บทที่ 434 เด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง1
ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร มันก็ยังมีโอกาส
แต่ทว่า…
ถ้าหากแม้นไม่มีโอกาสอีกแล้วล่ะ
นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้วนะ
ซินเหยาภาวนาอย่างเงียบๆอยู่ในใจว่า อย่าตั้งครรภ์แล้วจริงๆอย่างเด็ดขาด
“ลูกจ๋า”
“เจ้าอย่ามาเกิดในโลกนี้เด็ดขาดนะ”
ซินเหยาไม่อยากให้ลูกของตัวเองพอเกิดมาแล้วก็ถูกพ่อทอดทิ้ง ถึงขั้นต้องเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกพระเจ้าทอดทิ้ง
ลูกหรือ?
แย่แล้ว!
ทันใดนั้นซินเหยาก็นึกขึ้นมาได้ว่า…
ตั้งแต่รู้ข่าวการตั้งครรภ์…
ซินเหยาก็จำได้ว่านี่ก็หนึ่งเดือนเต็มแล้ว
ระดูของนางยังไม่มา
ในโลกใบนี้เรียกว่าระดู
แต่ในศตวรรษที่ 21
เรียกว่าประจำเดือน
ครั้งก่อนก็ไม่มาหนึ่งเดือนครึ่งแล้ว
บวกกับอีกหนึ่งเดือน
ก็มากกว่าสองเดือนครึ่งแล้ว
ผ่านไปอีกสิบวัน ก็ครบสามเดือนเต็มแล้ว
สามเดือนรึ?
ประจำเดือนยังไม่มาสามเดือนแล้วรึ?
ดูเหมือนซินเหยาจะรู้แล้วว่านี่หมายความว่าอะไร !
ร่างกายของเธอแข็งแรงและมีพลังอยู่เสมอ นางมาจากหน่วยลับพิเศษ ด้วยสุขภาพร่างกายที่เคยเป็นถึงนักกีฬาที่อยู่ในระดับท็อปที่สุดคนหนึ่งของนาง
ประจำเดือนของนางจะต้องมาตรงเวลาเสมออย่างแน่นอน
บางครั้งถ้ามาไม่ตรงเวลาอย่างมากที่สุดก็แค่คลาดเคลื่อนไปสักสองสามวันเท่านั้น
ในครั้งนี้…
กลับขาดไปสองเดือนเต็มแล้ว !
แย่ล่ะสิ !
หรือว่าจะเป็นแบบที่โจษจันกันจริงๆ?
สีหน้าของซินเหยาเปลี่ยนเป็นสีดำมืดเล็กน้อย แม้แต่ดาบที่อยู่บนพื้นก็ขี้เกียจไปเก็บแล้ว
ถ้าหากตั้งครรภ์ขึ้นมาจริงๆแล้วล่ะก็
ควรจะทำอย่างไรดี?
แล้วฮ่องเต้อำมหิตล่ะ?
มุมปากของซินเหยาค่อยๆดึงเอาความหมดสิ้นหนทางออกมาเล็กน้อย…
ดูเหมือนว่า…
นางยังต้องไปพบเขาเพื่อพูดคุยกันอีกสักครั้งเสียแล้ว
สงบจิตสงบใจ
แล้วไปพบกัน
ไม่ว่าสุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม
อย่างน้อย…ก็ไม่ต้องทิ้งความเสียใจใดๆเอาไว้ข้างหลัง
อย่างน้อย…ก็ถือซะว่าเป็นการบอกลาก็แล้วกัน
ซินเหยายืนยันในความคิดนี้ จึงหยิบดาบที่อยู่บนพื้นขึ้นมา หลังจากนั้นก็เดินไปที่ห้องบรรทมของฮ่องเต้
“เศษสวะ”
“เศษสวะ ไร้ค่าเป็นที่สุด”
“พวกเจ้าทั้งหมดมันเป็นเศษสวะที่ไร้ประโยชน์ทั้งนั้น”
“คนหนึ่งเป็นเฉิงเสี้ยงที่สง่างามน่าเกรงขาม คนหนึ่งเป็นจ่งตู อีกคนก็เป็นหมอผีที่กินอิ่มไม่มีอะไรทำก็หาเรื่องใส่ตัว นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะยังหาหนังสือแค่เล่มเดียวไม่เจอ พวกเจ้ามันก็คือเศษสวะจริงๆ”
ณ ตำหนักจินหลิว ฮ่องเต้อำมหิตกำลังโมโหเป็นอย่างมาก
ถางเปิ่นหู่ เหอจ้าวเทียน พร้อมด้วยหมอผีโจ่ว ทั้งสามคนยืนกลัวจนตัวสั่นด้วยสีหน้าที่กลัดกลุ้มใจอยู่ในท้องพระโรง
ฮ่องเต้อำมหิตระเบิดความโกรธเกรี้ยวออกมาว่า “ข้าสั่งให้พวกเจ้าไปหาหนังสือเล่มเดียวมาหนึ่งเดือนแล้ว ผลลัพธ์ก็คือผ่านไปหนึ่งเดือนเต็มๆแล้ว นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะบอกข้าว่าแม้แต่เบาะแสสักนิดก็ไม่มีอย่างนั้นรึ? พวกเจ้าอยากให้ข้าโมโหจนจะเป็นบ้าตายใช่ไหม?”
เหอจ้าวเทียนพูดว่า “ฝ่าบาท พวกเราพยายามอย่างเต็มที่แล้วนะพะยะคะ”
ฮ่องเต้อำมหิตพูดด้วยความโมโหว่า “พยายามอย่างเต็มที่แล้วงั้นรึ? แม้จะพยายามอย่างเต็มที่แล้วก็ยังหาไม่เจออีกอย่างนั้นรึ? หมอผี ! เจ้าพูดมา !”
หมอผีโจ่วพูดด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งว่า “ทูล…ทูลฝ่าบาท จริงๆแล้วมันก็ไม่มีเบาะแสอะไรเลยสักนิดจริงๆพะยะคะ”
ฮ่องเต้อำมหิตรู้สึกโกรธขึ้นมา “บัดซบ! ไม่มีเบาะแสอะไรเลยสักนิด มันหมายความว่าอย่างไร? ข้าให้ทหารและม้าแก่พวกเจ้าเป็นหมื่นๆนาย มอบทรัพยากรที่ระดมกำลังหามาได้ทั้งหมดให้แก่พวกเจ้า อยากได้คนก็ได้คน อยากได้เงินก็ได้เงิน ข้าให้คนในราชสำนักทั้งหมดไปหาหนังสือแค่เล่มเดียว นึกไม่ถึงว่าหาอยู่หนึ่งเดือนแล้วก็ยังไม่มีเบาะแสอะไรเลยขนาดนี้?”
ถางเปิ่นหู่พูดออกไปด้วยความซื่อสัตย์ว่า “ฝ่าบาท พวกเราสอบถามผู้อาวุโส จอมยุทธและบัณฑิตหลายคนแล้ว แม้กระทั่งพลิกอ่านหนังสือโบราณทั้งหมดของสำนักฮั่นหลินแล้ว ก็ไม่มีเบาะแสอะไรที่เกี่ยวข้องกับหนังสือที่ชื่อว่าค้วยฮัวมี่ลู่เลย เกล้ากระหม่อม…พยายามอย่างเต็มที่แล้วจริงๆพะยะค่ะ”
“ไม่มีเบาะแสอะไรเลยงั้นหรือ?”
“หรือจะบอกว่านี่ข้าเพ้อฝันปั้นเรื่องขึ้นมาเองอย่างนั้นรึ”
“พวกเจ้า…”
“ข้าฝึกฝนและสร้างสมกำลังทหารนับพันๆวันแต่ได้ใช้ทหารออกรบแค่เพียงชั่วเวลาเดียว”
“พวกเจ้ามีฐานะเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของข้า ตอนที่ข้าต้องการพวกเจ้า พวดเจ้ากลับช่วยเหลืออะไรข้าไม่ได้เลยสักนิด”
ฮ่องเต้อำมหิตทำสีหน้าบึ้งตึงด้วยความโมโห
เหลือแค่สองวันเท่านั้น
เวลาหนึ่งเดือน เหลือแค่สองวันเท่านั้น
เขาจะไม่รีบร้อนได้อย่างไรล่ะ?
ถ้าหากเขายังหาหนังสือเล่มนั้นไม่เจอ ผลสุดท้าย มันจะร้ายแรงเป็นอย่างมาก…
ถางเปิ่นหู่กรบทูลว่า “ฝ่าบาท หนังสือเล่มนี้ ความจริงไม่มีผู้ใดเคยได้ยินมาก่อนเลยนะพะยะค่ะ มันอาจจะเป็นเพราะ…ฝ่าบาทจำชื่อผิดหรือเปล่าพะยะค่ะ? หรือบางทีฝ่าบาทจะทรงรับสั่งบอกพวกเราได้หรือไม่ว่า ทรงได้ยินเกี่ยวกับชื่อของหนังสือเล่มนี้มาจากที่ใด? บางทีพวกเราจะได้สามารถติดตามเบาะแสอื่นๆและสามารถหาเบาะแสเหล่านั้นเจอก็ได้นะพะยะค่ะ”
ฮ่องเต้อำมหิตพูดออกไปด้วยความโมโหว่า “พูดจาไร้สาระ ถ้าข้าบอกพวกเจ้าได้ แล้วยังจะเก็บซ่อนเอาไว้ทำไมเล่า?”
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทพะยะค่ะ”
ทันใดนั้น…
ผู้ว่าการหลี่เหลียนคางก็เข้ามาอย่างรีบร้อน
ฮ่องเต้อำมหิตรู้ดีเสมอว่าเขาเป็นขุนนางเก่าแก่ ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญก็ไม่สามารถบุกเข้ามาตอนที่เขากำลังหารือกับขุนนางใหญ่ได้
“เข้ามาพูดสิ มีเรื่องอะไร?”ฮ่องเต้อำมหิตถาม
หลี่เหลียนคางเข้ามาและคุกเข่าลงทำความเคารพ แล้วกล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท พระนางมาขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ”
ฮ่องเต้อำมหิตกล่าวว่า “ไปบอกฮองเฮาว่า ข้ากำลังหารือเรื่องบ้านเมืองกับบรรดาขุนนางอยู่”
หลี่เหลียนคางจึงกล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท ไม่ใช่ฮองเฮาพะยะค่ะ เป็น…เป็นพระสนมโจว๋พะยะค่ะ”
“หา?”
“เป็นนางเองเหรอ?”
ฮ่องเต้อำมหิตตกตะลึงเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่ามีเหตุอันคาดไม่ถึงบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ
หลังจากที่แตกหักกับซินเหยาอย่างถึงที่สุดในคุกใต้ดินเมื่อครั้งก่อน ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับซินเหยาก็เกือบจะขาดสะบั่นลง
แม้ว่าเขาจะไปเยี่ยมซินเหยาที่ตำหนักชิงหย่าในบางครั้งบางคราวก็ตาม
แต่พวกเขาทั้งสองคนก็แทบจะไม่ได้สานความสัมพันธ์อะไรกันเลย
พูดคุยกันน้อยมาก
แม้กระทั่งพูดคุยกันก็ไม่มีหัวข้ออะไรที่จะพูด
ซินเหยาไม่ใช่ผู้หญิงที่ดุร้าย จึงไม่รู้สึกจะเป็นจะตายแล้วอาละวาดอยู่ในพระราชวังเพราะว่าอกหักจากการทรยศของผู้ชาย