บทที่ 436 เสียดาย1
ที่แห่งนี้นอกจากฮ่องเต้แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าออกตามอำเภอใจ
แต่ทว่า…
แม้ว่าจะมีขันทีที่มาทำความสะอาดเดินเข้าเดินออก แต่พวกเขาก็ไม่กล้าขยับสิ่งของของฮ่องเต้อำมหิตไปมาตามอำเภอใจอย่างแน่นอน
พอคิดเช่นนี้
ซินเหยาก็ยิ่งรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมาก
ว่าในนี้…เก็บซ่อนความลับอะไรที่มิอาจบอกใครได้เอาไว้กันแน่
แต่ทว่า
จะเป็นอะไรไปได้ล่ะ?
ฮ่องเต้อำมหิตมีความลับอะไรกันนะ?
ซินเหยายื่นมือเข้าไปคิดอยากจะไปเปิดช่องลับด้วยความตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองไม่อยู่…
“บังอาจ ! เจ้ากล้าขยับของของข้าอย่างนั้นรึ?” น้ำเสียงที่เลือดเย็นอำมหิตของคนคนหนึ่งลอยเข้ามา
“หรือว่าพระองค์มีของอะไรที่ไม่อยากให้ใครเห็นหรือเพคะ?” ซินเหยาย้อนถาม
ฮ่องเต้อำมหิตสาวเท้าก้าวเข้ามา คว้าข้อมือของซินเหยาเอาไว้แล้วพูดว่า “เจ้าเป็นสนมที่ว่านอนสอนง่ายจะดีที่สุดนะ และดูแลครรภ์ให้ดีๆ อย่าใช้สมองคิดทำอะไรมิชอบให้มันมากนัก”
ซินเหยาหัวเราะเบาๆแล้วพูดว่า “ทำไมพระองค์ต้องพาลมาโกรธหม่อมฉันเอาดื้อๆอย่างนี้ล่ะเพคะ? หม่อมฉันจะสามารถใช้สมองคิดทำอะไรมิชอบได้อย่างไรล่ะเพคะ? เป็นเพราะพระองค์รับสั่งให้คนบอกให้หม่อมฉันมารออยู่ที่นี่ แต่ทว่า รอจนเบื่อแล้ว หม่อมฉันเพียงแต่ลองเปิดหนังสือดูตามอำเภอใจไม่กี่เล่ม แล้วจึงค้นพบช่อลับนี้เข้า ส่วนข้างในชองลับช่องนี้มีอะไรอยู่นั้น…”
ฮ่องเต้อำมหิตถามด้วยความโมโหไปว่า “เจ้าเห็นแล้วรึ?”
ซินเหยาตอบว่า “ไม่มีเพคะ แต่ถ้าพระองค์มาช้ากว่านี้สักหน่อยเกรงว่าก็น่าจะได้เห็นแล้วล่ะเพคะ น่าเสียดายจริงๆเลยอ่ะ”
“น่าเสียดายงั้นรึ?”
“เจ้า…”
ฮ่องเต้อำมหิตจ้องมองนางด้วยความโกรธและพูดว่า “เจ้าช่างรนหาที่ตายจริงๆ เจ้าถูกข้าจับได้คาหนังคาเขา คิดไม่ถึงเลยว่าจะยังไม่สำนึกผิดแล้วแก้ตัวใหม่เยี่ยงนี้? แล้วยังจะคิดเสียดายอีกงั้นรึ?”
ซินเหยาพูดอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ขอพระราชทานอภัยเพคะ แม่ของหม่อมฉันสอนหม่อมฉันว่าอย่าพูดโกหกมาตั้งแต่เด็กๆ ถ้าหม่อมฉันไม่ได้สำนึกผิดและแก้ตัวใหม่จริงๆ นั่นก็แสดงว่าหม่อมฉันไม่ได้โกหกพระองค์นะเพคะ”
“ไร้ยางอาย”
ทันใดนั้นฮ่องเต้ก็โมโหเดือดดาลขึ้นมา แล้วผลักซินเหยาออกไปอย่างฉับพลัน
“ใช่แล้ว แม่ของเจ้าน่ะรึ? แม่ของเจ้าตายไปตั้งนานแล้วมิใช่หรือ? เจ้าไม่ใช่ลูกกำพร้าเหรอ?”
ฮ่องเต้อำมหิตถามกลับ
ซินเหยายิ้มแห้งๆ
ทันใดนั้นฮ่องเต้อำมหิตที่ฉลาดหลักแหลมก็เข้าใจขึ้นมาในทันที แล้วพูดว่า “เจ้า…เจ้าจงใจยั่วโมโหข้ารึ? เจ้าอยากทำให้ข้าโกรธใช่ไหม?”
ซินเหยาหัวเราะเล็กน้อยแล้วพูดว่า “นี่พระองค์พูดเองนะเพคะ หม่อมฉันยังไม่ได้พูดเลย”
ฮ่องเต้อำมหิตพูดด้วยความโมโหว่า “หึ เจ้าไม่เห็นฮ่องเต้อย่างข้าคนนี้อยู่ในสายตาเลยใช่ไหม? เจ้าก็รู้หนิว่า ถ้าเจ้ายั่วเย้าข้าเช่นนี้ เจ้าจะถูกลงโทษข้อหาหลอกลวงกษัตริย์ ! ข้า จะทำให้หัวของเจ้าหลุดออกจากบ่าเมื่อไหร่ก็ได้”
ทันใดนั้นซินเหยาก็ตอบกลับด้วยความคับแค้นใจว่า “ไม่ใช่ว่าพระองค์อยากจะฆ่าหม่อมฉันมาตั้งนานแล้วหรือเพคะ? ตอนนี้พระองค์ก็เลยได้โอกาสเอามาเป็นข้ออ้างให้ตัวเอง ไม่ใช่อย่างนั้นหรือเพคะ?”
“เจ้า…เจ้า…”
ฮ่องเต้อำมหิตโมโหจนถึงขีดสุด
เขาโกรธมาก แต่กลับมองซินเหยาด้วยความสนใจใคร่รู้เป็นอย่างมาก…
ในขณะที่มองผู้หญิงที่สวยเพริศพริ้งที่สุดเหมือนกับนางฟ้าที่ตกลงมาจากสวรรค์เพื่อตัวเอง…
ใบหน้าที่งดงามเป็นหนึ่งมี่สองนั้น ทำไมถึงได้ชอบแสดงสีหน้าที่ไม่แยแส ดูห่างเหินและไม่ใส่ใจอะไรตลอดเวลาเลยล่ะ?
ผู้หญิงคนนี้…
ที่จริงแล้วในใจของนางคิดอะไรอยู่กันแน่?
ฮ่องเต้อำมหิตทำอย่างไรก็เดาใจของซินเหยาไม่ออก
ว่าผู้หญิงคนนี้ ตั้งแต่หัวจรดเท้าดูเหมือนจะเป็นคนที่ลึกลับซับซ้อนจนจับจุดไม่ได้เลย…
ซินเหยาพูดว่า “ช่างเถอะ ระหว่างเรา ความสัมพันธ์มันไม่ชัดเจนอยู่แล้ว ความจริง ใครจะผิดใครจะถูก มันก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป”
“ทำไมมันจะไม่จำเป็นล่ะ?”
ดูเหมือนว่าเขาฟังความหมายในคำพูดของซินเหยาออกแล้ว
ซินเหยาไม่อยากถูกเขาจับสังเกตนางออกมากไปกว่านี้ จึงเพียงแต่พูดอย่างเลื่อนลอยไปว่า “สรุปก็คือ หม่อมฉันเพียงแค่จะมาดูพระองค์ และถือโอกาส…กล่าวคำอำลาสักหน่อยเพคะ”
“ลารึ? เจ้าจะไปแล้วรึ?”
ซินเหยาเลือกที่จะเงียบเอาไว้
ฮ่องเต้อำมหิตจึงถามด้วยความประหลาดใจว่า “เจ้าจะไปที่ไหน?”
ซินเหยาพูดว่า “ที่ควรพูดก็พูดจบแล้ว พระองค์ดูแลตัวเองให้ดีๆนะเพคะ ถ้าหากว่า พระองค์รักที่จะเป็นฮ่องเต้ที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้จริงๆ เช่นนั้นตอนนี้พระองค์ก็ควรที่จะพอพระทัยมากสิ ในโลกใบนี้ จะได้ไม่มีผู้ใดและอำนาจใดที่จะสามารถขัดขวางการเป็นฮ่องเต้ที่ดีของพระองค์ได้อีกแล้วนะเพคะ”
“เพียงแต่…”
ซินเหยาหยุดพูดชั่วขณะ แล้วจึงพูดต่อไปว่า “เพียงแต่ว่าพระองค์จะเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้หรือไม่นั้น ถึงอย่างไรก็ต้องให้ประชาชนในใต้หล้าเป็นคนพูดจึงจะดี จำไว้นะเพคะว่า ถ้าประชาชนพูดว่าพระองค์เป็นฮ่องเต้ที่ดีคนหนึ่ง พระองค์จึงจะเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้”
ฮ่องเต้อำมหิตตัวสั่นเทา
ในปากของเขา พึมพำกับตัวเองว่า
“ให้ประชาชนพูดว่าข้าเป็นฮ่องเต้ที่ดี?”
“จึงจะได้เป็นฮ่องเต้ที่ดีอย่างแท้จริงงั้นรึ?”
“ผู้หญิงคนนี้…”
“ความคิดของเจ้ามันช่างวิเศษมาก”
“เอ๊ะ?”
“แล้วคนล่ะ?”
พอฮ่องเต้อำมหิตเงยหน้าขึ้นมา นางผู้นั้นก็หายไปแล้ว
ในห้องเขียนหนังสือหลวง ที่ไหนเลยจะยังมีซินเหยาอยู่?
นางลอยหายไปตั้งนานแล้ว
นางไปจากห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้แห่งนี้ไปแล้ว
ฮ่องเต้อำมหิตตกใจเล็กน้อย
วันนี้นางแปลกมากๆ
คำพูดของนาง ก็แปลกประหลาดเช่นกัน เป็นคำพูดที่ฟังอย่างไรก็ไม่เข้าใจ
เกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนี้กันแน่?
หรือว่า…
จะเป็นภาวะซึมเศร้าในช่วงตั้งครรภ์?
หมอหลวงบอกว่าผู้หญิงที่ตั้งครรภ์จะค่อนข้างมีความคิดที่ไม่มีเหตุผลได้ง่าย แล้วก็จะมีปัญหาทางอารมณ์ปรากฏออกมาอยู่บ้าง
หรือว่าจะเป็นอย่างนี้จริงๆ?
“ใช่แล้ว”
“ช่องลับ”
ฮ่องเต้แสดงสีหน้าที่เคร่งขรึมออกมา ทันใดนั้น ก็ใช้หนังสือซ่อนช่องลับใหม่อีกครั้งให้เรียบร้อย…
ตกลงข้างในนั้นมีอะไรกันแน่?
ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้
“ฝ่าบาท…”
ทันใดนั้น…ก็มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น
“ทำไมเจ้ากลับมาอีกแล้วล่ะ?”
ฮ่องเต้อำมหิตตื่นตระหนกตกใจ แต่แสร้งทำเป็นสงบเยือกเย็น
“ฝ่าบาท เป็นหม่อมฉันเองเพคะ ยู่ยิง”
ผู้หญิงที่มีรูปร่างอ่อนช้อยงดงามคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มของนางข้าหลวงสองคนก็เดินเข้ามา
คนคนนี้ แท้จริงแล้วก็คือจ้าวยู่ยิงที่มีฐานะเป็นฮองเฮานั่นเอง
ฮ่องเต้อำมหิตแสดงความผิดหวังอยู่บนใบหน้า แล้วพูดว่า “ที่แท้ก็เป็นฮองเฮานี่เอง ฮองเฮามาหาข้ามีธุระอะไรรึ?”
จ้าวยู่ยิงพูดว่า “หม่อมฉันได้ยินว่าช่วงนี้ฝ่าบาทกลุ้มใจมาก ดูเหมือนจะเป็นเพราะหนังสือเล่มหนึ่งใช่ไหมเพคะ? หม่อมฉันจึงอยากมาดูว่าจะสามารถช่วยเหลืออะไรพระองค์ได้บ้าง?”
“ไม่ต้องแล้ว เจ้าจัดการเรื่องในวังหลังให้ดีก็พอแล้ว”
ฮ่องเต้อำมหิตโบกมือไปมา และมีท่าทีที่เมินเฉยเล็กน้อย
ตั้งแต่ที่ฮองเฮากลับมาที่วัง ดูเหมือนว่าจะเก็บเนื้อเก็บตัวเป็นอย่างมาก
กล่าวโดยสรุปก็คือ…
นุ่มนวลกว่าเมื่อก่อนอยู่มาก
ฮ่องเต้อำมหิตอยากจะฆ่านางแม่มดเฒ่าคนนั้นเพื่อล้างแค้น แต่ก็หาข้ออ้างที่เหมาะสมไม่ได้เลย