บทที่403 ย้ายไปวิลล่าหลันถิงด้วยกัน
ซูยุ่นอยู่ที่เมืองAต่อ คนที่มีความสุขที่สุด หนีไม่พ้นโจวเฉิง
ถ้าซูยุ่นไปเมืองหลวง ทั้งสองคนจะต้องแยกกันอยู่ เขากับซูยุ่นอย่างมากก็เป็นได้แค่สามีภรรยาในนาม แต่ถ้าซูยุ่นอยู่ที่เมืองA เขาสองคนยังมีโอกาสได้สานสัมพันธ์ อย่างน้อยก่อนที่จะย้ายไปอยู่วิลล่าหลันถิง เขาสองคนต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกันที่คฤหาสน์ตระกูลซู
และก็เป็นเช่นนั้น ทั้งสองคนอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลซูหนึ่งเดือน ทั้งคู่นอนเตียงเดียวกัน แม้จะไม่ได้เกิดอะไรขึ้น แต่เพราะนอนด้วยกันทำให้ความรู้สึกของทั้งคู่เพิ่มขึ้นทุกวัน
หลังผ่านไปหนึ่งเดือน บ้านที่วิลล่าหลันถิงก็ตกแต่งเสร็จ
ตอนที่ผู้รับผิดชอบอย่างอาผินบอกข่าวนี้กับโจวเฉิงและซูยุ่น สีหน้าของทั้งสองก็เปลี่ยนเป็นพิลักพิลั่น
แต่อาผินไม่ทันสังเกต เขาพูด “พวกคุณตัดสินใจจะย้ายมาเมื่อไหร่ ก็บอกผมแล้วกัน”
“ครับ รบกวนพี่ผินแล้ว” โจวเฉิงขอบคุณอาผิน แล้วเดินไปส่ง
ตอนที่โจวเฉิงกลับมาที่ห้อง ซูยุ่นนั่งบนโซฟา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เธอคงอยากย้ายนั่นแหละ เพราะถึงยังไงการที่ต้องย้ายงานจากเมืองหลวงมาเมืองA ไหนจะต้องมาอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลซูกับเขาล้วนโดนบังคับ
นัยน์ตาของโจวเฉิงดำสนิท แล้วเดินเข้าไป “คุณอยากย้ายเมื่อไหร่?”
ซูยุ่นเงยหน้า สบเข้ากับนัยน์ตาของโจวเฉิงที่แฝงนัยน์บางอย่าง แต่ไม่นานก็กลับมานิ่งสงบ จากนั้นซูยุ่นจึงเอ่ยเรียบๆ “อาทิตย์หน้ามั้ง อาทิตย์นี้ฉันมีธุระนิดหน่อย”
ได้ยินคำว่าอาทิตย์หน้า ในใจของโจวเฉิงก็รวดร้าว เขาพยักหน้านิดๆ แล้วพูด ‘ครับ’
ซูยุ่นไม่ได้พูดอะไรอีก เธอยืดตัวขึ้น เดินเข้าห้องนอน
โจวเฉิงรอจนเธอเดินจากไป แล้วล้วงเอาซองบุหรี่กับไฟแช็กออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขาดึงบุหรี่ออกมาหนึ่งมวน แล้วจุดไฟ จากนั้นก็สูบ
เขาไม่ได้ติดบุหรี่ แม้ว่าจะพกติดตัว แต่ก็สูบน้อยมาก
แต่วันนี้ เขาอดไม่ได้จริงๆ
หลังจากสูบติดๆ กันสองมวนโจวเฉิงก็เก็บซองบุหรี่กับไฟแช็กลงกระเป๋า เขาลุกขึ้นเปิดหน้าต่าง ให้อากาศข้างในถ่ายเทออก จากนั้นก็เดินเข้าห้องนอน
เมื่อเข้าเดินเข้าไป ซูยุ่นนอนหันหลังให้กำลังหลับสนิท
โจวเฉิงมองแผ่นหลังของเธออยู่สักพัก เขาเปลี่ยนเป็นชุดนอน แล้วขึ้นเตียง
ร่างสูงทิ้งตัวลงบนเตียง แต่ไม่ง่วงสักนิด เขาจ้องฝ้าเพดานนิ่ง
เขาไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วซูยุ่นไม่ได้หลับ เพียงแต่เธอหันหลังให้เขา นอนมองกำแพง
ทั้งสองคน คนหนึ่งนอนมองเพดาน คนหนึ่งนอนมองกำแพง ตลอดทั้งคืน
ท้องฟ้าค่อยๆ สว่าง โจวเฉิงดึงผ้าห่มออกอย่างเบามือ แล้วลงจากเตียง
เขาระวังไม่ทำให้ซูยุ่นตื่น แต่ทันทีที่เขาขยับตัวซูยุ่นก็พลิกตัวกลับมา
“เช้าขนาดนี้นายตื่นมาทำอะไร?”
โจวเฉิงได้ยินเสียงของซูยุ่นจึงหันกลับมา “ผมมีธุระ ต้องเข้าบริษัทเร็วหน่อย ตอนนี้ยังเช้าอยู่ คุณนอนต่อเถอะ”
ซูยุ่นตอบกลับ ‘อืม’ แล้วหลับตาลง
โจวเฉิงมองใบหน้าของเธอยามนอนหลับ มองอยู่สักพัก เขาจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกจากห้องนอน
หลังจากที่เขาออกไป ซูยุ่นที่เดิมทีนอนหลับตาอยู่ก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
เธอมองไปที่ประตูสักพัก ก็ขยับตัวมาตรงที่โจวเฉิงนอน จากนั้นก็กอดผ้าห่มหลับไป
ซูยุ่นตื่นขึ้นมาอีกทีตอนเจ็ดโมงครึ่ง เธออาบน้ำแปรงฟันเสร็จก็ลงไปที่ห้องรับแขกที่คฤหาสน์อีกหลัง โล่เฟยเอ๋อมาถึงก่อนแล้ว กำลังนั่งกินอาหารเช้า พอเห็นเธอ ก็รีบเอ่ยเรียก
“ซูยุ่นตื่นแล้วหรอ? รีบมานั่งมา”
เธอพักอยู่ที่นี่มานาน ไม่เคยกินข้าวเช้า พี่สะใภ้ก็น่าจะรู้นี่นา ทำไมวันนี้ถึงเรียกเธอไปนั่ง?
ซูยุ่นเดินเข้าไปด้วยความงุนงง
หลังจากที่เธอนั่งลง โล่เฟยเอ๋อก็รีบถาม “ซูยุ่น ได้ข่าวว่าบ้านของเรากับโจวเฉิงตกแต่งเสร็จแล้วหรอ?”
ซูยุ่นไม่รู้ว่าจู่ๆ โล่เฟยเอ๋อถามเรื่องนี้ทำไม แต่ก็ยังคงพยักหน้า “ค่ะ เสร็จแล้ว”
“งั้นพวกเธอตั้งใจจะย้ายไปเมื่อไหร่?” โล่เฟยเอ๋อถามขณะที่กินก๋วยเตี๋ยว
ซูยุ่นตอบ “อาทิตย์หน้าค่ะ อาทิตย์นี้หนูมีธุระ”
“อาทิตย์หน้าหรอ” โล่เฟยเอ๋อพูดทวน แล้วพยักหน้า “ซูซีมู่ว่างพอดี”
ซูยุ่นไม่เข้าใจว่าเธอกับโจวเฉิงจะย้ายบ้านเกี่ยวอะไรกับครอบครัวพวกพี่?
จนกระทั่งถึงวันที่พวกเขาจะย้ายออก ซูยุ่นถึงได้รู้ว่า ที่พี่สะใภ้พูดว่าพี่ชายเธอว่างพอดีนั้นหมายถึงอะไร
เพราะในวันนั้น ซูซีมู่กับโล่เฟยเอ๋อก็ย้ายไปที่วิลล่าหลันถิงเช่นเดียวกัน
ตอนที่รู้เรื่อง ทั้งโจวเฉิงกับซูยุ่นก็ประหลาดใจ แต่ในขณะเดียวกันต่างคนต่างก็แอบโล่งใจ
ตลอดทั้งอาทิตย์เขาสองคนต่างคนต่างอยู่ เพราะแค่คิดว่าหลังจากย้ายไปแล้วต้องแยกห้องนอน ก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา
ตอนนี้โล่เฟยเอ๋อกับซูซีมู่ก็ย้ายมาที่วิลล่าหลันถิงแล้ว แน่นอนว่าเขาสองคนไม่สามารถแยกห้องนอนได้อีก
ล้อเล่นน่า สองครอบครัวอยู่ด้วยกัน ต่อไปก็คงมาเยี่ยมเยียนกันบ่อยๆ
ขืนแยกห้องนอน วันไหนเกิดไม่ทันระวัง โล่เฟยเอ๋อกับซูซีมู่รู้ความจริงขึ้นมา
งั้นคง…
ทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างคิดหนักมาทั้งอาทิตย์ แต่เพราะโล่เฟยเอ๋อกับซูซีมู่ย้ายมาที่วิลล่าหลันถิง ปัญหาก็เป็นอันคลี่คลาย
แน่นอนว่า ทั้งสองคนต่างก็คิดไปเองว่า อีกฝ่ายไม่อยากให้โล่เฟยเอ๋อกับซูซีมู่รู้เรื่องการแต่งงานหลอกๆ นี่
คืนวันนั้น ซูซีมู่ลงมือทำมื้อเย็นเพื่อฉลองให้กับโล่เฟยเอ๋อ
เห็นซูซีมู่กำลังยุ่งๆ อยู่ในครัว ซูยุ่นราวกับเห็นผียังไงอย่างงั้น “พระเจ้า นี่ฉันตาฝาดหรือเปล่า? พี่ทำอาหารเป็นด้วย?”
“เธอไม่รู้ว่าพี่เธอเขาทำอาหารเป็นหรอ?” โล่เฟยเอ๋อถามอย่างแปลกใจ
“ไม่รู้ค่ะ” ซูยุ่นส่ายหน้า แล้วหันไปมองโจวเฉิง “นายเคยลองชิมฝีมือพี่หรือยัง?”
โจวเฉิงพยักหน้า “เคยครับ”
“รสชาติเป็นไง?” ซูยุ่นถาม
“เซฟในโรงแรมดังก็เทียบประธานซูไม่ติด” โจวเฉิงตอบ
ซูยุ่นสีหน้าไม่เชื่อหู “เป็นไปได้หรอ? ไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม?”
โจวเฉิงไม่เสียเวลาพูดให้เธอเชื่อ แต่ว่า “อีกเดี๋ยวคุณลองชิมก็จะรู้”
ปรากฏว่าตอนกินข้าว ซูยุ่นกินข้าวคำใหญ่พร้อมพูด “อร่อยสุดๆ ต่อไปมากินข้าวที่บ้านพี่สะใภ้ทุกวันเลยดีกว่า”
ซูซีมู่ทำลายฝันอย่างไม่เกรงใจ “ต่อไปจะไม่มีอีก”
ได้ยินซูซีมู่พูดว่าจะไม่ทำ ซูยุ่นแทบอยากจะร้องไห้ “ไม่จริงใช่ไหมคะ?”
เห็นซูยุ่นมีปฏิกิริยาแบบนั้น โล่เฟยเอ๋อไม่รู้จะสงสารหรือขำดี “มันต้องขนาดนี้เลยหรอ? โจวเฉิงก็ทำอาหารเป็นนี่?”
“นายทำเป็น?” ซูยุ่นรอคำตอบจากโจวเฉิง
แต่โจวเฉิงไม่ได้พยักหน้าตามที่เธอหวัง เขาส่ายหัว “ไม่เป็นครับ”
ได้ยินโจวเฉิงบอกว่าไม่เป็น ซูยุ่นก็หน้าหงอ “พระเจ้า ต่อไปยังต้องอาศัยข้าวข้างนอกอีกหรอ”
โจวเฉิงไม่ได้พูดอะไร แต่เริ่มมีความคิดว่าจะเรียนทำอาหาร
โล่เฟยเอ๋อคีบกับข้าวขึ้นมา แล้วปลอบซูยุ่น “เอาล่ะ ไม่ให้พวกเธอไปกินข้าวข้างนอกหรอก ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปแม่บ้านก็จะมาแล้ว พวกเธอมากินข้าวบ้านเราก็ได้”
ได้ยินที่โล่เฟยเอ๋อพูด ดวงตาของซูยุ่นก็เปล่งประกาย “พี่สะใภ้อายุหมื่นปี!”