บทที่ 39 ยังไม่ทันสารภาพรักก็อกหักเสียแล้ว
โล่เฟยเอ๋อรู้สึกสับสนเล็กน้อยเมื่อข้อสรุปออกมาเป็นแบบนี้
ต่อมาเธอก็ลุกจากชักโครกแล้ววิ่งออกมาจากห้องน้ำ
“เกิดอะไรขึ้น?” ซูซีมู่มองโล่เฟยเอ๋อที่วิ่งอย่างรีบร้อนออกมาจากห้องน้ำ
“ดึกมากแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อน” โล่เฟยเอ๋อไม่กล้ามองตาซูซีมู่
ซูซีมู่มองดูเธอนิ่ง ๆ แล้วลุกขึ้นยืน “ผมไปส่ง”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันนั่งแท็กซี่กลับเอง” โล่เฟยเอ๋อส่ายหัว ไม่รอคำตอบจากซูซีมู่ก็หยิบเอากระเป๋าที่วางอยู่บนโซฟาแล้วรีบวิ่งออกมาจากคฤหาสน์
ซูซีมู่มองตามหลังของโล่เฟยเอ๋อไปโดยที่ไม่รู้เลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ไม่นานจากนั้นเขาก็หยิบกุญแจจากโต๊ะกาแฟไปที่ทางเข้า
หลังจากที่ออกมาจากชุมชนของซูซีมู่ โล่เฟยเอ๋อก็นั่งลงที่ใต้โคมไฟข้างถนน
มันดึกมากแล้ว มีคนเดินอยู่บนทางเดินเท้าไม่กี่คนแม้กระทั่งรถยนต์นาน ๆ ทีก็จะมีรถผ่านมา
โล่เฟยเอ๋อจ้องมองถนนอย่างว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง ความรีบร้อนก็เริ่มสงบลงทีละนิด
เธอตกหลุมรักผู้ชายเย็นชาคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เธอเริ่มชอบเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
แล้วพวกเขาเริ่มส่งข้อความหากันตั้งแต่เมื่อไหร่?
หรือก่อนหน้านี้ ที่เขาช่วยเธอออกมาจากคลับดี้เหา?
หรือก่อนก่อนหน้านี้ ที่การพบกันครั้งแรกของพวกเขา เธอก็ทำตัวไม่ถูกแล้วเมื่อได้มองใบหน้าที่ประณีตงดงามของเขา…
ตอนนั้นพวกเขาพบกันโดยบังเอิญและเธอเองก็ไม่ได้คิดถึงมัน
จากนั้นก็พบกันครั้งแล้วครั้งเล่า ติดต่อกันมากขึ้น เขาเริ่มก็มีความสำคัญต่อใจของเธอมากขึ้น
จนถึงตอนนี้ ก็สำคัญต่อใจเธอมากกว่าใคร…
โล่เฟยเอ๋อตะลึงงัน
มากกว่าการชอบใครคนหนึ่งนั้นคืออะไร?
รัก
เธอไม่ได้แค่ชอบ เธอรักเขา
มากกว่าชอบ คือรัก
เพราะการพบกันโดยบังเอิญครั้งแรก ความชอบก็เริ่มค่อย ๆ เพิ่มพูนในหัวใจมากขึ้นทีละนิดแล้ว
แล้วก็เริ่มติดต่อกันมากขึ้นความชอบก็เริ่มเบ่งบานจนกลายเป็นความรัก…
มีรถคันหนึ่งจอดอยู่ที่หัวมุมสี่แยกของชุมชน คนที่นั่งอยู่ในรถนั้นคือซูซีมู่
ซูซีมู่ก็ไม่ค่อยวางใจที่ดึก ๆ แบบนี้จะให้โล่เฟยเอ๋อเรียกแท็กซี่กลับแต่โล่เฟยเอ๋อยืนยันว่าไม่อยากให้เขาไปส่ง
เขารออีกไม่กี่นาทีก็ขับรถออกมา
ทำให้เขาเห็นว่าโล่เฟยเอ๋อไม่ได้เรียกแท็กซี่กลับ แต่นั่งอยู่ข้างถนนไม่ขยับไปไหน
เขานั่งเงียบ ๆ อยู่ในรถแล้วจ้องมองเธอ สุดท้ายก็ทนไม่ไหวหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากดเบอร์หาโล่เฟยเอ๋อ
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น สติของโล่เฟยเอ๋อก็กลับมา
หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า เห็นว่าเป็นชื่อ ‘คุณซู’ ตาของเธอก็เกิดแดงขึ้นมาแล้วกดรับสาย
“ฮัลโหล”
เสียงของซูซีมู่ดังมาจากปลายสาย “ถึงบ้านหรือยัง?”
โล่เฟยเอ๋อเม้มริมฝีปากแล้วโกหกไป “เพิ่งถึง”
ซูซีมู่ที่นั่งอยู่ในรถกำโทรศัพท์แน่น “รีบนอน”
“อื้อ ฝันดี” เสียงของโล่เฟยเอ๋อเบามาก
“ฝันดี” ซูซีมู่ยังคงเอาโทรศัพท์แนบหูไว้ มองไปทางโล่เฟยเอ๋อ
มองเห็นโล่เฟยเอ๋อเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าแล้วลุกขึ้นยืน
คงเพราะนั่งยองนานเกินไปเท้าก็เลยชา เธอก้มลงนวดขาแล้วลุกไปยืนข้างถนนเพื่อเรียกแท็กซี่
ไม่นานมากนักเธอก็ขึ้นรถแท็กซี่ไป
ซูซีมู่สตาร์ทรถแล้วแอบตามไป…
เขาขับรถตามแท็กซี่ที่โล่เฟยเอ๋อนั่งด้วยการเว้นระยะห่างไว้สองร้อยเมตรจนกระทั่งถึงทางเข้าชุมชนปี้ไห
เห็นว่าโล่เฟยเอ๋อเข้าชุมชนไปแล้ว เขายังคงอยู่หน้าชุมชนนั้นเป็นเวลานานก่อนจะสตาร์ทรถออกไป
โล่เฟยเอ๋อเดินเข้ามา หซิวหชูเฉียวนั่งอยู่บนโซฟากำลังดูทีวี “ฉันคิดว่าคืนนี้เธอก็จะไม่กลับมาเสียอีก”
โล่เฟยเอ๋อหน้าชาเมื่อได้ยินคำว่า ‘ก็’ “ฉันอยู่ที่นี่ก็ต้องกลับมาสิ”
หซิวหชูเฉียวเลิกคิ้ว แล้วพูดต่อด้วยคำพูดที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ “วันที่เธอกลับมาคือเมื่อหนึ่งวันหนึ่งคืนก่อน เมื่อคืนเธอไม่ได้กลับมา…”
โล่เฟยเอ๋อรีบโต้กลับ “เมื่อคืนมันเป็นกรณีพิเศษ”
“แล้วเรื่องปกติล่ะ? เธอจะบอกว่านานแล้วที่ไม่ได้เลิกงานนาน ๆ ก็เลยกลับบ้าน? ขอความจริงเลยนะเฟยเอ๋อ เธอมีแฟนแล้วใช่ไหม?”
คงต้องพูดว่าหชูเฉียวพูดถูก
“คือ…” โล่เฟยเอ๋อไม่รู้จะพูดอะไรได้แต่ขยับปาก
หซิวหชูเฉียวเลิกคิ้ว “เฟยเอ๋อ เธอมีแฟนแล้วจริง ๆ เหรอ?”
“ไม่ ไม่มี” โล่เฟยเอ๋อส่ายหัวอย่างรวดเร็ว
แต่หซิวหชูเฉียวค้นพบสัญญาณบางอย่างที่ไม่เคยทายผิดมาก่อน ภายใต้ความกดดันของหซิวหชูเฉียว โล่เฟยเอ๋อจึงยอมพูดเรื่องราวระหว่างเธอกับซูซีมู่ออกมา
“พระเจ้า เฟยเอ๋อ เรื่องระหว่างพวกเธอมันคือชะตาฟ้าลิขิต!”
โล่เฟยเอ๋อ “นั่นมันไม่ใช่ประเด็นไหมล่ะ?”
หซิวหชูเฉียวพูดอย่างสนใจ “โอเค มาเข้าประเด็นแล้วช่วยกันคิด”
“ฉันสารภาพไปดีไหม?” โล่เฟยเอ๋อถามตรง ๆ
หซิวหชูเฉียวตอบทันที “สารภาพไปสิ ต้องทำ”
“แต่ถ้าถูกปฏิเสธล่ะ?” โล่เฟยเอ๋อทำหน้ายู่ “บางที ฉันกับเขาก็อาจจะไม่ได้เป็นเพื่อนกันอีก ถ้าไม่มีเขา…” โล่เฟยเอ๋อคิดแบบนั้นในใจก็รู้สึกเจ็บจนเกินจะเยียวยาได้
หซิวหชูเฉียวมองดูโล่เฟยเอ๋อที่เป็นแบบนี้ก็ดูออกว่าเธอชอบผู้ชายคนนี้มากกว่ากู้ชิงหลันอีก ถ้าเธอยังหาคำอธิบายไม่ได้ก็คงจะทนไม่ไหวอีกแล้ว
“แต่…ถ้าไม่สารภาพ ก็จะแอบชอบไปเงียบ ๆ เหรอ? แล้วก็ตายอย่างสงบ?”
แอบรักเงียบ ๆ โดยไม่รู้ตอนจบน่ะเหรอ? “ไม่ได้แน่นอน” โล่เฟยเอ๋อส่ายหัวอย่างแน่วแน่
หซิวหชูเฉียวเงียบไปครู่หนึ่ง “ลองสารภาพไปก่อนไหม? ถ้าไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าจะถูกปฏิเสธ?”
“ขอคิดก่อนนะ” โล่เฟยเอ๋อลังเล
โล่เฟยเอ๋อใช้เวลาคิดอยู่หลายวันสุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะสารภาพกับซูซีมู่
แต่เธอคงไม่คิดว่าการสารภาพครั้งแรกของเธอหลังจากที่ได้ยินซูซีมู่คุยโทรศัพท์ จะทำให้เก็บเอาความรู้สึกที่มีต่อซูซีมู่ไว้ในใจ
วันเสาร์ เธอไปหาซูซีมู่
หลังมื้อกลางวันซูซีมู่ก็ไปที่ห้องทำงานอ่านเอกสารต่อ ด้านโล่เฟยเอ๋อหลังจากทำความสะอาดห้องครัวเสร็จก็หั่นผลไม้ไปให้ซูซีมู่ที่ห้องทำงาน
ห้องทำงานไม่ได้ปิดไว้ เธอเดินไปถึงประตูก็เห็นซูซีมู่ยืนอยู่ที่หน้าต่างทรงสูงกำลังคุยโทรศัพท์ เธอหยุดเดินรอให้เขาคุยธุระเสร็จก่อนแล้วค่อยเข้าไป ก็มาได้ยินซูซีมู่ตอบคนปลายสาย “ฉันจะไม่แต่งงาน จะไม่รักใคร แล้วก็จะไม่ชอบผู้หญิงคนไหนด้วย!”
จะไม่ชอบผู้หญิงคนไหน…
ใบหน้าของโล่เฟยเอ๋อซีดเซียว มือที่ถือถาดผลไม้สั่นไหว
เธอไม่สามารถอยู่ตรงนี้อีกต่อไปได้ มองไปที่ซูซีมู่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างทรงสูง แล้วก็กลับตัวเดินออกมา
ซูซีมู่ไม่รู้เลยว่าคำพูดของเขาทำให้โล่เฟยเอ๋อรู้สึกเหมือนโดนตีแสกหน้า เขาไม่มีความอดทนมากพอที่จะฟังลู่ยู่พูด
“ซูซีมู่ ผู้หญิงของนายฉันขอไม่ออกความเห็น แต่นายก็อย่าปฏิเสธมันมาตลอดทั้งวันสิ! ตลอดหนึ่งเดือนมานี้นายไม่ได้ออกมาเลย แต่ละวันก็ไปแค่ที่บ้านกับบริษัท ส่วนเวลาที่เหลือก็คืออยู่บนรถล่ะมั้ง? ถ้าขืนยังเป็นแบบนี้มันจะเกิดปัญหาแน่ ๆ ถ้านายยังไม่มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นแบบนี้นายจะยิ่งเย็นชามากกว่าเดิม…”
ซูซีมู่ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของลู่ยู่ บ้านของเขา? ทุกวันนี้หลังเลิกงานเขาออกไปข้างนอกกับโล่เฟยเอ๋อตลอด! เขาไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใคร? เขาก็พูดกับโล่เฟยเอ๋ออยู่ทุกวันไม่ใช่เหรอ? ซูซีมู่ส่ายหัวแล้วก็ไม่สนใจคำพูดจากลู่ยู่ที่ ‘ชักชวนคนติดบ้าน’ อยู่นาน ตัดสายทิ้งแล้วกลับไปสนใจเอกสารต่อ
จากนั้นไม่นาน ซูซีมู่รู้สึกรำคาญใจ โยนเอกสารไปบนโต๊ะแล้วลงไปหาโล่เฟยเอ๋อที่ชั้นล่าง
เขามองไปรอบ ๆ ชั้นล่างก็ยังไม่เห็นโล่เฟยเอ๋อกลับไปที่ห้องทำงานหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาโล่เฟยเอ๋อ…
หลังจากที่โล่เฟยเอ๋อลงมาจากชั้นบนก็วิ่งออกมาจากคฤหาสน์ของซูซีมู่แล้วก็เรียกรถแท็กซี่ที่ข้างถนน
ขณะที่นั่งอยู่บนแท็กซี่ก็มองไปที่ป้ายโฆษณาริมถนน คำพูดของซูซีมู่ก็กลับมาสะท้อนขึ้นในใจอีกครั้ง
“ฉันจะไม่แต่งงาน จะไม่รักใคร แล้วก็จะไม่ชอบผู้หญิงคนไหน”
ดวงตาของโล่เฟยเอ๋อสั่นไหว ที่หน้าอกรู้สึกเหมือนแทงด้วยมีดจนรู้สึกเจ็บขึ้นมา
เธอยกมือขึ้นจับหน้าอกอย่างไม่รู้ตัว ใช้การเคลื่อนไหวที่โง่เง่านี้เพื่อหยุดหัวใจที่เจ็บช้ำ
แต่ไม่ว่าเธอจะจับหน้าอกไว้แน่นแค่ไหน แต่สุดท้ายหัวใจของเธอก็ยังคงแตกทีละนิด ๆ
ความเจ็บปวดนี้ทำให้โล่เฟยเอ๋อต้องก้มตัวลง น้ำตาที่กลั้นไว้ไม่อยู่ก็ไหลลงมา…
เสียงโทรศัพท์ที่ตั้งไว้เป็นของซูซีมู่โดยเฉพาะดังขึ้นทำให้สติของโล่เฟยเอ๋อกลับคืนมา
มือสั่นไหวของเธอหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า
มองดูชื่อ ‘ซูซีมู่’ บนจอโทรศัพท์แล้วกดรับสาย
“ฮัลโหล”
“คุณอยู่ไหน?” น้ำเสียงของซูซีมู่ยังคงเย็นชาเหมือนปกติ
โล่เฟยเอ๋อกัดริมฝีปากอย่างขมขื่น “อยู่ดี ๆ ก็มีเรื่องเลยต้องออกมาก่อน”
ซูซีมู่ตอบรับเสียงเบาแล้วก็วางสายไป
มองไปที่หน้าจอโทรศัพท์ที่ตอนนี้ดำมืด ใบหน้าของโล่เฟยเอ๋อก็ค่อย ๆ เพิ่มความเสียใจขึ้นมาทีละนิด
ถ้าเธอยังรักเขา? เขาก็คงจะไม่ชอบแล้วก็พูดว่า ถ้าเขารู้ว่าเธอรักเขาเกรงว่าเขาจะปฏิบัติต่อเธอเหมือนผู้หญิงน่ารำคาญพวกนั้น
เธอรับไม่ได้ที่จะถูกเขาเกลียด จึงยินดีที่จะฝังความรักนี้ไว้ก้นบึ้งของหัวใจ
น่าเสียดาย ฉันรักคุณแต่คุณไม่ชอบฉันสักนิด
น่าเศร้า ที่นี่คือความรักที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะสารภาพ
น่าเจ็บใจ ที่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วเธอก็ยังลังเลที่จะปล่อยมือมา
…
เพราะโล่เฟยเอ๋อตัดสินใจได้แล้ว เมื่ออยู่ข้าง ๆ ซูซีมู่จะมีความรู้สึกที่เหมือนกับซูซีมู่
ซูซีมู่คิดว่า ตลอดชีวิตนี้คงเป็นได้แค่เพื่อนของซูซีมู่ แต่การปรากฏตัวของคนคนนั้น ทำให้ความสัมพันธ์เปลี่ยนไป
วันนั้นโล่เฟยเอ๋อกับซูซีมู่มาทานมื้อค่ำที่หยู้ผินเซียง
หลังสั่งอาหารโล่เฟยเอ๋อก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ
คำพูดที่ต้องการพูดกับซูซีมู่ถูกปิดผนึกไปแล้ว
โล่เฟยเอ๋อเข้าห้องน้ำ ล้างมือไปที่อ่างล้างมือ หยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดมือ
มองเห็นคนคุ้นเคยผ่านทางกระจก
แม้ว่าคนคนนั้นจะกลับมา แต่ก็สามารถจำเธอได้ง่าย เธอเป็นพี่สาวต่างแม่ของเธอ โล่หยิวชิว