ตอนที่ 565 ไม่พบแม่นางซินเหยาแล้ว
วันที่สอง ซินเหยาผละตัวออกจากห้อง ไปเดินที่ถนนใหญ่ และพึงพอใจมากที่ได้ยินเพลงบทนั้นที่ตนให้นำออกไปดังทั่วทุกหนทุกแห่ง ซินเหยาแย้มยิ้ม ไม่นานก็มองเห็นอุตสาหกรรมแรกที่ตนเป็นคนริเริ่ม…มูลนิธิการกุศลใหญ่
“แม่นาง ท่านเดินมาผิดที่หรือเปล่า”
กลางวันแสกๆ หญิงสาวคนหนึ่งมาเดินในที่ที่เทียบเท่ากับหอนางโลม ไม่ว่าใครก็คิดว่านางมีปัญหาทางประสาทเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นจะมารนหาที่ทำไมกัน
“เอฟ วาย” ซินเหยาพ่นตัวโน้ตสองเสียงนี้ออกมา แม่เล้าคนนั้นแน่นิ่ง จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นต้อนรับขับสู้ซินเหยาเข้าไปอย่างกระตือรือร้น
สามารถล่วงรู้ถึงตัวอักษรสองคำนี้ก็ว่าไม่ง่ายแล้ว ตอนนี้ยังสามารถเอ่ยออกมาอย่างถูกต้อง ย่อมไม่ใช่บุคคลธรรมดาแน่ แม่เล้ารู้ดีแก่ใจอยู่แล้ว
มายังห้องชั้นบนห้องหนึ่ง ซินเหยายิ้มพลางมองทางแม่เล้าแวบหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยกำชับ “เอาน้ำมาให้ข้าหนึ่งกะละมัง”
แม่เล้าคนนั้นก็ไม่ใช่พวกตะเกียงเก่าประหยัดน้ำมัน พอจัดการธุระก็ทำอย่างคล่องแคล่วว่องไวยิ่งนัก
ตอนที่ซินเหยาแสดงใบหน้าที่แท้จริงนั้น แม่เล้าก็พลันจำซินเหยาได้ทันที “ข้าน้อยคารวะเจ้านาย” แม่เล้าคุกเข่าลงบนพื้นในบัดดล
ซินเหยายิ้มๆ พยุงแม่เล้าขึ้น “ลำบากน้าเฝิงแล้ว กิจการนี้ยังต้องรบกวนท่านคอยเฝ้าตั้งนานขนาดนี้” ถ้อยคำนี้ของซินเหยาจริงใจนัก นางจากไปตั้งนานขนาดนี้นอกจากหาน เกรงว่าก็คงจะมีแต่น้าเฝิงคนนี้เท่านั้นแหละที่คอยเป็นหูเป็นตาให้
ได้ยินถ้อยคำแห่งความซาบซึ้งของซินเหยา อันที่จริงน้าเฝิงก็ซาบซึ้งนัก อย่างน้อยเจ้านายคนนี้ก็ยังเป็นเจ้านายที่เอาใจใส่ผู้คน เช่นนั้นหากพวกเขาตรากตรำอย่างไรก็คุ้มค่าแล้ว
“เจ้าเอาจดหมายฉบับนี้ไปส่งให้กับผู้คนในธุรกิจทั้งหมด ข้าจะคุยธุระกับพวกเขาสักหน่อย” ซินเหยาเอาจดหมายที่ประทับตราปิดผนึกอย่างดียื่นให้น้าเฝิง
น้าเฝิงเห็นซินเหยาจริงจังขนาดนี้ ก็รู้ว่าธุระนี้จะต้องด่วนจี๋มาก จึงกระวีกระวาดรับจดหมายและออกไปส่งทันใด
ซินเหยาผุดรอยยิ้มแฝงเลศนัยลุ่มลึกออกมา “เว่ยโก๋กง ท่านว่าอย่างไร ข้าจะตะล่อมท่านเข้ามาในแหของข้าทีละน้อย ดูสิว่าถึงเวลานั้นท่านจะร้องขอกับข้าว่าอย่างไร”
ซินเหยากำมือแน่น ราวกับเว่ยโก๋กงอยู่ในกำมือของนางเรียบร้อยแล้ว
“เจ้านาย เจ้านายแย่แล้ว แม่นางซินเหยาหายไปแล้ว” ตอนที่สาวใช้วิ่งพรวดเข้าไปรายงานที่ห้องหนังสือนั้น โจว๋หยุนถิงยังคงยุ่งง่วนอยู่กับธุระก่อนหน้านี้จนเริ่มปวดเศียรอยู่เลย
ครั้นได้ยินเสียงเรียกโหวกเหวกของสาวใช้ ก็พลันตกใจ มือที่เขียนตัวอักษรอยู่สั่นระริกขึ้นมา และเคลื่อนไปด้านข้างเล็กน้อย กระดาษวาดก็ทำเสียไปทั้งแผ่น
สาวใช้เห็นว่ามือที่สั่นไหวของโจว๋หยุนถิงนิ่งแล้ว จึงเลื่อนมองตามมือนั้นไปบนโต๊ะ สายตาจ้องนิ่ง ก่อนจะรีบคุกเข่าลงบนพื้นอย่างลนลาน “เจ้านายโปรดอภัย ภาพวาดของเจ้านายเสียหมดแล้ว บ่าวสมควรตาย”
โจว๋หยุนถิงตั้งสติ มองทางสาวใช้ โบกมือเพื่อแสดงว่านางไม่ได้ทำผิดอะไรเลย
ซินเหยา เหตุใดเจ้าไม่เชื่อข้าบ้าง หัวใจโจว๋หยุนถิงเจ็บปวดเล็กน้อย หวนนึกถึงอดีตของพวกเขา เห็นชัดว่ามีความรักและเกลียดชังร้อยประสานกันอยู่ในความสัมพันธ์
“เจ้านาย ทางด้านน้าเมิ่งมีข่าวคราวบ้างแล้ว” ขณะที่โจว๋หยุนถิงจมดิ่งในภวังค์แห่งความสับสนและรวดร้าว หานกลับนำข่าวดีเรื่องหนึ่งมาบอก
นับว่าโจว๋หยุนถิงยังตระหนักว่าหนทางนี้ยังต้องเดินอีกยาวไกล จึงเงยหน้ามองไปทางหาน ไร้ซึ่งความเศร้าหมองเมื่อสักครู่ไปแล้ว
ถึงแม้หานจะค่อนข้างสงสัย คิดว่าเป็นความผิดของตนเอง แต่ข่าวในตอนนี้น่าจะทำให้เจ้านายอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยกระมัง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” โจว๋หยุนถิงกลับไปนั่งลงบนตั่งอีกครั้ง มองไปทางหานพลางเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน
หานเองก็ไม่อ้อมค้อม รายงานข่าวคราวที่ได้รับมาให้โจว๋หยุนถิงฟัง “แต่เดิมพักนี้น้าเมิ่งกำลังค้นหาคนลึกลับผู้หนึ่งอยู่ ครั้งก่อนคนผู้นั้นพวกนางว่านายหญิงถูกจับตัวไป ซ้ำยังเอาของพกติดตัวของนายหญิงนางมอบให้ด้วย บอกว่านางจะต้องสร้างความปั่นป่วนในจวนเว่ย ยิ่งวุ่นวายเท่าไรยิ่งดี หลังจากบรรลุภารกิจแล้วจะเอาคนมาคืนให้” ตอนที่หานเอ่ยถึงช่วงหลังนั้นก็ลอบมองสีหน้าของโจว๋หยุนถิงอย่างระแวดระวัง น่ากลัวว่าเขาจะมีความหันหุนอะไร ถึงแม้ในส่วนของอุปนิสัยเจ้านายนั้นเขาจึงพอเข้าใจอยู่บ้าง แต่เพราะเจ้านายสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ซ้ำเขายังพอรู้เรื่องบางอย่างของเจ้านายมาบ้าง ก็เข้าใจว่าเจ้านายรับแรงกระแทกไม่ไหวนัก
โจว๋หยุนถิงหลับตาแน่น สูดลมหายใจ ตั้งสติของตนให้มั่น ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา มองทางหานพลางเอ่ยบัญชา “ส่งคนไปค้นหา ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องค้นหา แล้วก็ตามหาหมอชื่อดังนามว่าบิงให้ข้าด้วย ข้าต้องการเขา” ยามที่โจว๋หยุนถิงเอ่ยคำนี้ก็แฝงความเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
หานพยักหน้า ประสานมือคารวะพลางขอตัว ถึงแม้เจ้านายจะมีสีหน้าสงบอย่างยิ่ง แต่เขารู้ว่าตอนนี้เจ้านายเจ็บปวดมากแค่ไหน
หานออกไปแล้ว ทันใดนั้นก็คิดถึงเรื่องของซินเหยาขึ้นมา ตนยุ่งเสียจนลืมไปเลย ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าห้องไปถามไถ่เจ้านาย
“เจ้านาย ข้าน้อยอยากทราบว่าแม่นางซินเหยาเป็นอย่างไรบ้าง ครั้งก่อนข้าน้อยเห็นนางดูเหมือนจะไม่ค่อยสู้ดีนัก อีกอย่างยังคล้ายกับได้รับบาดเจ็บด้วย” หานก้มหน้ากล่าว ไม่ได้รับรู้ถึงสีหน้าของโจว๋หยุนถิงเลยสักนิดว่ามันย่ำแย่ขนาดไหน
โจว๋หยุนถิงมองหานอย่างเจ็บปวด “ข้าไร้ประโยชน์นัก ซินเหยาเห็นข้า ถึงได้อยากหนีไป ดังนั้นนางจึงบอกว่าไม่ต้องการให้คนเฝ้านาง ที่แท้นับตั้งแต่ตอนที่นางได้เห็นข้าก็วางแผนเตรียมจะหนีเอาไว้แล้ว ใช่แล้ว นางยังได้รับบาดเจ็บอีกด้วย เจ็บอยู่แท้ๆ ยังหนีไปอีก นางไม่มีอะไรเลย ออกไปจะใช้ชีวิตอย่างไรเล่า” ยิ่งพูด โจว๋หยุนถิงก็ยิ่งกังวลใจ ค้นพบว่าตนประมาทเลินเล่อขนาดนี้ได้อย่างไร หรือว่าใส่ใจเกินไปจนยุ่งกระนั้นเชียว?
หานไม่รู้ความสัมพันธ์ของโจว๋หยุนถิงและซินเหยา แต่ให้ระดับความใส่ใจของโจว๋หยุนถิงที่มีต่อซินเหยาแล้วก็พอจะรู้ว่าตำแหน่งของซินเหยาในใจโจว๋หยุนถิงนั้นไม่ได้กระจ้อยร่อยเลย
แต่ไม่รู้ว่าเพราะใช้เวลาร่วมกับซินเหยาหรือเปล่า เขานับว่าพอเข้าใจเกี่ยวกับซินเหยาบ้าง ในเมื่อนางเลือกหนีไป จะต้องมีการวางแผนที่ดีเอาไว้แล้ว คงจะไม่ประสบกับความยุ่งยากอะไรถึงจะถูก
“ข้าน้อยคิดว่าเรื่องพวกนี้เจ้านายวางใจได้เลยขอรับ ช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ข้าน้อยติดตามซินเหยานั้น เชื่อว่าในเมื่อนางตัดสินใจหนีไปอย่างเด็ดขาดแล้วก็จะต้องมีเหตุผลในการจากไปอย่างแน่นอน อย่างน้อยในช่วงคับขัน นางคงไม่ทำเรื่องเสี่ยงภัยเป็นแน่ คราวก่อนธุรกิจที่ข้าพัฒนาการนั้น อันที่จริงล้วนเป็นความคิดของแม่นางซินเหยาทั้งหมด” หานต้องการให้ถ้อยคำเหล่านี้ปลอบประโลมโจว๋หยุงถิงให้ได้มากที่สุด ไม่อยากให้เขาเปลืองสมองไปคิดกับเรื่องราวต่างๆ มากเกินไป เช่นนี้มันจะยิ่งไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายออดๆ แอดๆ ของเขา ไม่ดีเลย
“เฮอะ ไสหัวไป ไสหัวออกไปให้หมด” เว่ยโก๋กงปัดของบนโต๊ะ ของทั้งหมดกระจัดกระจายลงสู่พื้น มองไปยังคนที่คุกกายอยู่เบื้องล่าง โกรธจนหายใจฟึดฟัด
คนที่อยู่ด้านล่างได้ยินว่าเว่ยโก๋กงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้ ไหนเลยจะกล้าอยู่ต่ออีก รีบพากันหลบหนีเอาชีวิตรอดออกมาทันใด กลัวเหลือเกินว่าเพลิงโทสะของเว่ยโก๋กงจะแผดเผาพวกเขาจนหมด
“เป็นเศษสวะกันทั้งนั้น ถึงไม่มีวิธีอะไรเลย กิจการนี้จะเป็นอัมพาตแน่นิ่งแบบนี้อยู่ตรงนั้นเอง” คนหายไปจนเกลี้ยงแล้ว เพลิงโทสะของเว่ยโก๋กงยังคงลุกโหมระบายความโกรธของเขาอยู่ เขาบ่นพึมพำกับตัวเองไปพลาง
สาวใช้ที่ยืนปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง เรือนร่างนั้นสั่นเทาเล็กน้อย กลัวเหลือเกินว่าเว่ยโก๋กงจะไม่พอใจจนเห็นพวกนางกลายเป็นกระสอบทราย
เว่ยโก๋กงคิดถึงสถานการณ์ที่ซินเหยาสร้างขึ้นให้เขา โกรธจนฟึดฟัด ซ้ำผู้ที่อยู่เบื้องหลัง “มูลนิธิการกุศลใหญ่” คนนั้นก็เหมือนกับหายสาบสูญไปก็ไม่ปาน อีกอย่างพักนี้อยู่ๆ เขาก็ค้นพบว่าเบื้องล่างของคนผู้นั้นยังเปิดกิจการอีกมากมาย ก็อย่างเช่นคราวก่อนที่เขาตรวจสอบอุตสาหกรรมทุกโครงการที่มีรหัสลับว่าเอฟวายอะไรนั่น คิดไม่ถึงว่าตัวคนจะอันตรธานหายไปก็ไม่ปาน ตอนที่อยากหาก็ทำเอาเดือดเป็นฟองปุดๆ เชียว
“ใครก็ได้ ไปตรวจสอบเจ้าของ “มูลนิธิการกุศลใหญ่” แห่งนั้นให้ข้าทีว่าสรุปตอบรับคำมาแล้วหรือไม่ ตอนนี้ก็พอรู้วิธีนี้บ้างแล้ว” เว่ยโก๋กงเอ่ยคำอย่างเคร่งขรึม มองไปทางลูกน้องด้วยใบหน้าอึมครึมด้วยเช่นกัน
“ขอรับ ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้” ตัวปลิวออกไป คนที่ยังอยู่เมื่อกี้นี้ก็ไร้เงาไปตั้งนานแล้ว
มือกำแก้วชาเอาไว้ ใบหน้าของเว่ยโก๋กงผุดเผยแววดุร้าย “เพล้ง” แก้วถูกบีบจนแตกกระจาย เห็นได้ถึงกำลังภายในว่ามากมายขนาดไหน ความเดือดดาลบนใบหน้าปรากฏชัดในตัว เลือดหยดลงมาเหมือนหยาดฝน เขาไม่ได้รู้สึกถึงมันแม้แต่น้อย เพียงแต่ทอดมองออกไปยังที่ไกลๆ ด้วยสายตาดุกร้าว
ซินเหยาใช้สองนิ้วคีบจดหมายไว้ในมือ ใบหน้าผุดแววรอยยิ้มแฝงเลศนัย “ข้าบอกแล้วไงว่าอีกฝ่ายทนรอไม่ไหวแล้ว”
“เจ้านายช่างเฉลียวฉลาดนัก” น้าเฝิงยืนอยู่ข้างๆ เฝ้าดูทุกอย่างดำเนินไปตามแผนที่ซินเหยาวางไว้ และอดชื่นชมความหลักแหลมของซินเหยาไม่ได้
ซินเหยายิ้มๆ สายตาคู่นั้นที่มองน้าเฝิงนับว่าดีขึ้นหน่อยแล้ว
“นี่ก็เพราะน้าเฝิงจัดการธุระอย่างน่าเชื่อถือ จัดการให้ซินเหยาจนเสร็จเรียบร้อยไวขนาดนี้ ซินเหยาจึงสามารถดำเนินการขั้นต่อไปได้อย่างราบรื่นขนาดนี้ไง” ซินเหยาลุกขึ้นยืน หมุนกายไปกุมมือของน้าเฝิง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เจ้านายถ่อมตัวเกินไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นขั้นต่อไปพวกเราจะทำอย่างไรดี ตอนนี้ปลาติดแหหมดแล้ว พวกเราควรฉวยโอกาสโจมตีเอาชัยหรือไม่” แค่น้าเฝิงมองดูก็รู้ว่าไม่ง่าย นางผุดประกายแห่งความดุร้ายขึ้นมาแวบหนึ่ง
นิ้วดรรชนีข้างขวาของซินเหยาโบกไปมา “ในเมื่อตกปลา ถ้าใจร้อนคงจะไม่ได้กินเต้าหู้ร้อนเอาได้ ค่อยเป็นค่อยไป ปล่อยสายเบ็ดให้มันยาวกว่านี้หน่อย ค่อยๆ เพิ่มเหยื่อปลาเข้าไป มันย่อมวิ่งหนีไปไหนไม่รอดอยู่แล้ว” ซินเหยาเอ่ยแฝงนัยยะลุ่มลึก
ได้ยินซินเหยาเอ่ยเช่นนี้ น้าเฝิงก็ยิ่งรู้สึกว่าซินเหยามากความสามารถนัก
“เจ้านายมีเชาว์นัก”
ซินเหยาพยักหน้า “ขั้นต่อไปเจ้าตอบกลับมันไปก่อนว่าเจ้านายกลับมาแล้ว แต่ว่าต้องไตร่ตรองให้มากเสียก่อน พยายามตอบกลับแล้วยังสามารถให้เขารายงานสถานการณ์ฝั่งนั้นเข้ามาด้วยจะดีที่สุด” ซินเหยาคิดว่าหลังจากที่ตนไปแล้ว เว่ยโก๋กงคนนี้จะวิ่งโร่ไปยังสนามพื้นที่แบบไหนดี ควรรู้ว่าปัญหาที่นางสร้างให้เขานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแก้ไขเลย
น้าเฝิงพยักหน้า “ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
เห็นว่าน้าเฝิงจากไป ซินเหยาพลันรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย ดูท่าการบาดเจ็บคราวก่อนไม่ใช่อาการสาหัสธรรมดาเสียแล้ว นางดึงทักษะกำลังภายในของคลื่นสมองออกมาฝึกฝน คราวนี้จึงรู้สึกว่าร่างกายของตนสบายตัวขึ้นมากทีเดียว
นึกถึงเรื่องราวครั้งก่อน นางยังอยากลองดูสักหน่อย ตอนนี้นับดูแล้วกำลังภายในของร่างกายผ่านการฝึกฝนมาหลายครา นางเองก็เริ่มจะชัดเจนแล้วว่าตนมีพัฒนาการขึ้นบ้างแล้ว
หยิบเครื่องมือที่ใช้ปลอมกายเมื่อคราวก่อนออกมา ซินเหยาวาดภาพลักษณ์รูปโฉมของตนอย่างรวดเร็ว บางทีนางอาจจะพอไปพบเว่ยโก๋กงด้วยความบังเอิญได้บ้าง ไปโยนหินถามทางเสียหน่อยก็ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้เลยนี่นา
แต่ว่านางออกไปครั้งนี้ ยังไม่ทันได้พบเว่ยโก๋กงก็พบเข้ากับอีกสองคนอื่นแทน
“น้าเมิ่ง ท่านสบายดีกระมัง”
ได้ยินน้ำเสียงนี้ ซินเหยารู้สึกคุ้นเคยแปลกๆ ครั้นก็แยกได้ว่าเป็นเสียงของหาน หานกับน้าเมิ่งรู้จักกัน? นางซ่อนตัวแอบฟังบทสนทนาของสองคนในมุมมืด แต่ในใจกลับอึดอัดเล็กน้อย ใช้เวลาร่วมกับหานตั้งนานขนาดนั้นนางถึงกับไม่รู้เรื่องใดๆ เกี่ยวกับเขาเลยสักนิด
ครั้นเห็นท่าทีของน้าเมิ่ง ราวกับถูกเรื่องอะไรทำให้ประหวั่น เห็นชัดว่าค่อนข้างวิตกและร้อนรน
“อืม ข้าไม่ได้เป็นอะไร เพียงแต่คุณหนู…” น้าเมิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ทำเอาคนข้างๆ ได้ฟังเสียงสะอื้นไปด้วย
สีหน้าของหานเปลี่ยนไป แต่ยังคงพูดกับน้าเมิ่งอย่างราบเรียบ “ไม่เป็นไรหรอก เจ้านายส่งคนไปค้นหาแล้ว จากกองกำลังของเจ้านาย น่าจะหาพบได้ไวมาก ไม่อย่างนั้นท่านก็กลับไปกับข้าก่อนเถิด เจ้านายก็บอกว่าเห็นแก่ท่านที่แก่ตัวลงแล้ว ไม่อยากให้ท่านเกิดเรื่องอะไรไปอีกคน”
น้าเมิ่งได้ยินหานพูดเช่นนี้ จึงพยักหน้า ราวกับเห็นด้วยกับถ้อยคำของหาน
จากนั้นทั้งสองก็จากไปพร้อมกัน
ซินเหยาเดินออกมาจากมุมมืด มองไปยังเงาคนที่เดินเคียงกันไปสุดซอย เกิดความขัดแย้งอย่างผิดปกติในใจ
เจ้านาย? เป็นใครกันแน่ นางค้นพบเสมอว่าคนพวกนี้เอ่ยถึงเจ้านายซ้ำๆ ไม่ขาดสาย เจ้านายคนนี้มีตัวตนแบบไหนกันแน่นะ
หลังจากคิดมาสักพัก ซินเหยาจึงปล่อยวางเรื่องที่จะไปพบเว่ยโก๋กงเสีย แต่ยังคงหัวเราะที่เขาติดเบ็ด ประสิทธิภาพของการไหลเวียนโลหิตยังนับว่าดีนัก
“ข้าน้อยคารวะฮ่องเต้” ภายในห้องหรูหราห้องหนึ่งชายชุดดำผู้หนึ่งคุกเข่าลงแทบบาทของฮ่องเต้
ฮ่องเต้ซ่างกวนเหมิงห้าวทอดเนตรมองชายชุดดำคนนั้น “หาไปถึงไหนแล้ว” น้ำเสียงเย็นเยียบไม่มีความรู้สึกใดๆ
ชายชุดดำรู้ถึงอารมณ์ของซ่างกวนเหมิงห้าว จึงไม่ได้กวนน้ำให้ขุ่น “ทูลฝ่าบาท จากการตรวจสอบแหล่งที่อยู่ของแม่นางท่านนั้น ถูกคนลึกลับช่วยออกไป สุดท้ายดูเหมือนจะถูกวางตัวไว้ที่หน้าประตูคฤหาสน์ใหญ่แห่งหนึ่ง คฤหาสน์แห่งนั้นดูเหมือนจะเป็นจวนพักของนักธุรกิจที่มาจากเมืองหลวง”
ซ่างกวนเหมิงห้าวมุ่นคิ้ว “นักธุรกิจคนนั้นเป็นใคร ไปตรวจสอบมาให้ข้า มาจากเมืองหลวงรึ มาสถานที่ไกลโพ้นแบบนี้ทำไมกัน”
ไม่พัวพันกับคำถามข้อนี้อีก ขอเพียงรู้สถานที่ เช่นนี้ก็ง่ายต่อการหาตัวบุคคลแล้ว ในใจเขาคิดเช่นนี้ อารมณ์ก็มั่นคงขึ้นมากแล้ว ก่อนเอ่ยถามต่อไป “แล้วทางฝั่งเว่ยโก๋สูนั่นสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง มีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่หรือไม่ ข้าคิดว่าเขาคงจะควบคุมไม่อยู่อีกต่อไปแล้วจึงจะถูก