ว
รู้อย่างนี้ ต่อให้ไม่ไปก็คงไม่ถามเขาหรอก ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ทำให้เขาโกรธจนได้ โล่เฟยเอ๋อรู้สึกเสียใจอย่างมาก
เพียงแต่ว่าคำพูดนั้นพูดออกไปแล้ว เธอทำได้เพียงไปขอโทษกับเขาเท่านั้น
น่าเสียดาย ซูซีมู่ไม่ได้ให้โอกาสเธอได้ขอโทษเลยสักนิด
เธอโทรไปหาซูซีมู่ เขาไม่รับสาย ส่งข้อความไป เขาก็ไม่ตอบกลับ
ในใจของโล่เฟยเอ๋อรู้สึกไม่ดีเลยสักนิด แต่ก็ช่วยไม่ได้ ทำได้แค่รอจนถึงงานแต่งของเพื่อน ในตอนนั้นเธอค่อยไปยอมรับผิดกับซูซีมู่
เพราะว่าซูซีมู่ไม่ได้บอกว่าจะไปกี่โมง ดังนั้นหลังจากที่โล่เฟยเอ๋อเลิกงานแล้ว จึงกลับไปที่พักเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วไปรออยู่ที่หน้าโรงแรมหมิงจู
อากาศในวันนี้ไม่ค่อยดีนัก พอถึงเวลาหนึ่งทุ่ม ท้องฟ้าก็ปกคลุมไปด้วยเมฆ ท้องฟ้ามืดมิดราวกับเป็นเวลากลางดึก
พอหนึ่งทุ่มสิบนาที ฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่
โล่เฟยเอ๋อมองดูฝนที่กระหน่ำอยู่ด้านนอก เธอลังเลอยู่เล็กน้อย จากนั้นก็ค่อย ๆ วิ่งไปซื้อร่มที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตฝั่งตรงข้ามโรงแรม
เธอกางร่มยืนรอเขาอยู่หน้าประตูโรงแรมประมาณสิบนาทีก็เห็นรถของซูซีมู่ขับเขามา เห็นว่าซูซีมู่ขับรถเข้าไปจอดในที่จอดรถ โล่เฟยเอ๋อก็รีบกางร่มไปตามไป เธอเกรงว่าซูซีมู่จะไม่ได้พกร่ม
ปรากฏว่า ประตูด้านคนขับถูกเปิดออก ซูซีมู่ลงมาจากรถโดยไม่ได้กางร่ม ฝนที้ตกหนักอยู่นั้นก็ตกลงบนตัวเขา
โล่เฟยเอ๋อรีบวิ่งเข้าไปหาเขา เอื้อมมือเอาร่มไปกางไว้เหนือศีรษะเขา
“ขอโทษที ฝนมันตกพอดี ไม่ถูกฝนสาดใช่มั้ย?”
ซูซีมู่มองหน้าเธอครู่หนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่สาวเท้ายาวๆรีบเดินไปทางประตูใหญ่ของโรงแรม
โล่เฟยเอ๋อต้องวิ่งตามถึงจะตามซูซีมู่ที่เดินนำหน้าไปได้ทัน
ร่มทั้งคันถูกกางอยู่เหนือศีรษะซูซีมู่ แต่ทั้งร่างของเธอถูกฝนสาดเปียกไปทั้งตัว กลับไม่ทันได้สังเกต
อยู่ดีดีซูซีมู่ที่เดินนำอยู่ด้านหน้าก็หยุดฝีเท้าลง โล่เฟยเอ๋อไม่ทันได้สังเกตจึงชนหลังเขาเข้าไปเต็ม ๆ
จมูกที่ถูกชนนั้นก็เกิดเจ็บขึ้นมา น้ำตาคลอแทบจะไหลลงมา ร่มเกือบหลุดมือเพราะการชนเมื่อครู่
ซูซีมู่รีบเอื้อมมือไปรับเอาร่มที่อยู่ในมือเธอ เมื่อนั้นเขาถึงเห็นว่าเหมือนเธอจะถูกฝนสาดจนเสื้อผ้าเปียกไปทั้งตัว เขาขมวดคิ้วด้วยท่าทางเหมือนจะโมโห
จากนั้นในใจก็สุมเต็มไปด้วยความโกรธ เธอดูแลตัวเองดีดีไม่เป็นหรือไง? กางร่มอยู่ยังทำให้ตัวเองถูดสาดจนเปียกแบบนี้
เขาเอื้อมมือไปจบแขนของเธอ ออกแรงดึงเธอเขามาในอ้อมกอด จากนั้นจึงรีบพุ่งตัวไปทางประตูใหญ่ของโรงแรม
เมื่อเข้ามาถึงโถงใหญ่ ซูซีมู่ขมวดคิ้วมองไปทั่วโถงโรงแรมสี่ดาวตรงหน้า แล้วจึงลากโล่เฟยเอ๋อเดินไปทางเคาน์เตอร์