บทที่ 437 เสียดาย2
โดยเฉพาะอย่างยิ่งซินเหยาต้องการปกป้องฮองเฮาอย่างเห็นได้ชัด
ฮ่องเต้อำมหิตก็ไม่อยากเผชิญหน้าและขัดแย้งกับซินเหยา
อย่างน้อย…
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็แล้วแต่ ตอนนี้นางก็ตั้งครรภ์แล้ว
เด็กคนนี้…
เป็นความหวังเดียวของเขาแล้ว
เขาไม่อาจปล่อยให้เด็กคนนี้เกิดอุบัติเหตุใดๆที่ไม่คาดฝันขึ้นมาได้
มิฉะนั้น…
แผ่นดินเรืองอำนาจแห่งนี้ก็จะไร้ผู้สืบทอดต่อไป
จ้าวยู่ยิงเห็นสีหน้าที่ผิดหวังมากอย่างเห็นได้ชัดของฮ่องเต้ ในหัวใจก็รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากสักพักหนึ่ง
ทันใดนั้นนางก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามไปว่า “ฝ่าบาท เมื่อสักครู่นี้ตอนที่หม่อมฉันเข้ามา เห็นภาพเงาด้านหลังของผู้หญิงคนหนึ่งออกไปพอดี ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้ดูแปลกตามาก หรือว่าจะเป็น…”
ฮ่องเต้อำมหิตพูดขึ้นในฉับพลันว่า “หุบปาก”
จ้าวยู่ยิงก็เลยปิดปากอย่างเชื่อฟัง
ฮ่องเต้อำมหิตพูดว่า “ฮองเฮา ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่า ถ้าเจ้าเป็นฮองเฮาที่เชื่อฟังและว่านอนสอนง่าย ก็จะไม่มีใครใช้อำนาจคุกคามตำแหน่งของเจ้าได้ แต่ เจ้าอย่าเรียนรู้ที่จะเป็นแบบนั้นจากไทเฮาเด็ดขาด และกระทำการที่เป็นการก่อกวนเล็กๆน้อยๆในวังหลังลับหลังข้า เช่นนี้เจ้าจะได้ไม่คุ้มเสียนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าได้มีการประกาศพระราชโองการออกไปแล้วว่า พระสนมโจว๋ตั้งครรภ์แล้ว และให้ยกเว้นมรรยาทประเพณีทั้งหมดในวังหลังของนาง แล้วก็ไม่ต้องการให้ใครก็ตามไปรบกวนการพักผ่อนดูแลครรภ์ของนางด้วย”
คำพูดของฮ่องเต้อำมหิต ช่างเจ็บปวดและเยือกเย็นยิ่งนัก
“แท้จริงแล้วก็คือนางนี่เอง”
“หม่อมฉันเพียงแต่ถามนิดหน่อยเท่านั้นเอง สมควรต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้เลยหรือเพคะ?”
จ้าวยู่ยิงพูดอยู่ภายในใจว่า
ตอนนี้นางมีฐานะเป็นฮองเฮานะ
แต่ทว่า นับตั้งแต่ที่ไม่ได้รับการโปรดปรานจากไทเฮา
ฮ่องเต้อำมหิตก็ค่อยๆมอบอำนาจในวังหลังให้กับจ้าวยู่ยิง
เพื่อถือว่าเป็นการชดเชยให้นาง
จ้าวยู่ยิงเป็นห่วงพะวงบุคคลอื่นอีกคนหนึ่ง นางไม่มีความรักใคร่สนิทสนมอะไรต่อฮ่องเต้อำมหิตเลย มีเพียงบุญคุณระหว่างฮ่องเต้และนางสนมเท่านั้น บุญคุณมีมากว่าความรัก
ฮ่องเต้อำมหิตไม่ได้บังคับให้นางมาร่วมหลับนอนเพื่อจะได้มีองค์รัชทายาทด้วย แต่กลับมอบอำนาจในวังให้กับนาง
เมื่อพูดถึงนางแล้ว บางทีอาจจะมีความโชคดีในความโชคร้ายก็เป็นได้
จ้าวยู่ยิงรวบรวมอำนาจในวังทั้งหมดมาไว้กับตัวเอง แล้วค่อยๆมาแทนที่ตำแหน่งภายในวังของไทเฮา
บรรดาสนม ไฉเหรินและนางข้าหลวงทั้งหมดล้วนอยากไปน้อมเคารพและขอเข้าพบนางทั้งนั้น
แต่มีเพียงคนเดียวที่ไม่ทำเช่นนั้น
โจว๋ซินเหยา
นางไม่เข้าใจเลยว่า ด้วยลักษณะนิสัยที่เลือดเย็นอำมหิตจนแทบจะโหดเหี้ยมของฮ่องเต้
ไม่คิดเลยจะมีผู้หญิงคนไหนที่สามารถปราบเขาได้อยู่มือให้ว่านอนสอนง่ายอย่างสุดจิตสุดใจเช่นนี้ได้จริงๆ…
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นางยังตั้งครรภ์แล้ว
จ้าวยู่ยิงอยากลองรู้จักกับโจว๋ซินเหยาคนนี้มาก
แต่ทว่า ฮ่องเต้อำมหิตได้มีพระราชโองการลงมาแล้วเมื่อเช้านี้
ว่าให้พระสนมโจว๋สามารถละเว้นจริยวัตรในวังทั้งหมดได้
ไม่เพียงแค่เท่านี้
เขายังไม่อนุญาตให้ใครไปรบกวนการพักผ่อนของพระสนมโจว๋ตามอำเภอใจอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนกว่าๆนี้
จ้าวยู่ยิงจึงยับยั้งแรงกระตุ้นความต้องการที่อยากจะไปดูหน้าสนมโจว๋ซึ่งเป็นเสมือนเทพธิดาที่มาจากที่ใดที่หนึ่งคนนี้เอาไว้
ดังนั้น
นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แม้ว่าโจว๋ซินเหยาจะอยู่ในวังตลอดเวลา แต่ทั้งสองคนกลับไม่มีโอกาสเจอหน้ากัน
แต่ทว่า
จะต้องมีสาเหตุที่โจว๋ซินเหยาจงใจหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับจ้าวยู่ยิงอย่างแน่นอน
แต่ทว่า
ซินยาวมาหาฮ่องเต้เพื่อกล่าวคำอำลาในวันนี้ กลับถูกจ้าวยู่ยิงพบเห็นเข้าแล้วโดยไม่ได้ตั้งใจ
ฮ่องเต้อำมหิตพูดว่า “เจ้าลงไปเถอะ”
จ้าวยู่ยิงพูดว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันเพียงแค่อยากจะช่วยแบ่งเบาความทุกข์กังวลให้ฝ่าบาทนะเพคะ”
ฮ่องเต้อำมหิตพูดว่า “ไม่จำเป็น เจ้าทำหน้าที่เป็นฮองเฮาให้ดีก็พอแล้ว”
“เพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันทูลลาเพคะ”
“ก็ลงไปสิ”
ฮ่องเต้อำมหิตโบกไม้โบกมือ พร้อมตวาดให้จ้าวยู่ยิงถอยออกไป
จ้าวยู่ยิงถอยลงไปพร้อมทั้งพูดในใจว่า “หึ? โจว๋ซินเหยา? ข้าก็อยากจะเห็นสักหน่อยว่าแท้จริงเจ้าวิเศษมาจากไหนกันแน่? ฮ่องเต้ที่เคยมีใบหน้าที่อ่อนโยนต่อข้ามาโดยตลอด แต่วันนี้กลับต้องมาตำหนิข้าเพราะเจ้า ข้าจะต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าเป็นใคร”
แล้วบนใบหน้าของนาง ก็ปรากฏรอยยิ้มที่ปลิ้นปล้อนขึ้นมา
หลังจากนั้นก็ออกจากห้องหนังสือหลวงไป
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งวัน
เป็นหนึ่งวันที่สงบและสวยงาม
สำหรับซินเหยาแล้ว ไม่ทราบว่าเป็นเพราะว่าใจร้อนเกินไปหรือเปล่า ก็เลยมีความรู้สึกเซ็งๆอยู่บ้าง
แต่ทว่า…
ในที่สุดวันนี้ก็ผ่านไปแล้ว
ในตอนดึก นางแอบเปลี่ยนไปใส่ชุดออกเดินทางในตอนกลางคืน แล้วเข้าไปในตำหนักเทพเพื่อขโมยกล่องสายลับของตัวเองกลับมา
เช้าตรู่ของวันถัดไป
ภายในพระราชวังยังคงสงบนิ่งเหมือนน้ำ…
ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครพบว่ากล่องสวรรค์ถูกขโมยไปแล้ว
แบบนี้จะโทษใครก็ไม่ได้
ปกติก็ไม่มีใครไปที่ตำหนักเทพอยู่แล้ว จะมีคนรู้ได้อย่างไรล่ะว่ากล่องสวรรค์ถูกขโมยไปหนึ่งถึงสองวันแล้ว?
จนกว่าจะถึงตอนที่มีคนรู้ว่ากล่องสวรรค์ได้ถูกคนขโมยไป ซินเหยาก็กลับไปที่ศตวรรษที่ 21 ได้สองสามเดือนแล้ว…
พอถึงตอนนั้น ได้ไปอยู่ในสถานที่ที่ไกลโพ้นเช่นนี้แล้ว
ก็ไม่มีใครหานางไม่เจอแล้ว
ช่วงเวลาที่นางกับจินยิงนัดกันคือช่วงเวลากลางคืน
และสถานที่ก็คือห้องบรรทมของไทเฮา
ในตำหนักซูหนิง
ซินเหยาออกไปจากวังในตอนเช้าตรู่ เอาเงินที่ได้จากการขายเครื่องสำอางของตัวเองทั้งหมดเก้าร้อยเจ็ดสิบล้านตำลึงไปแบ่งออกเป็นสามส่วน
ส่วนแบ่งที่ใหญ่ที่สุดมอบให้ส้งหมิ่น เพื่อให้นางได้มีงบประมาณที่เพียงพอในการดำเนินธุรกิจและจัดการธุรกิจ
ส่วนที่สองมอบให้โจว๋หยุนถิง
โจว๋หยุนถิงเป็นคนที่ซื่อสัตย์คนหนึ่ง
ในจุดๆนี้ ซินเหยาเชื่ออย่างสนิทใจมาตั้งนานแล้ว
การมอบเงินให้โจว๋หยุนถิงดูแลจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินธุรกิจ หรือเตรียมความพร้อมในการรักษาจวนอ๋องโจว๋เอาไว้จากภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า เมื่อเงินอยู่ในมือของโจว๋หยุนถิงจะต้องปลอดภัยเป็นที่สุดอย่างแน่นอน
และซินเหยาเหลือที่ส่วนที่เล็กที่สุดไว้มอบให้ส้งชิง
ส้งชิงผู้ช่วยคนนี้ เขาเป็นผู้ช่วยแต่ในนาม
ความจริงแล้วเขาก็คือกรรมกรกุลีคนหนึ่ง
แต่เขาเป็นกรรมกรที่ยากลำบากมากคนหนึ่ง
เขาพยายามสร้างรากฐานให้ตัวเองอย่างสุดชีวิต แต่ตัวเองกลับไม่ได้กำไรอะไรเลย
ถ้าหากช่วยให้เขาได้มีงบประมาณในการดำเนินกิจการมากจำนวนหนึ่ง ซินเหยาเชื่อว่าสำหนักชิงหลงจะเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นไปในอนาคตเป็นแน่…