บทที่ 513คุณชายหมิงเช่อ
ซินเหยาจำต้องมองฮูหยินใหญ่ใหม่เสียแล้ว นางคอยมองอยู่ตำแหน่งนี้เรื่อยมา หลังจากนั้นก็ให้คนที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ เต็มใจถูกนางหลอกใช้ เหมือนกับเรื่องของเสี่ยวหย่าเมื่อคราวก่อนก็เป็นอย่างนี้
“เจ้าค่ะ บ่าวรับบัญชา”
ฮูหยินใหญ่เห็นว่าซินเหยาตอบตกลง จึงพับเก็บกลิ่นอายความเหี้ยมโหดเล็กน้อยเมื่อครู่ลง และมองซินเหยาอย่างอ่อนโยนยิ่งนัก มองอย่างระมัดระวังขนาดนั้น ทำเอาซินเหยามีความรู้สึกว่าฮูหยินใหญ่ฝากความหวังกดทับลงบนเรือนร่างของตนเอง
“ซินเหยา เสี่ยวชุยทำใจไม่ได้แหนะ” เก็บเสื้อผ้าสัมภาระบนฟูกนอนไปพลาง เสี่ยวชุ่ยคล้ายกับจะต้องเผชิญหน้ากับความเป็นความตายอย่างไรอย่างนั้น ดึงมือที่ยุ่งง่วนของซินเหยา หยาดน้ำตาหยดติ๋งๆ
ซินเหยาเงยหน้าขึ้นมามองเสี่ยวชุ่ยแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้เอ่ยอะไร ก่อนจะยุ่งง่วนกับงานในมือต่อไป ไม่ได้สะทกสะท้านเลยสักนิด
พอมองดูท่าทีของซินเหยา เสี่ยวชุ่ยก็ปวดใจ ดึงซินเหยาเอาไว้และเขย่าไม่ยอมหยุด “ซินเหยา เจ้าจะไม่ต้องการเสี่ยวชุ่ยแล้วไม่ได้เชียวนะ เจ้าคิดว่าเสี่ยวชุ่ยเสียงดังไป ดังนั้นจึงให้ฮูหยินใหญ่ย้ายเสี่ยวชุ่ยไปใช่หรือไม่ ฮือๆ ซินเหยาต่อไปเสี่ยวชุ่ยจะไม่เสียงดังขนาดนั้นอีกแล้วดีหรือไม่” เสี่ยวชุ่ยพูดด้วยความปวดใจอย่างหาใดเปรียบไม่ได้
“เช่นนั้นตอนนี้เจ้ากำลังทำอะไรอยู่” โดยทั่วไปซินเหยาจะไม่เอ่ยปาก พอปริปากก็ทำเอาคนตกตะลึง เช่นเดียวกันกับตอนนี้ ถ้อยวาจานี้ฟาดเสี่ยวชุ่ยเสียจนวิงเวียน พอเสี่ยวชุ่ยตระหนักได้ก็รีบปิดปากตนเองทันที
เมื่อซินเหยาเห็นว่าเสี่ยวชุ่ยเป็นเช่นนี้ ก็แย้มรอยยิ้มจนตาหยี “เด็กโง่ ข้าจะทำได้อย่างไรกันเล่า” จะลืมเลือนเจ้าที่เคียงข้างข้าผ่านพ้นวันเวลาเหล่านี้ได้อย่างไรกันเล่า ซินเหยาเสริมถ้อยคำกินใจแบบนี้เอาไว้ในใจ แต่ความเงียบสงบของนางกำหนดให้นางไม่เอ่ยประโยคนี้ออกมา
“เช่นนั้นก็ดีสิ” เสี่ยวชุ่ยเห็นซินเหยาอธิบายพลางยิ้มให้กับตนเอง นี่มันเป็นเรื่องหายากเชียวนะ ชั่วขณะนั้นนางก็ยิ้มตาหยีเช่นกัน
จู่ๆ นางก็ดูคล้ายจะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงเงยหน้ามองซินเหยาอย่างเคร่งขรึม “ซินเหยา เจ้ายืนอยู่ข้างฮูหยินใหญ่ใช่หรือไม่”
ครั้นได้ยินถ้อยวาจาของเสี่ยวชุ่ย และมองท่าทางนั้น ร่างกายของซินเหยาก็สั่นเทิ้ม นางมุ่นคิ้วขบคิดปัญหาข้อนี้เรื่อยมา แต่ยังไม่ทันได้คิดเกี่ยวกับพฤติกรรมยามปกติของเสี่ยวชุ่ย อันที่จริงเสี่ยวชุ่ยก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้วนี่นา อุปนิสัยเช่นนี้ของนางไม่ได้จะเอนเอียงไปทางฮูหยินคนใดๆ ดังนั้นจึงไม่ได้รับความโปรดปรานจากใครทั้งนั้น แต่เช่นเดียวกันก็ไม่ได้ทำให้ใครขุ่นเคืองด้วย
“เสี่ยวชุ่ย เจ้าเป็นคนที่ฉลาด ซ่อนคมในฝักของตัวเองเจ้าย่อมต้องมองออกอยู่แล้ว” ซินเหยาทอดถอนใจ ในใจรู้สึกหดหู่เล็กน้อย
“อัยยะ ทำเหมือนจะพลัดพรากจากกันจริงๆ อย่างไรอย่างนั้นแหนะ ซินเหยา เจ้าจะต้องคิดถึงข้าด้วยนะ” บัดนั้นเสี่ยวชุ่ยพลันรับบรรยากาศเช่นนี้ไม่ไหว จึงปริปากอย่างร่าเริง ส่วนคำถามข้อนี้ก็ถูกนางทำให้ผ่านพ้นไปด้วยเสียงหัวเราะฮ่าๆ
อันที่จริงเสี่ยวชุ่ยจะไม่เข้าใจได้อย่างไรกันเล่า อยู่ในสถานที่เช่นนี้ จำต้องเรียนรู้วิธีการเอาตัวรอดเสมอ ไม่ว่าจะเพื่อตนเองหรือว่าผู้อื่น ในส่วนการโยกย้ายครั้งนี้ของตน ฮูหยินใหญ่เองก็เคยเรียกหาตน ส่วนข้อมูลภายในอะไรสักอย่างนั้น นางเองก็ยังคงสงสัยใคร่รู้จริงๆ ยิ่งนัก
“เจ้าก็คือเสี่ยวชุ่ย?” หมิงเช่อนั่งอยู่บนที่นั่งมองไปที่เด็กสาวเบื้องหน้า ช่างคนละรสนิยมกับคนที่เขาจินตนาการว่าญาติผู้พี่จะแนะนำมาให้โดยสิ้นเชิง ข้อนี้กลับทำให้เขาเหนือความคาดหมายอยู่
เสี่ยวชุ่ยยืนอยู่ด้านล่างอย่างนบนอบ พลางตอบอย่างตั้งใจ “เจ้าค่ะ บ่าวคารวะคุณชายหมิงเช่อเจ้าค่ะ”
“อืม” หมิงเช่อได้ยินคำตอบของเสี่ยวชุ่ย และไม่บอกให้นางลุกขึ้น ทำเพียงหยัดกายลุกขึ้นจากตำแหน่งนี้เดินไปยังเบื้องหน้าของนาง เชยเรียวหน้าเล็กอันน่ารักนั้นของนางขึ้น พลางยิ้มๆ “ข้าไม่ใช่คนสงวนท่าทีนักหรอก เจ้าเองก็ไม่ต้องมากพิธีอะไรนัก ตอนที่ไม่มีใคร เจ้ายังสามารถพูดเล่นกับข้ายังได้เลย” กล่าวจบยังแย้มรอยยิ้มพิฆาตออกมาอีกด้วย
ชั่วแวบเดียวนั้น หัวใจของเสี่ยวชุ่ยสั่นระริก กระหม่อมที่ถูกเชยขึ้นของนาง ในดวงตาเปี่ยมด้วยเงาของเขา ชั่วนาทีนั้นนางที่อายุสิบหกก็ใจสั่นไหวขึ้นเสียแล้ว
สำหรับแววตาเช่นนี้ของเสี่ยวชุ่ย ในใจของหมิงเช่อรู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางบอกกับตนนั้นจะถูกต้อง ใช้วิธีนี้เป็นไปได้ว่าจะย่นระยะเวลาการทำงานได้ลงเยอะทีเดียว
การเห็นเว่ยโก๋กงสำหรับหมิงเช่อนั้นอันที่จริงก็เป็นความปรารถนาของเขาเรื่อยมา เมื่อก่อนเรื่องราวในครอบครัวพันกันยุ่งเหยิงไปหมด บวกกับตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะควรจะเอ่ยปากอย่างไร จนกระทั่งได้พบผู้หญิงคนนั้น ในที่สุดเขาก็มองเห็นความหวัง เพียงแต่เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งคงหนีไม่พ้นเรื่องอย่างว่า เขาเองก็เป็นผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง ย่อมหนีไม่พ้นความปรารถนาทางโลกได้อยู่แล้ว
“คารวะเว่ยโก๋กง” นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเว่ยโก๋กง พี่เขยที่ตนเรียกขาน ส่วนพี่สาวของเขาคนนี้ เขาเองก็ชื่นชอบเป็นอย่างมาก รูปโฉมในตอนแรกนั้น เป็นที่เลื่องลือกันทั่วเมืองหลวง ในวัยเด็กตนยังเคยใจเต้นไปกับเขาด้วยแหนะ
เพียงแต่ตอนที่ได้เห็นเว่ยโก๋กง เขายังคงรู้สึกว่าพี่สาวนั้นควรค่าอยู่ ดูท่าทีขึงขังยิ่งนัก แต่กลับมีคุณธรรมตามวิถีมนุษย์พึงมี รูปโฉมนั้นใช้คำว่าหน้าตาดูมีสง่าราศีมาบรรยายก็ไม่เกินจริงไปเลยสักนิด
“ฮ่าๆ คนกันเอง เจ้าเรียกข้าว่าพี่เขยก็ได้ ข้าจะยินดีกว่านะ” เว่ยโก๋กงถึงกับมีระดับอารมณ์เช่นนี้ นั่นไม่ใช่ความดีธรรมดาสำหรับเจ้าบ้านที่มีต่อคนนอก
“ขอรับ พี่เขย” ระหว่างผู้ชายด้วยกันควรจะมีความเบิกบาน หมิงเช่อย่อมไม่อาจบิดพลิ้ว ซ้ำเขายังมองออกว่าเว่ยโก๋กงไม่ได้ชอบคนแบบนั้นเท่าใดนัก ถ้าหากไม่ชอบ ก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขามอบหมายงานให้ตนทำแล้ว
“ดี ดี ข้าชอบผู้ชายที่ดูสดชื่นแบบนี้แหละ อู่เย็น ญาติผู้น้องของเจ้าคนนี้ไม่เลวเลย ในเมื่อพบปะกันแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปทำความคุ้นเคยกับกิจการของจวนเว่ยของพวกเรากันเสียหน่อย”
เดิมทีเสี่ยวชุ่ยเตรียมตัวจะติดตามหมิงเช่อออกไปด้วยกัน กลับถูกเขาส่งสัญญาณทางสายตาให้ จึงหยุดชะงักฝีเท้า สิ่งที่สาวใช้คนหนึ่งควรจะเรียนรู้มากที่สุดก็คือหมั่นสังเกตสีหน้าและวาจา เสี่ยวชุ่ยเข้าใจดีว่าสายตาของหมิงเช่อเมื่อครู่นี้หมายความว่าอย่างไร
ซินเหยาเห็นว่าเสี่ยวชุ่ยจ้องมองสายตานั้นและแน่นิ่ง บนใบหน้ายังผุดเผยแววเรื่อแดงน้อยๆ หัวใจก็พลันกระตุก ถึงแม้ในความทรงจำของนางจะไม่มีประสบการณ์การตกหลุมรักของหญิงสาว แต่ว่านางยังพอเข้าใจได้บ้าง ก็ไม่รู้ว่านี่คือเรื่องดีหรือเรื่องเลวร้ายกันแน่สินะ
“เสี่ยวชุ่ย เป็นอย่างไรบ้าง” ซินเหยาเดินเข้าไปลูบหัวไหล่เสี่ยวชุ่ยป้อยๆ ก่อนเอ่ยถามเสียงนุ่ม
“ห้ะ เอ๋?” ความคิดของเสี่ยวชุ่ยยังอยู่ที่ตัวของหมิงเช่อ ถูกซินเหยาตบเข้ามาแบบนี้ ก็สะดุ้งโหยงในบัดดล
“เฮ้อ” ซินเหยาเห็นเสี่ยวชุ่ยเป็นถึงขนาดนี้ จึงทำได้เพียงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ทอดมองไปทางสายตาของหมิงเช่อและมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งขนัด
เห็นซินเหยาเป็นแบบนี้ เสี่ยวชุ่ยก็แลบลิ้นออกมาอย่างกระดากอาย ดึงซินเหยาเอาไว้และเอ่ยอย่างออดอ้อน “ซินเหยา เอาล่ะ เป็นข้าผิดเอง พวกเราเข้าไปพูดในห้องเถอะ”
“ซินเหยา ข้าจะบอกเจ้านะ คุณชายหมิงเช่อคนนั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน อีกอย่างยังหน้าตาทรงภูมิขนาดนั้น ทุกครั้งที่เขามองผู้คนสายตาก็จะดูอ่อนโยนแบบนั้นตลอดเลย” พอเข้าห้อง เสี่ยวชุ่ยก็เริ่มพูดเป็นน้ำไหลไฟดับ แต่หัวข้อสนทนายังคงโคจรรอบหมิงเช่อไม่ยอมหยุด
ซินเหยามองทางเสี่ยวชุ่ยที่หมกมุ่นไปแล้ว บัดนั้นก็มีความรู้สึกว่าเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว ความรักของสาววัยกระเตาะนี่มันดูเร็วเกินไปหน่อยกระมัง
“เสี่ยวชุ่ย ลืมงานหลักของเจ้าไปแล้วหรือ” ซินเหยาได้ยินว่าฮูหยินใหญ่เคยเรียกหาเสี่ยวชุ่ยไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่อ้อมค้อม และพูดจุดประสงค์ที่นางเรียกเสี่ยวชุ่ยให้หยุดออกมาตรงๆ
“เอ่อ ซินเหยา นี่ยังไม่เท่าไหร่เลย มันจะมีอะไรไปได้อย่างไรกันเล่า” เสี่ยวชุ่ยบิดผ้าเช็ดหน้าพลางทำอู้อี้ ก็หมายความว่าไม่ยินยอมให้ซักถาม
แต่ว่าซินเหยาไม่เหมือนกัน นางหลักแหลม ต่อให้เป็นเสี่ยวชุ่ย คนที่นางเห็นว่าเป็นน้องสาวคนนี้ นางเองก็สามารถแยกแยะออกว่าในน้ำคำของนางนั้นเป็นจริงหรือเป็นเท็จ นับตั้งแต่เสี่ยวชุ่ยมีแววตาแอบทอประกายบางอย่าง ซินเหยาก็รู้แล้วว่าเสี่ยวชุ่ยจะต้องมีเรื่องปิดบังแน่นอน
“เสี่ยวชุ่ย มองตาของข้า บอกข้ามาเถิด นี่จะเป็นผลดีกับเจ้า” ซินเหยาหันไปที่ร่างของเสี่ยวชุ่ย และมองทางเสี่ยวชุ่ยอย่างระแวดระวัง ในแววตามีความคาดหวังเต็มประดา แววตาเช่นนี้ซินเหยาไม่เคยเปิดเผยต่อผู้อื่นมาก่อนเลย
“ซินเหยา” เสี่ยวชุ่ยรู้ว่าซินเหยาฉลาดมาก แต่นางไม่รู้ว่าทำเช่นนี้จะถือว่าทำไม่ดีต่อหมิงเช่อหรือไม่ นางไม่อยากทำไม่ดีต่อหมิงเช่อเลย
“เสี่ยวชุ่ย เจ้าเป็นสาวใช้คนหนึ่ง เหตุใดคนผู้นั้นจึงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างพิเศษ หรือไม่ก็เขาทำมันแบบนี้กับทุกคน” สำหรับความไม่หลักแหลมของเสี่ยวชุ่ย ซินเหยาคงทำได้เพียงใช้วิธีนี้โน้มน้าวนางให้พูดออกมาว่ามันจะได้ผลหรือไม่
“ซินเหยา เจ้าว่าอะไรนะ ข้าเป็นเพียงสาวใช้คนหนึ่ง สถานะของคุณชายหมิงเช่อไม่ใช่อะไรที่ข้าจะคู่ควรเลย วางใจเถิด ข้ามิอาจลืมเลือนหน้าที่ของตนได้หรอก” พอเสี่ยวชุ่ยได้ยินซินเหยากล่าวเช่นนี้ ถึงแม้ในใจจะไม่เบิกบานนัก แต่กลับไม่ได้ใส่ใจอะไร นางมั่นใจว่าไม่มีอะไรเล็ดลอดไปจากสายตาของซินเหยาไปได้แน่
“เช่นนั้นก็ดี เอาล่ะ บอกข้ามาสิว่าเจ้าอยู่ทางนั้นสบายดีหรือไม่” ซินเหยาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ทว่าในใจของนางกลับยังคงเป็นทุกข์
เสี่ยวชุ่ย เจ้าคิดว่าข้าทำเพื่อให้เจ้าปฏิบัติภารกิจอะไรเสร็จสิ้นงั้นหรือ เพียงแต่เจ้าเองไม่ได้สังเกตว่าแววตาของหมิงเช่อนั้นมันแปลกพิลึกขนาดไหน ข้าเพียงแต่กำลังปกป้องเจ้าก็เท่านั้น
ซินเหยาแอบเอ่ยเงียบๆ ในใจ ทว่านางกลับไม่สามารถพูดอะไรกับเสี่ยวชุ่ยได้เลย หรือบางทีถ้าหากนางพูดไปแล้ว เสี่ยวชุ่ยเองก็คงจะไม่เข้าใจ เช่นนั้นนางคงทำได้เพียงลงมือเอง หรือไม่ก็ใบหน้านี้ของนางอาจจะมีประโยชน์บ้างก็ได้
“เจ้าจะแอบมองข้าไปถึงเมื่อไหร่กัน” จู่ๆ หมิงเช่อก็ปริปาก หมุนกายมามองหญิงสาวเบื้องหน้าราวกับลดตัวลงมามองก็ไม่ปาน
หญิงสาวแสร้งทำเป็นเกือบจะชนหมิงเช่อ จากนั้นร่างกายก็เบนออกทางด้านข้างเล็กน้อยก่อนจะล้มโครมลงกับพื้น
“ระวัง ข้าทำแบบนี้ทำให้เจ้าตกใจจริงๆ แล้วอย่างนั้นหรือ” หมิงเช่องัดไพ่ใบสุดท้ายโอบซินเหยาขึ้นมาจากพื้น
ซินเหยาแสร้งทำเป็นตกใจและขืนออกมาจากอ้อมอกของหมิงเช่อ “บ่าวไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ คะ…คุณชายหมิงเช่อโปรดอภัยด้วย” ท่าทีของซินเหยาดูเหมือนกระต่ายเสียขวัญ นัยน์ตามองล่อกแล่กไปทั่วสารทิศ ไม่กล้ามองคนเบื้องหน้าเลยสักนิด
หมิงเช่อไม่เพียงแต่ไม่โกรธเท่านั้น แต่ยังยิ้มๆมองทางซินเหยาอย่างสนอกสนใจ “ข้าอยากรู้นัก เหตุใดทุกครั้งที่เจ้าเจอข้าจะต้องหลบแทบไม่ทันเช่นนี้ด้วย ข้าเป็นเสืออย่างนั้นหรือ”
ซินเหยารีบก้มหน้างุด หากคนนอกมองเข้ามาคงเป็นเพียงแค่การก้มหน้าเพราะหวาดกลัวเท่านั้น แต่ดวงตาสองข้างของซินเหยาในวินาทีนั้นกลับผุดประกายสว่างวาบ ปลาติดแหเสียแล้ว
“บ่าวไม่กล้าเจ้าค่ะ คุณชายฐานะสูงศักดิ์ บ่าวเพียงแต่กลัวว่าจะบดบังสายตาของคุณชายก็เท่านั้นเจ้าค่ะ” ซินเหยากำลังทำให้ปลาติดแหทีละเล็กทีละน้อย การที่นางหว่านแหนั้นก็ต้องทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์สิถึงจะได้การ
“โอ้?” ครั้นหมิงเช่อได้ฟังนางพูดเช่นนี้ ก็เริ่มสงสัยรูปโฉมของซินเหยา คราวนี้เขาจึงนึกขึ้นได้ว่าทุกครั้งที่ซินเหยาเห็นเขามักจะก้มหน้าเสมอ ยังไม่รู้เลยว่านางหน้าตาเป็นอย่างไร หรือว่ามันจะอัปลักษณ์หาใดเปรียบกันแน่นะ “เจ้าเงยหน้าขึ้นสิ”
เมื่อซินเหยาได้ยิน ก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที “คุณชายโปรดอภัย บ่าวไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เจ้าค่ะ” ท่าทีเช่นนี้ น้ำเสียงเช่นนี้กลับยิ่งเป็นที่น่าประทับใจผู้คน
หมิงเช่อเองก็ไม่ได้ยืดยาด รีบเอื้อมมือไปเชยใบหน้าของซินเหยาขึ้น แวบนี้มันทำให้หลงใหลยิ่งนัก “นี่มันบดบังตาเสียที่ไหนกัน มันบดบังใจแท้ๆ ใบหน้านี้ช่างงดงามเพียงนี้เชียว” หมิงเช่อเอ่ยวาจาแบบอุทาน
พอซินเหยาได้ฟังคำชมนี้ บัดนั้นก็หน้าแดงขึ้นมา “คุณชายชมเกินเหตุแล้วเจ้าค่ะ ใบหน้านี้ของบ่าวไม่สมควรได้เงยหน้าขึ้นเลย”
การถ่อมตนของซินเหยายิ่งทำให้กลางใจหมิงเช่อเกิดระลอกคลื่น ที่แท้ก็เป็นผู้หญิงฉลาดจริงๆ ด้วย รูปโฉมงดงามขนาดนี้หากว่าต้องการหลุดพ้นจากสถานภาพสาวใช้อันที่จริงนางสามารถทำได้โดยสิ้นเชิง เพียงแต่นางกลับรู้วิธีที่จะถอยร่นออกไป
แต่ว่า หมิงเช่อรู้ว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา เช่นนั้นดูท่าเขาจำต้องเพิ่มความรุดหน้าของตนเองสักหน่อยแล้ว เมื่อนึกถึงตรงนี้ หมิงเช่อทำได้เพียงมองซินเหยาแวบเดียวก่อนจะจากไป
ซินเหยามองเงาหลังที่เริ่มไกลออกไปเรื่อยๆ ในดวงตาเปี่ยมด้วยแววเสียดสี ทุกอย่างนี้เป็นไปตามความคาดหมายของนาง แน่นอนว่านางไม่คิดว่าหมิงเช่อจะชอบตนอย่างรวดเร็วปานนี้ ขอให้รู้ไว้ว่าเขาไม่ใช่น้องชายไร้ประโยชน์คนนั้นของฮูหยินใหญ่เมื่อคราวก่อน คนผู้นี้ต้องฉลาดกว่าตั้งไม่รู้กี่เท่า