บทที่ 288 กลิ่นอายความอันตรายของนิสัยป่าเถื่อน1
“โอหยางซิงเฉิน เป็นเจ้างั้นหรือ?”
ซินเหยาแปลกใจเล็กน้อย
นึกไม่ถึงว่าเจ้านี่จะมาเร็วกว่านางก้าวหนึ่ง เขาเข้ามายึดที่สูงแห่งนี้เอาไว้นานแล้ว
เมื่อโอหยางซิงเฉินเห็นซินเหยา มองพิจารณาท่าทางของนาง จึงยิ้มแล้วพูดว่า “นี่เจ้าปลอมตัวใหม่อีกแล้วหรือ? เป็นบุรุษหรือสตรีล่ะ?”
ซินเหยามัดผมของตัวเองขึ้นมา ปลอมตัวใหม่เป็นบุรุษผู้หนึ่ง “โอหยางซิงเฉิน ไม่ว่าจะไปไหนก็สามารถเจอเจ้าได้ทุกที่จริงๆ ที่ไหนมีเจ้าอยู่ ที่นั่นก็มีภัยพิบัติ”
โอหยางซิงเฉินยิ้มแล้วพูดว่า “ประโยคนี้ควรจะมอบให้เจ้านะ ที่ที่เกิดภัยพิบัติทุกครั้งไม่ใช่ว่าก็มีเจ้าอยู่เหมือนกันหรือ? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ตอนที่เจ้าแต่งตัวเป็นสตรีก็งดงามจนทำให้คนตะลึงจริงๆ แต่เจ้าแต่งเป็นชายเช่นนี้มันออกจะอัปลักษณ์เกินไปนะ”
ซินเหยากล่าวอย่างเหยียดหยามว่า “เจ้าเป็นคนสอนข้าเองไม่ใช่หรือว่าให้ปลอมตัวไปร่วมงานชุมนุมขุมทรัพย์อะไรนั่น? เหตุใดตอนนี้กลับมาว่าข้าล่ะ?
โอหยางซิงเฉินยิ้มแล้วกล่าวว่า “นั่นเป็นเพียงความหวังดีเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น หวังให้แม่นางมีโอกาสได้รู้จักกับขุมทรัพย์ที่ยอดเยี่ยมแห่งยุคบ้าง หากไปร่วมงานด้วยใบหน้าที่แท้จริงของแม่นาง เกรงว่าแม้แต่รัศมีของขุมทรัพย์ก็คงถูกความงดงามของแม่นางบดบังเอาได้”
ซินเหยายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าล่อลวงสตรีด้วยวิธีการเช่นนี้งั้นหรือ?”
โอหยางซิงเฉินยิ้มออกมาอย่างเรียบเฉย ใบหน้าที่หล่อเหลาและสง่างามกลับดูระทมทุกข์ “ข้ายินดีใช้ทั้งชีวิตนี้ชื่นชมสาวงาม”
ซินเหยาหัวเราะแล้วด่าออกไปว่า “เจ้าหล่อเหลาขนาดนี้ ทั้งร่ำรวย อีกทั้งยังลึกลับด้วย เป็นบุรุษที่แผ่กลิ่นอายอันตรายของนิสัยป่าเถื่อนออกมา แน่นอนว่าต้องเรียกความนิยมชมชอบจากสตรีได้แน่ เพียงแต่ว่า มันไม่มีประโยชน์สำหรับข้า”
โอหยางซิงเฉินถามว่า “เพราะเหตุใด?”
“เพราะข้าเป็นบุรุษไงล่ะ”
“แม่นางช่างพูดคุยเฮฮาจริงๆ”
ซินเหยารู้ว่าภายนอกของโอหยางซิงเฉินผู้นี้มีความงดงามเป็นสง่า มีนิสัยร่าเริงและเรียบง่าย แต่คืนนี้กลับรู้สึกว่าบนตัวของเขามักจะแผ่ความระทมทุกข์ที่รุนแรงออกมา…
“โอหยางซิงเฉิน เจ้ามีเรื่องในใจใช่หรือไม่? ปัญหาของร้านจี้โม่ แก้ไขได้ยากใช่หรือไม่? มีคนตายในร้านจี้โม่ของเจ้ามากมายขนาดนั้น เรื่องจัดการงานศพคงลำบากมากใช่ไหม?”
“คนตาย? คนที่ตายอยู่ในจวนเฉิงเสี้ยงนี้ไม่เยอะกว่าหรือ?”
สีหน้าของโอหยางซิงเฉิน ซีดเผือดเล็กน้อย เมื่อถูกแสงของเปลวเพลิงส่องกระทบลงมา สีหน้าของเขาเดี๋ยวก็แดงเดี๋ยวก็ขาว ทั้งดูหนักแน่นและระทมทุกข์
ซินเหยาพูดว่า “จวนเฉิงเสี้ยงเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
โอหยางซิงเฉินส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “ข้าเองก็เพิ่งจะมาถึง ตอนที่ข้ามาถึง จวนเฉิงเสี้ยงก็ไฟไหม้แล้ว พวกมือธนูชุดดำเหล่านั้นได้ปิดล้อมจวนเฉิงเสี้ยงเอาไว้แล้ว”
ซินเหยาพูดว่า “มือธนูชุดดำพวกนั้น ดูเหมือนว่าจะฝึกมาอย่างดี วรยุทธ์ก็ไม่ธรรมดา น่าจะไม่ใช่มือธนูทั่วไปแน่นอน”
โอหยางซิงเฉินพูดขึ้นมาว่า “วันนั้นเฉิงเสี้ยงถางเปิ่นนำมือธนูไปกว่าร้อยคนเกือบทำลายร้านจี้โม่ของข้าพัง วันนี้คิดไม่ถึงว่าจวนเฉิงเสี้ยงของเขาจะสูญสิ้นในมือของมือธนูพวกนี้ นี่ถือว่ากรรมตามสนองหรือไม่?”
ซินเหยาแอบตกใจอยู่เงียบๆ
“โอหยางซิงเฉิน เหตุใดเจ้าถึงรู้ว่าคนที่แอบซุ่มโจมตีร้านจี้โม่ในคืนนั้นเป็นเฉิงเสี้ยง?”
“ข้าจับได้นักฆ่าเดนตายที่ยังไม่ตายได้คนหนึ่ง สอบถามอยู่หลายวันในที่สุดก็ถามเบาะแสบางอย่างออกไป ดังนั้นคืนนี้ข้าถึงได้มาที่จวนเฉิงเสี้ยง…”
“ไม่สิ ตอนที่ข้ารีบมาถึงจวนเฉิงเสี้ยงก็ไฟไหม้แล้ว อีกอย่างข้าก็แค่มาสืบหาความจริงเท่านั้น ไม่ได้มาอาศัยอำนาจส่วนรวมแก้แค้นส่วนตัวมาฆ่าชีวิตใครหรือทำให้ใครบาดเจ็บ”
“เจ้าไม่อยากแก้แค้นงั้นหรือ?”
“ไม่อยาก”
โอหยางซิงเฉินส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “เฉิงเสี้ยงถางเปิ่นอาจจะเป็นคนชั่วร้ายที่มือเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด แต่ว่าคนชรา สตรีและเด็ก และบ่าวรับใช้เหล่านั้นของเฉิงเสี้ยงเล่า? ถึงแม้จะเป็นแค่ม้าหมูวัวควาย หรือว่าทั้งหมดนี้ก็มีความผิดเหมือนกันหรือ?”
ซินเหยาตบบ่าของเขาเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้าไม่ต้องไปรู้สึกเสียใจแทนพวกเขาหรอก จวนเฉิงเสี้ยงร่ำรวยเจริญรุ่งเรืองมาหลายร้อยปีแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องถดถอยลงสักวัน เพียงแต่ว่าวันนี้มันมาเร็วเกินไป ไม่มีใครคาดคิดหรอก”
โอหยางซิงเฉินมองซินเหยาด้วยความตกใจเล็กน้อย แล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าการทำเช่นนี้มันโหดร้ายเลือดเย็นเกินไปหรือไม่?”
ซินเหยาพูดว่า “ข้าไม่ได้เวทนาชีวิต แต่ข้าเคารพชีวิต”
โอหยางซิงเฉินถามว่า “หมายความว่าอย่างไร?”
ซินเหยาตอบว่า “ที่เจ้าพูดมาก็ถูก จวนเฉิงเสี้ยงเองก็มีหลายคนที่ไม่สมควรตาย อย่างน้อย ข้าก็รู้จักอยู่สองคนที่ไม่ได้มีความผิดอะไรในจวนเฉิงเสี้ยง แต่ว่า เจ้ามีวิธีช่วยพวกเขางั้นหรือ?”
“มือธนูพวกนี้ล้วนฝึกฝนมาอย่างดีแล้ว อีกทั้งในกลุ่มของพวกคนที่มุมดูก็ยังมียอดฝีมือที่แฝงตัวอยู่เป็นจำนวนมาก…แม้ว่าเจ้าจะร่วมมือกับข้า เกรงว่าก็ช่วยคนออกมาจากจวนเฉิงเสี้ยงไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเพลิงได้ลุกลามไปหมดแล้ว ดูท่าจะไหม้สามวันสามคืนถึงจะดับลง”
โอหยางซิงเฉินส่ายศีรษะ
ซินเหยาพูดว่า “ในเมื่อเจ้ารู้ดีว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ นั่งโศกเศร้าเสียใจแทนพวกเขาอยู่ตรงนี้จะมีประโยชน์อะไรเล่า?”
โอหยางซิงเฉินเอ่ยถามว่า “งั้นควรจะทำเช่นไร? พวกเราช่วยคนไม่ได้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา หรือแม้กระทั่งเป็นศัตรูของพวกเรา เมื่อเห็นพวกเขาตายอย่างน่าเวทนาเช่นนี้ จิตใจของข้าก็ไม่รู้สึกสบายใจเลยสักนิด”
ซินเหยาพูดว่า “เจ้าช่างเป็นคนที่จิตใจดีมากๆ ตอนนี้ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้าอ่านหนังสืออยู่ในคุกน้ำมาสิบปีไม่เคยออกไปท่องยุทธภพเลย แต่ข้าจะบอกเจ้าว่า ในเมื่อช่วยพวกเขาไม่ได้แล้ว ก็ไม่ต้องไปเศร้าเสียใจ เพราะว่าเสียใจไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรแม้แต่น้อย การสวดมนต์ไว้อาลัย ก็ปล่อยให้เหล่านักบวชเต๋าเป็นคนทำเถอะ ถ้าหากเจ้าอยากจะทำอะไรจริงๆ ก็ไปตรวจสอบว่าใครเป็นนักฆ่าที่ลึกลับและฝีมือร้ายกาจเหล่านั้น เมื่อช่วยพวกเขาไม่ได้แล้ว อย่างน้อยก็ทำให้พวกเขานอนตายตาหลับก็ยังดี”
เดิมทีโอหยางซิงเฉินคิดว่าซินเหยาที่เย็นชาไร้ความเมตตา…
ไร้ความเมตตาต่อโลกใบนี้…
เขาไม่ได้มองซินเหยาอย่างเหยียดหยามเหมือนตอนแรกแล้ว แต่ในใจกลับรู้สึกว่า ระหว่างคนสองคนควรจะมีความรู้สึกที่เห็นอกเห็นใจเหมือนกัน
แต่เขากลับคิดผิดแล้ว
คำพูดของซินเหยา ตอนที่เขาได้ยินก็ยังคงใกล้เคียงกับความไร้เมตตาที่เย็นชาอยู่บ้าง…
แต่ว่าคำพูดเหล่านี้ กลับมีเหตุผลมาก
ใช่แล้ว
ถ้าหากสามารถช่วยได้ก็ไม่ต้องลังเลแล้ว ลงไปช่วยคนกัน!
หากช่วยไม่ได้ ก็ไม่ต้องทอดถอนหายใจอยู่ที่นี่ ใช้พลังทั้งหมดที่ตนมีไปทำอะไรสักหน่อย…
หลังจากโอหยางซิงเฉินได้ยินคำพูดของซินเหยาแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ความรู้สึกเสียใจที่วนเวียนอยู่ในหัวใจของเขาอย่างรุนแรงจู่ๆ ก็หายไปแล้ว…