ตอนที่ 21 ระดมตีคนอันธพาล
“ได้เลย ได้เลย คนงามเจ้ายังใจร้อนกว่าข้าอีก”
“เข้ามาอีกนิด”
“เข้ามาอีกนิด อีกนิด!”
“ได้แล้ว!”
รอยยิ้มแข็งทื่อบนใบหน้าของซินเหยา เล็งจมูกของถางเปิ่นเป้าไว้ แล้วปล่อยหมัดหนึ่งออกไป!
“ปั๊ก!”
ได้ยินเพียงเสียงกระดูกแตก จมูกของถางเปิ่นเป้าก็แบนลง เลือดสองสายไหลออกมาจากทางจมูก……
“อ๊า! อ๊า! ช่วยด้วย! เจ็บจะตายแล้ว”
ถางเปิ่นเป้าเจ็บจนต้องปิดจมูกไว้ ฮือฮือ เสียงร้องอันน่าสงสาร
ผู้คุ้มกันด้านหลังของเขา ร้อนรนคล้ายดั่งภูเขาไฟระเบิด โจว๋ซินเหยาโผเข้าหา
โจว๋หยุนถิงร้องตะโกนเสียงดัง “ซินเหยา! รีบวิ่ง!”
ซินเหยายังยืนอยู่ที่เดิม พกพารอยยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน “พี่สี่ วิ่งอันใดกัน?”
โจว๋หยุนถิงพูด “คนฉลาดควรรู้หลบรู้หลีกเพื่อจะได้มิต้องขายหน้า!”
ซินเหยายิ้มแล้วพูด “เยี่ยงนั้นคนที่ต้องวิ่งก็คือพวกเขา”
“อ๋า?”
โจว๋หยุนถิงมึนงง จับต้นสายปลายไม่ถูก
ผู้คุ้มกันโผเข้ากันมาแล้ว ห้าหกคนกำลังล้อมรอบโจว๋หยุนถิงและซินเหยาไว้ตรงกลาง โจว๋หยุนถิงร้องโอดโอย อยากจะหนีก็หนีออกไปไม่ได้ น่าเคียดแค้นก็คือคนรับใช้สองคนก็อยู่ด้านนอกอีก ไม่เช่นนั้นยังมีเวลาอีกพักหนึ่ง
ทันใดนั้น——-
ซินเหยาที่ร่างกายนิ่มนวล ก็คล้ายถูกไฟดูด ดั่งมารร้ายที่เคลื่อนไหวไปมาได้อย่างรวดเร็วขึ้นมา…….
“อ๊า!”
“อ้าว!”
“อ้า อ้า!”
“ดวงตาของข้า!”
“ข้าติดกับดักแล้ว!”
เสียงร้องอันน่าเวทนาที่ดังกว่า ท่ามกลางเสียงสั้น ๆขึ้นลง ผู้คุ้มกันห้าหกคนที่แข็งแกร่งนั้นทั้งหมดล้มลงบนพื้นร้องโหยหวนขึ้นมาอย่างเจ็บปวดทรมาน
ใบหน้าที่มีเค้าโครงสวยงามของซินเหยายังคงมีรอยยิ้มดั่งเทพ แววตาสดใสมองถางเปิ่นเป้าที่ตกใจจนหน้าซีดอย่างอ่อนโยน
“คุณชาย ยังต้องการเล่นอย่างอื่นอีกหรือไม่?”
“ท่านแม่! ผี!”
ถางเปิ่นเป้าตกใจจนรีบวิ่งแจ้นออกไป
โจว๋หยุนถิงตาเบิกกว้างพูดไม่ออกอยู่ก่อนแล้ว เขาเกือบจะไม่กล้าเชื่อตาของเขา เพียงเวลาสั้น ๆแค่พริบตาเดียว แม้กระทั่งมองเห็นก็ยังไม่ชัดเจน ศัตรูก็ล้วนล้มลงแล้ว?
“ซินเหยา เจ้าใช้วรยุทธ์อันใด? ทำไม…..ทำไม…..ร้ายกาจเยี่ยงนี้?”
“นี่เรียกว่าประชิดตัวจู่โจม”
“ประชิดตัวจู่โจม? เป็นผู้อาวุโสฝีมือสูงท่านใดคิดค้นวรยุทธ์ที่ไม่อาจเทียบได้นี้กัน?”
“ฮิฮิ อันนี้หรือ……เป็นโรงเรียนสายลับสอน ส่วนผู้อาวุโสท่านใดคิดค้นนั้น ข้าก็ไม่รู้แล้ว พี่สี่ ถางเปิ่นเป้าคนนั้น แท้จริงเป็นใครกัน? ทำไมเขาคล้ายกับตั้งใจมุ้งเป้าไปหาท่าน?”
“เขาเป็นเพียงอันธพาลคนหนึ่ง! ตระกูลถางเปิ่นกับพวกเราจวนอ๋องโจว๋ถึงแม้นล้วนรับใช้ฮ่องเต้ แต่ทว่าก็มีจุดยืนและผลประโยชน์ต่างกัน ร้อยปีมานี้ความขัดแย้งของตระกูลถางเปิ่นกับตระกูลโจว๋ไม่เคยขาดช่วง ความขัดแย้งนานวันยิ่งดุเดือด ยิ่งปีที่แล้วพระราชวังรวมพลในสนามฝึกพี่ใหญ่คนเดียวพ่ายแพ้ต่อเนื่องให้กับสี่พี่น้องตระกูลถางเปิ่นด้วยแล้ว ทำให้สนใจของชาวบ้าน คนของตระกูลถางเปิ่นเกลียดพวกเราจวนอ๋องโจว๋เข้ากระดูก ถางเปิ่นเป้าคนนี้ความสามารถไม่เท่าใด ปกติพาสุนัขรับใช้ที่มีจิตใจโหดเหี้ยมกลุ่มหนึ่งไปข่มเหงรังแกผู้ที่อ่อนแอ ทำแต่เรื่องเลวทราม เดิมทีก็เป็นอันธพาลไร้ศีลธรรมที่ไม่มีความสามารถ”
“เขาไม่กล้ามีเรื่องกับพี่ใหญ่ ก็มาแก้แค้นพี่สี่แทน ถ้าข้าไม่ใช่คนที่ดีจริง ๆ เมื่อครู่เพียงแค่ทำลายจมูกของเขา ก็นับว่าให้โอกาสเขาแล้ว ถ้ารู้ว่าเขาเลวทรามเยี่ยงนี้ข้าคงจะตีขาทั้งสองข้างของเขาให้พิการ”
ในน้ำเสียงของซินเหยาแสดงให้เห็นถึงความดุร้ายและการตัดไมตรี
โจว๋หยุนถิงอยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าซินเหยาที่ปกติสุภาพสงบเสงี่ยมเปลี่ยนเป็นคนแปลกหน้าที่น่ากลัว ได้เพียงแค่พูด “ช่างเถอะ ยังดีที่ทำร้ายเขาไม่หนัก มิฉะนั้นเจ้าและข้าคงตายแน่นอน ท่านพ่อกำชับอย่างหนักว่าห้ามก่อเรื่องด้านนอก ห้ามทำลายชื่อเสียงตระกูล โดยเฉพาะห้ามต่อสู้กับตระกูลถางเปิ่น”
“นี่ไม่ใช่การต่อสู้ เพียงแค่ป้องกันตัว”
“กลับกันเถอะ”
โจว๋หยุนถิงพาซินเหยาออกจากซอยร้านค้า และก็ไม่ได้มีความคิดที่จะจัดซื้อวัตถุดิบที่เหลืออีก เดินทางกลับไปจวนกันเลย
แค่พวกเขาเดินพ้นไป ซอยร้านค้าก็แตกกระเจิงออก
เรื่องราวที่คุณหนูตระกูลโจว๋โมโหจนต่อยตีตระกูลถางเปิ่นก็แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วไปทุกซอกของวังหลวง
ซินเหยาครั้งนี้มีชื่อเสียงแล้ว
โจว๋หยุนถิงและซินเหยาเพิ่งกลับมาถึงจวน แต่ทว่ากลับไม่รู้ว่าสิ่งที่รอพวกเขาอยู่นั้นคือการลงโทษที่เข้มงวด
ลานหนังสือตระกูลโจว๋
นายท่านโจว๋ที่มีผมและหนวดสีขาวดอกเลา เคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ อย่างสง่างาม มีลักษณะคล้ายเทพเซียนที่น่าเกรงขามและดูมีพลัง ในปัจจุบันนี่ก็คือผู้มีฝีมือสูงส่งเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า!
เขานั่งหลังตรงบนเก้าอี้ไท่ซือที่สลักลายมังกร มีท่าทางเคร่งขหรือมน่าเกรงขาม สายตาซ่อนเร้นดุจเสือ จ้องเขม็งอย่างเงียบ ๆ ที่ตำราเก่าเล่มนั้นที่ถูกเปิดจนพังในมือ——กระบี่หลีฮัว
ปีนั้นโจว๋อี้เฉิน อาศัยกระบี่หลีฮัวที่เยี่ยมยอดต่อสู้ไปทุกหนทุกแห่งจนไร้คู่ต่อสู้ในใต้หล้า ยิ้มอย่างภาคภูมิใจในใต้หล้ามาสามสิบปี แม้จะแพ้สักครั้งก็ไม่สามารถทำได้
กระบี่หลีฮัวถูกยกย่องให้เป็นเคล็ดวิชายอดเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่งของใต้หล้า โดดเด่นใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดเทียบได้
แต่ทว่าหลังจากโจว๋อี้เฉิน ตระกูลโจว๋ก็ไม่มีผู้ใดสามารถพอที่จะได้รับวิชาลับที่ดีที่สุดได้ หนึ่งร้อยปีมานี้ ตระกูลโจว๋ไม่สามารถมีผู้ใดฝึกวิชากระบี่หลีฮัวในตำนานได้เลย!
ตระกูลโจว๋แม้ไม่ขาดแคลนทักษะความสามารถจนมีชื่อเสียงไปทั่วใต้หล้า แม้กระทั่งหอเก็บคัมภีร์ของตระกูลโจว๋ยังเก็บคัมภีร์เคล็ดลับวรยุทธ์ในใต้หล้าไว้เกินครึ่ง ลูกหลานตระกูลโจว๋ขอเพียงมีพรสวรรค์เพียงนิดร่วมกับพยายามฝึกฝน ทุกคนก็สามารถหาเคล็ดวิชาที่เหมาะสมกับตนเองเพื่อฝึกฝนได้ที่หอคัมภีร์
นายท่านโจว๋พยายามฝึกหนักสามสิบปี เชี่ยวชาญศาสตร์ดาบที่สุดแห่งยุคสิบแปดแขนง อายุสี่สิบปีก็ได้เป็นผู้มีฝีมือสูงส่งเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า แต่ว่าสามสิบปีมานี้ เขารู้สึกเสียใจอย่างหนึ่งมาตลอด ก็คือไม่มีวิธีทำให้เคล็ดวิชาที่ร้ายกาจที่สุดของตระกูลโจว๋—–“กระบี่หลีฮัว”ถูกยกย่องเผยแพร่ต่อไปได้
คัมภีร์ดาบกระบี่หลีฮัวเล่มนี้ เขาเปิดอ่านมาสามสิบปีเต็มๆแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จ
เขาแม้กระทั่งตัวอักษรไม่กี่ตัวบนปกคัมภีร์ดาบกระบี่หลีฮัวนั้นเขาล้วนไม่รู้จัก ถ้าคัมภีร์ดาบเล่มนี้ไม่ใช่บรรพบุรุษตระกูลโจว๋ส่งทอดกันมา เขาอาจคิดไปว่านี่คือของปลอม
โจว๋เส้ากวางและโจว๋เส้าฉีสองคนนี้ล้วนอายุใกล้ห้าสิบ รูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง สุขุมหนักแน่น สองพี่น้องคำพูดและการกระทำล้วนเหมือนกัน แม้แต่นิสัยก็ล้วนเหมือนกันมาก สองคนนี้ยืนอยู่ด้านข้างนานมาก เห็นบิดาจิตใจจดจ่อเหม่อลอยก็ไม่กล้ารบกวน
เจ้าสามแห่งตระกูลโจว๋ โจว๋เส้าหัวในความจริงเป็นคนนิสัยหัวร้อน พูดอย่างอดทนรอไม่ไหว “ท่านพ่อ เรื่องนี้แท้จริงแล้วจะต้องจะจัดการเยี่ยงไร? ท่านเป็นผู้อาวุโสความจริงควรพูดสักหน่อย!”
นายท่านโจว๋เปิดปากถาม “ตามที่เจ้าดูละ?”
โจว๋เส้าหัวพูด “เรื่องนี้เห็นได้ชัดเพียงกระดานเดียว! น้องสี่เดิมทีก็ไม่รู้วรยุทธ์ เด็กคนนั้นที่พึ่งจะเข้าจวนมาก็ยิ่งไม่ต้องพูด นับว่าแค่เตะต่อยได้ไม่กี่ท่าก็มีข้อจำกัดอยู่มาก ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้กับถางเปิ่นเป้าอันธพาลผู้นั้น หาข้อแก้ตัวที่เปิดเผยได้ไปรับมือให้ตระกูลโจว๋ของพวกเรา!”
นายท่านโจว๋พูด “เรื่องนี้เจ้าวางแผนว่าจะจัดการเยี่ยงไร?”
โจว๋เส้าหัวพูดอย่างโมโห “นี่ยังจัดการได้ไม่ง่ายหรือ? พวกเขาทำให้เรื่องราวใหญ่โต พวกเราก็ช่วยสนับสนุนเขาให้สมหวัง หลานเต่าของพวกเขาทำให้ข้าโมโห พากองทหารชิงหลงบุกไปบ้านถางเปิ่น!”
ใบหน้าของนายท่านโจว๋ไม่รู้แน่ชัดว่ารู้สึกเยี่ยงไร มองไปทางโจว๋เส้าฉีที่ก้มหน้าไม่พูดไม่จา “พี่รอง เจ้าคิดเช่นไร? เสี่ยวซื่อกับเจ้าเก้าล้วนเป็นลูกอนุของเจ้า เจ้าพูดความคิดของเจ้ามา”
โจว๋เส้าฉีพูด “ท่านพ่อในใจท่านกลัวว่าจะมีคำตัดสินไว้แต่ไหนแต่ไรแล้ว ลูกปฏิบัติตามคำสั่งของท่านพ่อก็พอแล้ว”
นายท่านโจว๋พูด “พี่ใหญ่ เจ้าละ?”
โจว๋เส้ากวางทำตาโตสองข้างแล้วพูด “ที่เจ้าสามพูดนั้นมีเหตุผล! ตระกูลถางเปิ่นอยากสู้ พวกเราก็สู้กับเขา”
ใบหน้านายท่านโจว๋ปรากฏความผิดหวังมาเล็กน้อยแวบหนึ่ง
ลูกชายของเขาสามคนนี้ คนโต คนรองมั่นคงน่าเกรงขาม แต่พี่ใหญ่ขาดส่วนมโนธรรม คนรองมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองแต่ละเอียดรอบคอบเกินไป เจ้าสามก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว แต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนไม่มีเหตุผล อารมณ์ร้อน ไม่สนผลที่ตามมา เหล่าซื่อที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้เป็นเพียงคนค้าขาย
ถึงแม้ว่าลูก ๆ เหล่านี้จะแต่งงานและมีหน้าที่การงานกันหมดแล้ว อยู่ในเมืองหลวงก็มีอำนาจชื่อเสียงเป็นอย่างมาก แต่ทว่าไม่มีใครสามารถแบกรับหน้าที่ดูแลกิจการทรัพย์สินของครอบครัวที่มากมายมหาศาลนี้ได้
“ไปเรียกเจ้าสี่กับเจ้าเก้าเข้ามา เรื่องต่าง ๆ ก็จะกระจ่างแจ้งแล้วมิใช่หรือ?”
นายท่านโจว๋ชี้แนะอย่างไม่ใส่ใจ แต่ในหัวใจกลับถอนหายใจออกมา: “ต้องรอคนแก่อย่างข้าแก่ถึงร้อยปีหรือ ใครจะมาแบกรับจวนอ๋องโจว๋ต้นไม้ใหญ่นี้ได้?”
ความหวังหนึ่งเดียว
“ข้าไปเอง!”
โจว๋เส้าหัวอาสาไปเรียกโจว๋หยุนถิงและซินเหยาเอง หลังจากโจว๋หยุนถิงและซินเหยาคารวะผู้อาวุโสทุกคน นายท่านโจว๋ก็เริ่มสอบถามข้อเท็จจริงของเรื่องที่เกิดขึ้นตอนพวกเขาอยู่ในซอยร้านค้า
โจว๋หยุนถิงเล่าความจริงอย่างซื่อตรงไม่โกหกไปรอบหนึ่ง
หลังจากเขาพูดจบ โจว๋เส้าหัวเป็นคนแรกที่ทนไม่ไหว “ย่ามันสิ! เต่าแก่ตระกูลถางเปิ่นพูดมากับเจ้าสี่พูดแตกต่างกันเป็นอย่างมาก”
โจว๋เส้าฉีถามอย่างเอาจริงเอาจัง “โจว๋หยุนถิง ที่เจ้าพูดมาคือความจริง?”
โจว๋หยุนถิงพูด “ท่านพ่อ ลูกไม่กล้าปิดบังหรือรายงานเท็จแม้เพียงนิด”
โจว๋เส้าฉีพูด “ถ้าเรื่องราวเป็นจริงดั่งนี้ เยี่ยงนั้นตระกูลถางเปิ่นก็มุ่งเป้ามาหาพวกเราตระกูลโจว๋ จงใจยั่วยุ หลังจากเรื่องในปีนั้นที่สนามฝึก พวกเราก็อดทนอย่างเงียบ ๆ พยายามหลีกเลี่ยงที่จะขัดแย้งกับตระกูลถางเปิ่น พวกเขากลับคิดว่าพวกเรากลัว การกระทำนับวันยิ่งบานปลาย”
โจว๋เส้าหัวพูด “ท่านพ่อ ให้ข้านำทหารไปทำลายความน่าเกรงขามของตระกูลถางเปิ่น! ดูพวกมันจะกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว”
นายท่านโจว๋วางหนังสือในมือลง เคาะเบา ๆ ที่โต๊ะแล้วพูด “เรื่องราวไม่จำเป็นต้องเหมือนกับที่พวกเจ้าคิดทั้งหมด เด็กคนนั้นของตระกูลถางเปิ่นกลับบ้านไปคงไม่พูดความจริงเหมือนกับโจว๋หยุนถิงแน่นอน แน่นอนว่าเขาปั้นแต่งเรื่องพูดปดให้ประมุขทวงความยุติธรรมให้แน่นอน ตระกูลถางเปิ่นเดิมทีก็มีข้อบกพร่องตรงชอบถือหางพวกเอง รวมพลถามหาความผิดก็ไม่ได้จงใจยั่วยุ…………..”
พูดถึงตอนนี้ ความหมายของเขาก็ชัดเจนแล้ว รักษาสันติภาพ
นายท่านโจว๋มองซินเหยาด้วยความนิ่งขหรือม แล้วถาม “เด็กดีเป็นเจ้าที่ทำให้ถางเปิ่นเป้าบาดเจ็บ”
ซินเหยาพยักหน้า
นายท่านโจว๋พูด “เจ้าใช้วรยุทธ์อันใด?”
ซินเหยารู้ว่าชายชราผู้นี้เป็นยอดฝีมือสูงส่ง แต่ก็ไม่กล้าเปิดเผยรากฐานของตนเอง เลยพูดว่า “เมื่อก่อนข้าอยู่หมู่บ้านในเขตภูเขาได้เรียนการกวัดแกว่งประหลาดกับอาจารย์ที่มาจากที่อื่น แต่ปัญญาของข้าไม่ดีเลยเรียนได้เพียงนิดเดียว”
นายท่านโจว๋คิดไปคิดมา แล้วพูด “เจ้าฝึกซ้อมกวัดแกว่งให้ดูหน่อย”
ซินเหยากระพริบตา แล้วพูด “ข้าสามารถฝึกซ้อมได้ตามใจหรือ?”
“แน่นอนว่าได้” นายท่านโจว๋พยักหน้า
เด็กคนนี้ชัดเจนว่าเป็นคนไม่มีความสามารถ ไม่รู้ว่าทำไมนายท่านอยู่ ๆถึงอยากทดสอบวรยุทธ์ของนาง พี่น้องตระกูลโจว๋ต่างไม่ยอมรับ แต่ก็พูดอะไรไม่ได้ ได้แต่ยืนมองอยู่ข้าง ๆ
ซินเหยาสาดตามองอย่างรวดเร็ว ฉับพลันก็เปิดปากพูดว่า “ลุงสาม มียุง”
“ยุง? ตรงไหน?” โจว๋เส้าหัวตึงเครียด มองหาไปรอบ ๆ ทุกทิศทาง
ซินเหยายกมือขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม ในมือถือสิ่งของชิ้นหนึ่งอยู่ แล้วพูดว่า “ลุงสาม ถุงเงินของท่านหล่นแล้ว!”
โจว๋เส้าหัวพูดโพล่งออกไป “เป็นไปได้เยี่ยงไร? ถุงเงินของข้าอยู่ในแขนเสื้อนี่?”
เขารีบยกแขนคลำในแขนเสื้อ ฉับพลันสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นตกใจ แล้วมองถุงเงินในมือของซินเหยา………..
โจว๋เส้ากวางพูด “นี่ใช่วรยุทธ์ที่ไหนกันเล่า? ความจริงก็คือขโมย!”
โจว๋เส้าหัวไม่ออกเสียง
นายท่านโจว๋ถาม “เจ้ารอง เจ้าคิดเยี่ยงไร?”