ตอนที่ 109
พอมอบเรื่องนี้ให้ทนายความจัดการต่อ ไวยาตย์ก็
เดินออกมาเลย
รออยู่ข้างนอกประมาณห้านาที ทนายความก็ถูก ฝนสิริไล่ออกมา มือของเธอยังถือไม้กวาดไว้ “ไสหัวไป! คิดจะมาขู่ฉันหรอ นึกว่าฉันกลัวรึไง?”
ทนายความมองไวยาตย์แวบหนึ่ง ส่ายหัวอย่าง จนปัญญาว่า “พูดกับเขาแล้ว เขาก็ไม่รู้เรื่อง”
ไวยาตย์มองไปยังฝนสิริที่ไล่ทนายความออกมา อย่างรุนแรง เป็นผู้หญิงที่ไม่มีความรู้เลยจริงๆ “เคยพูดก็ พอแล้วครับ เรากลับกันก่อนเถอะครับ!”
เพราะถึงยังไงเขาก็ทำตามหน้าที่
ไวยาตย์เพิ่งจะออกไป ฝนสิริก็โทรหาตมิสาทันที “ตมิสา วันนี้คนของบ้านนั้นมาอีกแล้ว ยังมีคนที่ชื่อไวยา ตย์อีก ยังหาทนายความมาขู่ฉันด้วย บอกว่าถ้าฉันไม่เอา ทะเบียนบ้านของปาณีให้ เขาก็จะฟ้องฉัน นี่มันทำเกิน ไปแล้วนะ ไม่กลัวกฎหมายบ้านเมืองเลยทำ ไง เธอต้อง ช่วยพี่นะ!”
ตมิสาที่เพิ่งจะยืนยันตัวตนของธามนิธิกับพี่ชวิศ มา “.”
เมื่อกี้เธอก็กำลังจะโทรหาฝนสิริอยู่พอดี พี่ชวิศ เพิ่งกลับมาวันนี้ เธอจึงถามคำถามนี้ไป ผลลัพธ์ที่ได้คือ พี่ชวิศพูดว่าไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะไม่เคยเจอธามนิธิรู้เพียงแต่ว่าข้างกายเขามีผู้ช่วยที่ชื่อว่าไวยาตย์…
ตอนนี้ได้ยินฝนสิริพูดถึงไวยาตย์ ก็สามารถยืนยัน ตัวตนของเขาได้ทันที
แล้วได้ยินมาอีกว่าฝนสิริไล่เขาออกไปจากบ้าน ก็ ยิ่งไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
ตมิสาพูดในสายว่า “พี่ พี่ให้ฉันจัดการเรื่องนี้ ฉัน เองก็จัดการไม่ได้นะ!”
“นี่….นี่มันอะไรกัน” ฝนสิริไม่เข้าใจ
ในสายตาของเธอ ครอบครัวของตมิสามีฐานะ หน้าตาทางสังคมดีที่สุดแล้ว
เธอจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น….. จะทำยัง
ไงดี?
“พี่รู้ไหมว่าธามนิธิเป็นใคร? พี่รู้ไหมว่าครอบครัว
ของเขาทำอะไร?”
“ไม่รู้ฝนสิริจะรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง?
ตมิสาพูดว่า “พี่รู้จักพื้นที่วิลล่าแถวเมืองชลธีของ พวกพี่ใช่ไหม?”
ตมิสารู้ดีว่า หากพูดไกลเกินไป ฝนสิริก็ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นเลยพูดเรื่องใกล้ตัวเธอ
ฝนสิริพยักหน้า “รู้สิ!”
พื้นที่วิลล่าตรงนั้นตกแต่งได้สวยงามมาก และ แน่นอนว่าคนในพื้นที่ของเมืองชลธีได้เพียงแต่มองเท่านั้น ด้วยฐานะการเงินของพวกเขาแล้ว ทั้งชีวิตนี้ก็ไม่ สามารถซื้อได้
“วิลล่าที่เมืองชลธี พี่เขยของธามนิธิเป็นคน บุกเบิกเอง” ในน้ำเสียงของตมิสานั้นมีความไม่ได้ดั่งใจ แฝงอยู่
เปลี่ยนเป็นคนอื่น ถ้ารู้ว่าเป็นบ้านวิสิทธิ์เวช ก็ เข้าไปเลียแข้งเลียขาตั้งนานแล้ว!
แต่ผลปรากฏว่า ฝนสิริไม่เพียงแต่ไม่เลียแข้งเลีย ขาเท่านั้น ยังจะล่วงเกินเขาอีก
หลังจากที่ฝนสิริได้ยินในสิ่งที่ตมิสาพูดแล้วถึง ขั้นอึ้งไปเลย พูดอย่างกระวนกระวายว่า “ถ้าอย่างนั้นพี่ ทำยังไงดี?”
“พี่รีบไปขอโทษเขาเลย ไปเกลี้ยกล่อมให้เขา กลับมา”
ฝนสิริวิ่งออกไปอย่างไวทั้งที่ยังไม่ได้วางสาย ไวยาตย์และทนายความกำลังเตรียมตัวจะขึ้นรถกลับ ฝน สิริรับวิ่งเข้าไปหา “นี่ๆ น้องชาย หยุดก่อน”
ไวยาตย์หยุดเดิน มองไปยังฝนสิริ ตอนนี้เขา กำลังโมโหอยู่ “มีธุระอะไรอีก?”
คงไม่ได้เป็นเพราะว่าเมื่อกี้ยังด่าไม่พอ ตอนนี้จะ มาหาเรื่องอีกหรอกนะ?
ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไวยาตย์จะไม่เกรงใจ เธอแล้วเหมือนกัน
ก็เพียงแต่สงสารปาณีเท่านั้นที่มีแม่แบบนี้
กลับเห็นฝนสิริทำหน้าตาเอาอกเอาใจ “คือว่า… เมื่อครู่ต้องขอโทษด้วยนะคะ ฉันเข้าใจผิดไปเอง คุณจะ เอาทะเบียนบ้านของปาณีไม่ใช่หรอคะ? ฉันไปเอาให้ คุณเดี๋ยวนี้เลย พอใช้เสร็จคุณค่อยให้คนอื่นส่งกลับมาก็ พอ! หรือว่าให้ฉันเข้าไปเอาในเมืองก็ได้นะคะ”
ไวยาตย์ขมวดคิ้ว เมื่อกี้เพิ่งไล่พวกเขาออกมา ไม่ ว่าพูดอะไรฝนสิริก็ไม่ยอมตกลง จู่ๆทำไมเกรงใจขึ้นมา ล่ะ?
นี่มันหมายความว่าอะไรกัน?
ไวยาตย์อดไม่ได้ที่จะหันไปมองทนายความที่ยืน อยู่ข้างๆ ทนายความก็ทำหน้างงเช่นกัน
ฝนสิริเห็นไวยาตย์ยืนอยู่ จึงพูดว่า “รอก่อนนะคะ ฉันเข้าไปเอาทะเบียนบ้านให้”