บทที่ 459 ฤกษ์ยามแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ2
ฮ่องเต้อำมหิตทอดมองฟากฟ้า ขอบฟ้าที่ห่างไกล และกล่าวเบาๆ “ข้ารับรู้ได้ว่านางยังไม่ตาย! ข้ารู้สึกได้! นางไม่ได้ตาย เพียงแต่ไปที่ไหนสักแห่งอันไกลแสนไกล…แต่ว่า นางคงไม่กลับมาแล้ว!”
“นางจะต้องกลับมาแน่!”
โจว๋ชิงหยีกว่าวอย่างมาดมั่น
แต่ว่า ในใจของนางกลับไม่แน่วแน่เลยสักนิด
นางทำได้เพียงแต่แอบภาวนาในทุกๆ วัน
ภาวนาว่าซินเหยาจะสามารถได้ยินเสียงหัวใจของนาง
ซินเหยา
เจ้าอยู่ที่ไหน
เจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่
เจ้ายังจะกลับมาอยู่อีกหรือเปล่า
……
ตำหนักจินหลิว
ฮ่องเต้อำมหิตที่สวมอาภรณ์มังกรนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร รับการเข้าเฝ้าและถวายบังคมจากขุนนางฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋นด้วยท่าทางงดงามเย็นเยียบ
“ฮ่องเต้ ในเรื่องการแต่งตั้งฮองเฮา ขอจงทรงพิจารณาให้ถี่ถ้วน!”
ถางเปิ่นหลงผู้ซึ่งได้รับสมญานามแต่งตั้งขึ้นเป็นแม่ทัพกองทหารเซียวฉีมาหมาดๆ มีสีหน้าร้อนรนกระวนกระวาย!
“ข้าจะแต่งตั้งฮองเฮายังต้องคอยถามเจ้าหรือ”
แววตาของฮ่องเต้อำมหิตเย็นเยียบจนสามารถเป็นน้ำแข็งได้
ถางเปิ่นหลงคุกเข่าอย่างลนลาน “ฮ่องเต้! ฮ่องเต้! ขอพระองค์โปรดทรงเมตตา!”
ฮ่องเต้อำมหิตถามเย็นชา “ข้าแต่งตั้งซิ่วหนี่คนหนึ่งขึ้นเป็นฮองเฮา ไปขัดผลประโยชน์อะไรของคนถางเปิ่นอย่างเจ้าอย่างนั้นรึ”
“เอ่อ…เอ่อ…”
ถางเปิ่นหลงถูกถามเสียจนเป็นใบ้ไร้คำจะกล่าว
ทั้งฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋นทั่วท้องพระโรงต่างพากันปาดเหงื่อแทนเขาเป็นแถบๆ
เรื่องส่วนตัวระหว่างถางเปิ่นหลงและโจว๋ชิงหยี ทั้งราชสำนักนี้มีใครไม่รู้บ้าง
ตอนนี้ฮ่องเต้อำมหิตจะออกราชโองการแต่งตั้งโจว๋ชิงหยีขึ้นเป็นฮองเฮา
ถางเปิ่นหลงวิ่งออกมาขัดขวางอย่างไม่รู้จักความเป็นความตายเช่นนี้ นี่ไม่ใช่ว่าอยากจะแย่งผู้หญิงกับฮ่องเต้อย่างออกหน้าออกตาหรอกหรือ
เขาออกจะกล้าหาญเกินไปหน่อย
ถึงขนาดไม่รู้จักเป็นตายได้เชียว!
ถางเปิ่นหู่กล่าวอย่างฉุกละหุก “ฮ่องเต้! ระยะนี้พี่ชายข้าป่วย ร่างกายไม่แข็งแรง สภาพจิตใจก็ดูจะคลอนแคลน พูดจาค่อนข้างเลินเล่อ ขอฮ่องเต้ทรงประทานอภัย!”
ฮ่องเต้อำมหิตตรัส “ข้าก็ให้เขาพูดให้เข้าใจอยู่นี่ไง! ถางเปิ่นหลง เจ้าต้องการแบบไหนกันแน่!”
ถางเปิ่นหลงลนลานจนเหงื่อเม็ดเป้งผุดเต็มหน้า จะให้มองผู้หญิงที่ตนรักถูกแต่งตั้งเป็นฮองเฮา ซบอ้อมอกชายอื่นตาปริบๆ ในใจเขาจะไม่ร้อนรนได้อย่างไรกัน
ฮ่องเต้อำมหิตตวาดถาม “ทำไมไม่พูดล่ะ ไม่ใช่ว่าเจ้ามีคำจะพูดหรอกหรือ”
ถางเปิ่นหลงกล่าว “ฮ่องเต้! กระหม่อม…ไม่มีอะไรจะเอ่ย!”
ดวงเนตรฮ่องเต้อำมหิตผุดประกายโกรธและเย็นชา “เช่นนั้นก็ถอยไป! ถ้าหากครั้งหน้ากล้าว่าขวาง พูดจาเหลวไหลอีก ข้าสงสัยว่าตระกูลถางเปิ่นของพวกเจ้าจะหยุดยั้งผลกระทบร้ายแรงได้หรือไม่”
“ผลกระทบร้ายแรง”
ไม่กี่คำนี้ ฮ่องเต้อำมหิตจงใจกล่าวอย่างเน้นหนัก
ถางเปิ่นหลงได้ยินแล้วในใจก็เย็นยะเยือกนัก และก็ทอดถอนลมหายใจเย็นเยียบออกมา
เคราะห์ดีที่รั้งบังเหียนม้าเมื่อถึงหน้าผาชัน!
ไม่เช่นนั้นล่ะก็ ก็อาจเป็นไปได้ว่าเนื่องจากพฤติกรรมชั่ววูบของตนจนส่งผลกระทบต่อครอบครัวถางเปิ่นทั้งตระกูล
ขุนนางทั่วท้องพระโรงต่างพากันถอนหายใจโล่งอก
ระยะนี้อารมณ์ของฮ่องเต้อำมหิตโหดร้ายและเด็ดเดี่ยวกว่าเมื่อก่อนนัก!
หากว่าความประสงค์ของเขาไม่ราบรื่นแม้แต่นิดเดียว เกรงว่าจะเกิดหายนะครั้งยิ่งใหญ่ต่อทุกคนเป็นแน่!
ฮ่องเต้อำมหิตเห็นว่าขุนนางน้อยใหญ่ในท้องพระโรงไม่มีใครเอ่ยวาจา จึงตรัสว่า “ในเมื่อไม่มีใครคัดค้านเรื่องที่ข้าจะแต่งตั้งฮองเฮา เรื่องนี้ก็ตัดสินใจเช่นนี้แล้ว! วันหน้า ข้าไม่คาดหวังว่าจะได้ยินบุคคลใดต่อต้านเรื่องนี้ต่อหน้าข้า หรือวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวอีก ผู้ใดฝ่าฝืนให้ประหารโดยไม่มีการนิรโทษกรรม! “
“ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี!”
ขุนนางทั้งบู๊บุ๋นทั่วท้องพระโรงตกอกตกใจเสียจนคุกเข่าแซ่ซ้องกันเป็นแถบ
ฮ่องเต้อำมหิตกล่าว “รีบลุกขึ้นมาเถิด! ตอนนี้จะเริ่มประชุมท้องพระโรงแล้ว ทุกคนมีฎีกาอะไรจะถวายก็รีบถวายมาเถิด!”
ตำแหน่งอย่างเป็นทางการของมู่หรุงหยูนในตอนนี้คือรองเฉิงเสี้ยง เขายกตำแหน่งเฉิงเสี้ยงให้แก่ถางเปิ่นหู่
อย่างไรก็ตามอำนาจใหญ่ในเศรษฐกิจเชิงพาณิชย์ของราชสำนักที่เดิมถูกควบคุมดูแลโดยเฉิงเสี้ยง กลับถูกถ่ายโอนมาในมือของรองเฉิงเสี้ยงอย่างเขาคนนี้
นี่คือความตั้งใจของฮ่องเต้อำมหิตเพื่อยับยั้งการฟื้นตัวของตระกูลถางเปิ่น และจงใจลดทอนอำนาจของเฉิงเสี้ยงนั่นเอง
“ทูลฝ่าบาท! ระยะนี้ทั่วแว่นแคว้นเกิดกระแสนิยมแป้งน้ำแต้มชาดแปลกประหลาดไปทั่ว ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การดำรงชีวิตของผู้คนอย่างมาก ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณากำหนดโทษ”
มู่หรุงหยูนรองเฉิงเสี้ยงผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จทางเศรษฐกิจค้นพบว่าการขายเครื่องสำอางทำเงินได้มากกว่าการเก็บภาษีหลายเท่า ย่อมต้องเสนอออกมาตามธรรมดา
“โอ้? ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการดำรงชีวิตของผู้คน กระทบอย่างไรกัน”
ฮ่องเต้อำมหิตตรัสถามอย่างใคร่รู้
มู่หรุงหยูนเอ่ย “เอ่อ…เอ่อ…ตอนนี้หญิงสาวทุกนางล้วนแห่กันไปซื้อเครื่องสำอาง แม้กระทั่งผู้ชายจำนวนมากก็ไปจับจ่ายเครื่องสำอางด้วย”
ฮ่องเต้อำมหิตเอ่ยถาม “ราชสำนักมีกฎหมายว่าด้วยการขายแป้งน้ำแต้มชาดเป็นสิ่งผิดกฎหมายหรือไม่”
มู่หรุงหยูนเอ่ย “เอ่อ…ไม่มีขอรับ”
ฮ่องเต้อำมหิตถามซ้ำ “เช่นนั้นมีเขียนบอกหรือไม่ว่าผู้ชายซื้อเครื่องสำอางแล้วผิดกฎหมาย”
มู่หรุงหยูนส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่มีเช่นกันขอรับ”
ฮ่องเต้อำมหิตตรัส “เช่นนั้นมีผลกระทบอย่างไร”
มู่หรุงหยูนกล่าววาจาอย่างตรงประเด็น “ฮ่องเต้! บุคคลที่ทำธุรกิจเครื่องสำอางทำกิจการอย่างเอกเทศ แสวงหากำไรมหาศาล! กระหม่อมและรัฐมนตรีกระทรวงทั้งหกเคยคิดคำนวณว่ากำไรสุทธิต่อปีของผู้ประกอบการค้าเครื่องสำอางเท่ากับรายรับครึ่งปีของกองคลังเลยทีเดียว! หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ความมั่งคั่งมหาศาลกระจุกรวมกันอยู่ในกำมือของผู้ทำผิดกฎหมาย เกรงว่าจะก่อให้เกิดความไม่สงบในสังคมได้นะขอรับ!”
ฮ่องเต้อำมหิตตรัส “นี่ถึงจะเป็นเจตนาที่แท้จริงของเจ้า! ควรจะพูดออกมาตรงๆ แต่ทีแรก!”
มู่หรุงหยูนผู้มีฐานะเป็นแม่ทัพไม่ช่ำชองเรื่องการปกครองเศรษฐกิจรีบเอ่ยรับผิดอย่างรวดเร็ว “ขอรับ! ฮ่องเต้! กระหม่อมโง่เง่านัก!”
ฮ่องเต้อำมหิตตรัส “เจ้าเป็นคนโง่เง่าจริงๆ นั่นแหละ ข้าขอถามเจ้าหนึ่งคำถาม เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ประกอบการเครื่องสำอางคือใคร”