ตอนที่ 59 มาพนันกัน(2)
นายท่านโจ๋วหันหลังก่อนเหล่าลูกศิษย์ที่เหลือก็หันหลังตาม แต่พวกเขาทุกคนต่างก็รวบรวมกำลังภายใน เฝ้าระวังเตรียมตัวรับมือต่อสู้ทุกเวลา
นักกระบี่โหมเร่งเร้า “ทำตัวลึกลับอยู่ได้! เรียบร้อยหรือยัง? ข้าไม่มีเวลามาไร้สาระกับเจ้า!”
ซินเหยาถอดหน้ากากออกจากนั้นก็หัวเราะออกมา “ตาแก่ตัวเหม็น มองให้ละเอียดซะนะ”
หน้ากากถูกถอดเผยให้เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์อันสวยสดงดงาม
นักกระบี่โหมกลายเป็นคนโง่ไปเสียแล้ว!
“เจ้า….”
“เจ้า….คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะ….”
ซินเหยาถามออกไป “ตาแก่ตัวเหม็น ท่านพูดว่าข้าอายุเท่าไรนะ?”
นักกระบี่โหมพูดโพล่งออกมา “มากสุดก็อายุยี่สิบ!”
ซินเหยายิ้มแป้น “ท่านพูดของท่านเองนะ! เมื่อกี้นี้ท่านทายว่าอายุเท่าไรนะ? หกสิบหรือว่าเจ็ดสิบนะ?”
“เป็นไปไม่ได้!”
“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”
“หญิงสาวอายุยี่สิบคนหนึ่ง จะไปมีกำลังภายในมหาศาลแบบนั้นได้อย่างไร?”
นักกระบี่โหมราวกับถูกผีเข้าสิงเอาแต่พูดกับตัวเองไม่หยุดหย่อน!
ซินเหยาใสหน้ากากกลับเข้าไปใหม่อีกครั้ง “นายท่านโจ๋ว หันกลับมาได้แล้ว”
นายท่านโจ๋วและเหล่าลูกสิษย์ต่างก็หันกลับมา
สายตาของนักกระบี่โหมเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตกตะลึงไม่เชื่อในสิ่งที่เกิด
นายท่านโจ๋วถามอย่างประหลาดใจ “ตาแก่หาน นาง….ใช่หญิงสาวอายุยี่สิบจริงใช่หรือไม่?”
นักกระบี่โหมพยักหน้า “ไม่เกินยี่สิบแน่ๆ!”
นายท่านโจ๋วถอนหายใจอย่างหนักในทันทีและพูดว่า “เป็นความจริงที่ว่ายุคแผ่นดินอำนาจนี้มีคนมีพรสวรรค์! พวกเรานั้นแก่กันหมดแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่ยุคสำหรับคนแก่แบบพวกเราอีกต่อไปแล้ว ดูเหมือนว่าต่อไปจากนี้จะเป็นยุคของวัยหนุ่มสาวเสียแล้วละ!”
ซินเหยาเร่งรัด “ตาแก่ตัวเหม็น! เป็นอย่างไรละ? ไหนเรียกพี่สาวให้ฟังหน่อยสิ? อย่างขี้โกงนะ!”
นักกระบี่พูดดูหมิ่นอย่างโกรธแค้น “ไม่เจียมตัว! ข้าเป็นถึงสุดยอดปรมาจารย์สง่าผ่าเผยจะไปเรียกเจ้าหญิงสาวอ่อนต่อโลกว่าพี่สาวได้อย่างไร? ช่างน่าขันเสียจริง?”
ซินเหยาแสร้งทำเป็นจริงจัง “จริงหรือ? งั้นก็ช่างมันเถอะ สุดยอดปรมาจารย์จะมีเรียกหญิงสาวไร้เดียงสาว่าพี่สาวได้อย่างไรกัน แต่ปรมาจารย์กลับพูดไม่เป็นคำพูด ถ้าคนทั้งโลกรู้ว่าท่านปรมาจารย์แพ้พนันให้กับหญิงสาวไร้เดียงสาแล้วยังทำตัวปลิ้นปล้อนอีก ไม่รู้ว่าคนรุ่นหลังจะมองท่านปรมาจารย์อย่างไร?”
ซินเหยาตั้งใจพูดเน้นคำว่าท่านปรมาจารย์
นักกระบี่โหมหน้าบูดเบี้ยวขาวซีดช่างไม่น่าดูเอาเสียเลย!
นายท่านโจ๋วพูดโน้มน้าว “ตาแก่หาน ยอมรับได้แล้ว เด็กสาวคนนี้ทักษะการต่อสู้ของนางนั้นบรรลุถึงขั้น พูดกันตามตรง วันนี้ข้าไม่อาจสู้กับเจ้าได้เพราะว่าสองชั่วยามก่อนหน้านี้ข้านั้นต่อสู้กับนางจนได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก”
ทันใดนั้นนักกระบี่โหมก็หันมามอง “จริงหรือ?”
นายท่านโจ๋วตอบกลับไปว่า “ข้ากับเจ้าเป็นศัตรูกันมานาน แต่เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าเป็นคนอย่างไร ข้าไม่เคยพูดโกหก”
ฉับพลันนักกระบี่โหมก็หยิบท่อนฟืนขึ้นมาถือ ครั้งนี้ไม่ได้เตรียมที่จะสู้กับนายท่านโจ๋วแต่เป็นซินเหยา!
“เจ้าเด็กหญิง!”
“ในเมื่อเจ้าสู้กับตาเฒ่าเต่านี่ได้!”
“ข้าก็อยากจะต่อสู้กับเจ้าเช่นกัน!”
“ถ้าหากเจ้าสามารถล้มข้าได้!”
“อย่าว่าแต่เรียกเจ้าว่าพี่สาวเลย!”
“ข้าจะเรียกเจ้าว่าอาจารย์!”
“ข้าไม่เปลี่ยนใจที่หลังแน่นอน!”
“ท่านพูดจริงหรือ? จะไม่เปลี่ยนใจที่หลังใช่ไหม? อาจารย์? เหอะ ไม่เลวๆ ถึงแม้เพิ่งได้รับลูกศิษย์มา จะรับลูกศิษย์ตัวเล็กๆอีกสักคนจะเป็นไรไป สุดยอดปรมาจารย์มาเป็นลูกศิษย์ตัวน้อยๆพาไปไหนมาไหนด้วยก็มีหน้ามีตา”
ซินเหยารู้ว่าจะให้นักกระบี่โหมออกไปจากจวนอ๋องโจ๋วนั้น หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะใช้พลังที่แท้จริงเอาชนะเขา การหยอกล้อด้วยเล่ห์เหลี่ยมนั้นไม่เพียงแต่กระตุ้นความโกรธของเขา ทำให้เขานั้นอับอายจนเกิดโทสะควบคุมสติไม่ได้ก็เพียงเท่านั้นเอง
“ข้าขอสาบานด้วยชื่อเสียงของข้า! เพียงแค่เจ้าเอาชนะข้าได้ ข้าจะเรียกเจ้าว่าอาจารย์ตลอดชีวิต และจะคอยรับใช้เป็นวัวเป็นม้าให้เจ้านับแต่วันนี้เป็นต้นไป!”
คำพูดของนักกระบี่โหมเต็มไปด้วยความกล้าหาญและเศร้าสลดใจ
นายท่านโจ๋วรีบเอ่ยห้ามปราม “ตาแก่หาน ทำไมต้องพูดจาแบบนั้นเล่า แพ้ก็คือแพ้ ไปเป็นวัวเป็นม้าข้าว่ามันจะเกินไปแล้วหรือเปล่า”
เขารู้ว่าโอกาศในการชนะของนักกระบี่โหมนั้นน้อยมาก และด้วยนิสัยของเขานั้นถ้าหากแพ้ขึ้นมาก็จะยอมเป็นวัวเป็นม้าให้รับใช้ สุดยอดปรมาจารย์กลายไปเป็นคนรับใช้ให้เด็กสาวคนหนึ่ง เกรงว่าชีวิตนี้จะจบสิ้นแล้วจริงๆ
“หึ เจ้าไม่ต้องมาโน้มน้าวข้า” สีหน้าของนักกระบี่โหมช่างไร้เยื่อใย
“ข้าฝึกกระบี่มาทั้งชีวิต นอกจากแพ้ให้เจ้าสองครั้งข้าก็ไม่เคยแพ้ให้ใคร! ถ้าหากวันนี้แม้แต่เด็กน้อยไร้เดียงสาข้ายังแพ้ให้ จะไปเป็นข้ารับใช้ข้าก็เต็มใจยอม!”
“เห้อ….” นายท่านโจ๋วถอนหายใจ
ตาแก่หานคนนี้ไม่คิดที่จะรักษาศักดิ์ศรีและเกียรติเอาไว้เลย
นักกระบี่โหมสุดยอมปรมาจารย์นับตั้งแต่ตอนนี้คงจะได้กลายเป็นลูกศิษย์ไปสียแล้วจริงๆ…
“เด็กน้อย! แสดงให้ข้าเห็นพลังที่แท้จริงของเจ้าทีสิ!”
นักกระบี่โหมตะโกนออกมาเสียงดังกวัดแกว่งท่อนฟืนก่อสร้างสายฟ้าและลมพายุพุ่งโจมตีไปทางซินเหยา
ซินเหยารู้ว่าพละกำลังและทักษะกระบี่ของนักกระบี่โหมคนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่านายท่านโจ๋วเลยแม้แต่น้อย
เธอไม่กล้าที่จะประมาทชะล่าใจ
ดุงกระบี่อ้านเฉาเสริมด้วยกำลังภายในที่สั่งสมมานานต่อสู้ด้วยความสงบเยือกเย็น
“ชิ้ง!”
“เช้ง!”
“แกร๊ง!”
เหนือห้องโถงร่างของคู่ราวกับแสงและเงากำลังพัวพันกัน
ท่อนฟืนสีดำถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงท่อนไม้ธรรมดา ทว่ายามที่นักกระบี่โหมกวัดแกว่งมันผนวกกับกำลังภายในที่รุนแรงและท่วงท่าการต่อสู้ที่แสดงออกมานั้นราวกับอาวุธวิเศษ
ซินเหยานั้นเห็นได้ชัดว่าเหนือขั้นกว่า
ไม่ว่าจะเป็นทักษะกระบี่ กำลังภายใน อาวุธล้วนแต่ได้เปรียบ
ที่ยิ่งกว่านั้นคือประสบการณ์การสู้รบจริงของซินเหยา เป็นอันดับหนึ่งของสายลับ เธอไม่รู้ว่ากี่ครั้งแล้วที่ต้องเผชิญหน้ากับความตาย ดาบปืนธนูที่ผ่านมาราวกับห่าฝนก็เทียบไม่ได้กับนักกระบี่โหมที่ฝึกฝนอยู่ในหุบเขาลึกลับมาตลอดยี่สิบปีได้เลย!