บทที่ 77 เจ้าคนเดียวเท่านั้น
มองยังเงาหลังของกู้อ้าวเวยที่จากไป จู่ๆ ทุ้งโจวก็ไอออกมาหลายครั้ง “ท่านอ๋อง ข้าน้อยคิดว่าท้ายที่สุดแล้วพระชายาก็เป็นเพียงแค่สตรีแรกแย้มนางหนึ่งเท่านั้น ท่านไม่ต้องให้นางรู้…”
“ตัวข้าเองก็ไม่อยากให้นางรับรู้ จะโทษ ก็โทษที่นางฉลาดเกินไปแล้วล่ะ” ซ่านจินจื๋อสะบัดชายเสื้อเดินออกไป และเดินประชิดด้านหลังของกู้อ้าวเวยตามที่สัญญาเอาไว้ ไม่ให้ห่างแม้แต่คืบเดียว
ทุ้งโจวทำเพียงทอดถอนใจเบาๆ และมองทางร่างไร้วิญญาณบนพื้น กำที่เท้าแขนอย่างแน่นหนา
คิดไม่ถึง คนของโหวเซ่อจะล่อใจแม่ทัพเฉิงไปได้โดยสมบูรณ์
กู้อ้าวเวยก้าวอย่างรวดเร็ว นางผลักไสไล่ส่งทุกคนที่ขวางทางโดยใช้นามของพระชายาอย่างไม่ใยดี นางสามารถเชื่อเขาได้ต่อไปหลังจากที่มองเห็นอุปนิสัยพื้นฐานที่น่ากลัวของซ่านจินจื๋อได้แจ่มแจ้งแล้ว
นางวินิจฉัยรักษาโรคให้แก่เหล่าทหารในอุโมงค์ลับภายใต้สายตาของซ่านจินจื๋อ บรรดาทหารเหล่านั้นต่างพากันกระซิบกระซาบกับตัวเองว่าแสงสว่างและความอบอุ่นกำลังมาเยือนแล้ว แต่ปลายนิ้วของกู้อ้าวเวยกลับเย็นเฉียบ นางปริปากเอ่ยเสียงต่ำ “ท่านอ๋อง นางศรัทธาว่าบนโลกนี้มีพระโพธิสัตว์หรือไม่”
“ถ้าหากมีเทพเจ้าโพธิสัตว์ เหตุใดพวกเราจึงยังต้องทุกข์ทรมานอยู่? ตัวข้าไม่ศรัทธา” ซ่านจินจื๋อเอ่ยตอบนาง
กู้อ้าวเวยขำพรืดออกมา “ก็เป็นเพราะมีเทพเจ้าโพธิสัตว์กำลังวัดมาตรอยู่ พวกเราถึงได้ต้องทนทุกข์ทรมาน กล้ำกลืนเคราะห์กรรมอันขมขื่นต่างๆ นานาของตนเอง”
หว่างคิ้วเลิกขึ้น ใบหน้าดุจน้ำค้างแข็ง ซ่านจินจื๋ออดคิดไม่ได้ นี่กู้อ้าวเวยกำลังตักเตือนเขาให้หวงแหนชะตาชีวิตของมนุษย์ให้มากๆ อยู่?
แต่ว่าผ่านไปสักพัก เขากลับหัวเราะอย่างไม่โกรธเคือง ลมกระแสน้ำในคุกใต้ดินนี้เย็นเฉียบกรีดกระดูก เขากลับฝังเมล็ดหนึ่งในใจ ปล่อยให้เมล็ดพันธุ์นั้นหยั่งรากงอกหน่อ เขาปรายตามองอย่างเย็นชา “เช่นนั้นตัวข้าคงไม่อาจปล่อยเจ้าไปแล้ว ข้าและเจ้าเดิมทีก็เป็นสามีภรรยา ก็ควรจะร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน”
“พูดมากระนี้ วันหน้าท่านอ๋องทำศึกสงครามก็จะต้องมีข้าร่วมแบ่งด้วย?” กู้อ้าวเวยรับคำพลางหัวเราะเบาๆ ปลายตากลับไร้ซึ่งแววแห่งรอยยิ้มแม้แต่นิดเดียว มีเพียงนิ้วเรียวที่พันผ้าพันแผลล้างพิษให้พวกเขาอย่างมั่งคง
“ต้องมีเป็นธรรมดา” บัดนั้นดวงตาของซ่านจินจื๋อวาววับขึ้นมา
กู้อ้าวเวยเฉลียวฉลาดเยี่ยงนี้ ซ้ำยังมีความเชี่ยวชาญด้านทักษะการแพทย์ ส่วนถ้อยคำเมื่อครู่นั้นดึงปลายเชือกที่รัดกระตุกบริเวณปลายหัวใจของเขาโดยไม่ตั้งใจ มันคันเสียจนสั่นไหว แต่กลับทำให้เขาสนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง
หากกล่าวว่าซูพ่านเอ๋อเป็นรักมั่นในชีวิตนี้ กู้อ้าวเวยผู้นี้ก็สามารถนับได้ว่าเป็นสตรีคนสนิทที่ไว้วางใจ
ทั้งชีวิตเขาได้รับการชีดขาด ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเฉยเมย แต่เพียงค้นพบเศษเสี้ยวความอบุอ่นจากซู่พ่านเอ๋อ ทว่าความมืดมิดและโกรธแค้นนี้ควรจะไปวางไว้ที่ใด ตอนนี้มีกู้อ้าวเวยอยู่ตรงหน้าเขาแล้วทั้งคน
“เช่นนั้นข้าย่อมต้องขอบพระคุณรู้เมตตาโดยธรรมชาติแล้ว” มุมปากกู้อ้าวเวยราบเรียบ โดยสงสัยว่าเหตุใดในถ้อยคำของซ่านจินจื๋อถึงได้เบิกบานใจเยี่ยงนี้
“ตำแหน่งพระชายานี้ วันหน้าก็จะมีเพียงแต่เจ้าคนเดียวเท่านั้น” ซ่านจินจื๋อโน้มกายลงมา หยุดยั้งการเคลื่อนไหวถัดไปของนาง กอดนางเข้าสู่อ้อมอก กุมปลายคางของนางอย่างแน่นหนา จุมพิตแผ่วเบาที่มุมปากของนาง
กู้อ้าวเวยยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ซ่านจินจื๋อได้ฉุดนางเข้ากลางอ้อมกอดแล้ว และออกจากบริเวณดังกล่าว ทำเพียงบัญชาคนข้างกาย “ทำการรักษาตามวิธีของพระชายา”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร” ในที่สุดกู้อ้าวเวยก็โผล่หน้าออกจากทรวงอกภายในอ้อมกอดของเขาได้ “ซ่านจินจื๋อ! ท่านคงจำได้ว่าจุดประสงค์แรกเริ่มที่ให้ข้าเป็นพระชายาคืออะไร! อีกอย่าง เมื่อครู่พวกเราเพิ่งจะทะเลาะกันนะ!”
“เจ้านี่ช่างมีเสน่ห์นัก แต่เจ้าสามารถใช้มันได้เพียงกับข้าเท่านั้น” ในดวงตาของซ่านจินจื๋อราวกับมีดวงไฟกำละงลุกโชน และเมล็ดพันธุ์ที่ปลายหัวใจเขาหยั่งรากกระแทกเปิดหน้าดินเสียงดึงโครมตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว
นับตั้งแต่หลังจากมาถึงค่ายธารทหารโล่เสีย เขาก็ไม่อาจละสายตาจากกู้อ้าวเวยได้เลย
เขาคิดว่านี่เป็นตัวบ่งชี้ถึงความฉลาดปราดเปรื่องของกู้อ้าวเวย
แต่ตอนนี้ เขาแปลกใจว่ามันสิ่งที่เรียกว่าความปรารถนา
ทำได้เพียงให้สตรีที่ฉลาดและดื้อดึงคนนี้ใช้มันกับตนเองเท่านั้น ไม่อาจมอบนางให้แก่ผู้อื่นได้ มีเพียงกู้อ้าวเวยเท่านั้นที่เหมาะสมกับด้านมืดของเขา
“ข้าไม่จำเป็นต้องปกปิดมันจากเจ้า ขอเพียงข้าอยากทำอะไร เจ้าล้วนล่วงรู้ความคิดอ่านของข้า ตัวข้าชื่นชอบความรู้สึกนี้” ซ่านจินจื๋อพานางมายังมุมอับลับตาคน ข้างหูยังคงได้ยินเสียงโหยหวนอย่างทุกข์ทรมานจากการได้รับพิษของนายทหารที่อยู่ด้านนอกได้อยู่รำไร
ส่วนในสมองของกู้อ้าวเวยนั่นว่างเปล่า แต่กลับมองเห็นว่าบัดนี้ดวงตาของซ่านจินจื๋อแผดเผาทุกอย่าง
“ท่านอ๋องเดียวดายเพียงนี้เชียวหรือ” นางยกมือขึ้นกอบกุมใบหน้าของอีกฝ่ายเอาไว้ และได้รับคำตอบตอนที่ซ่านจินจื๋อตะลึงงันชั่วครู่ แขนเสื้อของนางพัวพันกับปลายอาภรณ์ของอีกฝ่ายโดยไม่ทันตั้งตัว ราวกับรอยคลื่นความร้อนละเอียดถี่โถมทับเข้ากลางใจของทั้งสองคน
ส่วนการซักไซ้ของกู้อ้าวเวยกลับยังมิได้หยุดลง สายตาของนางวาวระยับ “ท่านเห็นข้าเป็นตัวแทนของซูพ่านเอ๋อ เพราะว่าซูพ่านเอ๋อไม่อาจรับเรื่องราวสกปรกๆ เหล่านี้ที่ท่านทำลงไปได้ ใช่หรือไม่”
ซ่านจินจื๋อระเบิดหัวเราะเสียงดัง กู้อ้าวเวยเข้าใจเขาได้เพียงนี้!
แต่ก่อนหน้านี้เพียงไม่นานเขายังนึกอยากสังหารนาง และปฏิบัติกับนางเฉกเช่นสตรีผู้โง่งมนางหนึ่ง
“ซูพ่านเอ๋อในสายตาของท่านนั้นบริสุทธิ์ไร้ที่ติ และไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ กับโลกใบนี้ ส่วนข้า ดีครึ่งร้ายครึ่ง เอาแน่เอานอนไม่ได้ ดังนั้นท่านจึงต้องตาข้าเข้าให้แล้ว” กู้อ้าวเวยเอ่ยทีละคำ สองขาของนางเริ่มสั่นระริกเบาๆ ขึ้นมา
นางไม่รู้ว่าตนเองทำเรื่องอะไรลงไปถึงได้ดึงดูดซ่านจินจื๋อได้เยี่ยงนี้ แต่สัตว์ป่าดุร้ายแสนอันตรายตัวนี้กำลังอยู่เบื้องหน้าของนาง นางกลับไร้หนทางหยุดถ้อยคำในเรียวปากเอาไว้ได้
“ข้าต้องการให้เจ้าแทนที่ซูพ่านเอ๋อ ทำเรื่องน่าอับอายเหล่านั้นกับท่าน”
“ใช่” ซ่านจินจื๋อพยักหน้าตอบคำถามที่นางต้องการ “ข้าเพิ่งค้นพบ เจ้าเข้าใจข้าได้เพียงนี้ เข้าใจข้าได้มากเสียยิ่งกว่าเซียวไห่หรือพ่านเอ๋อเสียอีก สิ่งที่เจ้าพูดมานั้นถูกต้องทั้งหมด”
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ดึงดูดสายตาของอ๋องผู้นี้!
วินาทีถัดมากู้อ้าวเวยก็สะบัดเขาออกราวกับเห็นคนบ้าก็ไม่ปาน กลับไปยังถนนเส้นใหญ่ที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง มองเขาด้วยสายตาเย็นชา “ท่านอ๋อง ท่านบ้าไปแล้ว”
“ข้าไม่ได้บ้า” ซ่านจินจื๋อสาวเท้าเดินตามนางออกมา แสงทิวาสีทองทอฉายตามเงาร่างของเขา แต่กลับไม่มีความอบอุ่นใดๆ เลยสักนิด
“แต่ข้าไม่ได้ถูกทำให้เชื่องอย่างง่ายดายขนาดนั้น” กู้อ้าวเวยถอยร่นอีกหนึ่งก้าว นางกำกำปั้นแน่นขนัดอย่างเอาตายพลางหัวเราะเบาๆ ขึ้นมา “อีกอย่าง ความแตกต่างส่วนบุคคลนั้นไม่เหมือนกัน ข้ากับท่านอ๋องไม่มีความเหมือนกันแม้แต่ครึ่งเสี้ยว เรื่องราวเมื่อครู่ ข้าจะถือว่ามันเป็น…”
เครื่องพันธนาการของซ่านจินจื๋อยับยั้งถ้อยคำถัดมาทั้งหมดของนาง ซ่านจินจื๋อกำข้อมือของนางเอาไว้อย่างเอาตาย “ข้าสามารถปกป้องเจ้าจากการถูกโจมตีของพวกโหวเซ่อได้ ส่วนเจ้า แค่อยู่ข้างกายข้าเอาไว้ก็พอ”
ครุ่หนึ่งกู้อ้าวเวยรู้สึกว่าข้อมือของตนเองแทบจะขาดสะบั้น เหงื่อเย็นไหลตามปลายคางของนางไปจนถึงปกอาภรณ์ ทำได้เพียงปริปากเอ่ยก่อนที่ซ่านจินจื๋อจะทำอะไรบ้าๆ ต่อไป “ได้ ข้ารับปากท่าน”
บัดนั้นแววเพชฌฆาตในดวงตาของซ่านจินจื๋อหายสาบสูญไร้ร่องรอย ทำเพียงแต่ปรนแรงลงเล็กน้อย และมองที่นาง “เจ้ารู้หน้าที่อย่างนี้เรื่อยมา?”
“แน่นอน” กู้อ้าวเวยยังคงใช้ดวงตาหยาดเยิ้มคู่งามนั้นมองที่เขา “ข้ากลัวตายกว่าใครทั้งนั้น แต่ข้ายังคงไม่เข้าใจ ท่านต้องตาอะไรของข้ากันแน่ จู่ๆ ถึงได้บ้าคลั่งอะไรขึ้นมา?”
หลังจากที่ได้รับการคุ้มกันของซ่านจินจื๋อ นางยิ่งทวีการพูดเรื่อยเปื่อยมากยิ่งขึ้น
ส่วนซ่านจินจื๋อก็ให้อภัยต่อความไร้มารยาทของนางจริงๆ ด้วย ทำเพียงแค่มองนาง “เพราะเจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่โน้มน้าวข้าให้เห็นความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์”
“ท่านช่างน่าสงสารจริงๆ” กู้อ้าวเวยทอดถอนใจเฮือกหนึ่ง “แล้วก็ ข้าไม่ได้มีอะไรพิเศษสำหรับท่านเลยสักนิด ท่านจะต้องเสียใจภายหลังที่ให้ข้าอยู่ข้างกายท่าน”