บทที่ 80 เปลี่ยนอารมณ์
“ให้คนมารายงานก็ได้แล้ว ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องมาด้วยตนเอง”
กู้อ้าวเวยมองซ่านจินจื๋อผุ้ยืนอยู่เบื้องหน้าที่เปลี่ยนอารมณ์แบบกะทันหัน ในใจกลับบ่นอุบอิบ
ทั้งที่ก่อนหน้านี้นางไม่กลัวเขาเลย ปัจจุบันอุปนิสัยของเขาเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนแล้ว กู้อ้าวเวยกลับกังวลใจขึ้นมา หลบเลี่ยงสายตาของเขา และชักข้อมือของตนเองกลับมา
“คนที่ตัวข้านึกอยากโน้มน้าว ย่อมต้องแสดงความจริงใจเป็นธรรมดา” เสียงของซ่านจินจื๋อทุ้มต่ำ กำข้อมือของนางเดินไปทางข้างนอกอย่างไม่ให้นางปฏิเสธได้อีกครั้ง กล่าวเสียงเย็นชา “ค่ายธารทหารนี้ก็ดี ตำหนักอ๋องก็ดี วันหน้าไม่อาจมีคนดูหมิ่นเจ้าได้สักคน”
“มิน่าเล่าพวกเขาเห็นข้าต่างพากันเดินอ้อมกันหมด” กู้อ้าวเวยเห็นเขายังมีสีหน้าเย็นชา ค่อนข้างจนปัญญา “ท่านอ๋องโน้มน้าวคนก็ไม่ผิด แต่คนที่ท่านโน้มน้าวมักจะเป็นผู้ชาย พวกเขาย่อมชื่นชอบความมักใหญ่ แต่ข้าไม่ชอบ พวกเราปฏิบัติต่อกันอย่างที่เคยเป็นมาก่อนหน้าก็พอแล้ว”
กล่าวพลาง นางก็เร่งรีบชักมือของตนเองกลับ
ซ่านจินจื๋อมองนางแวบหนึ่ง ทำเพียงพยักหน้า “ตามที่เจ้าปรารถนา”
ลอบถอนหายใจโล่งอกอย่างลับๆ กู้อ้าวเวยรักษาระยะห่างช่วงหนึ่งกับซ่านจินจื๋อ เดินมาจนถึงคอกม้าและจูงหยินเอ่อออกมา บัดนั้นก็ลูบไล้แผงอกของนางด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ “หยินเอ่อ ทำไมเจ้าไม่กินให้อ้วนพีกันเล่า แม้นวันหน้าข้ากินจนอ้วนพีแล้ว เจ้าแบกข้าไม่ไปจะทำอย่างไรเล่า”
หยินเอ๋อเขี่ยฝ่ามือของนาง กู้อ้าวเวยพลิกขึ้นหลังม้าพลางหัวเราะเบาๆ กำบังเหียนให้มันวิ่งเหยาๆ ออกไปด้านนอก
ซ่านจินจื๋อเองก็ควบหลังม้า เซียวไห่ไล่ตามมาจากที่ไกลๆ “ท่านอ๋อง รอจนเรื่องค่ายธารทหารกลับสู่ภาวะปกติ ข้าจะพาคนกลับเทียนเหยียนอีกครั้ง”
“ดี” ซ่านจินจื๋อพยักหน้า ควบม้าตามกู้อ้าวเวยไป
มันกลับค่อนข้างน่าอึดอัดเล็กน้อย
ขามา ข้างกายซ่านจินจื๋อยังนำแม่ทัพและนายทหารหลายคน ทว่าตอนนี้กลับไป กลับเหลือเพียงพวกเขาสองคน แม้จะไม่รีบร้อน และกู้อ้าวเวยกลับไม่กล้าจะลดความเร็วลงเลย
แม้นท่านอ๋องผู้ที่อารมณ์แปรปรวนไม่มั่นคงผู้นี้โทโสขึ้นมาแล้วจับนางปิดปากจะทำอย่างไร
แต่น่าเสียดายที่ฟากฟ้าไม่เป็นใจ กู้อ้าวเวยอยากกลับไปให้เร็ววัน แต่ตอนที่เดินทางเร่งรีบยามค่ำคืนกลับติดแหงกอยู่ในวัดร้างตอนขามา ฝนตกหนักกระทบหลังคาเสียงซัดซ่า
ซ่านจินจื๋อมาจากค่ายทหาร ไม่นานนักก็ก่อกองไฟขึ้น แต่น่าเสียดายที่ไม่อาจออกไปล่าสัตว์ข้างนอกได้
โชคดีที่เป็นยามใบไม้ผลิ ก่อนหน้านี้กู้อ้าวเวยไม่ได้หลับเลยสักแอะ บัดนี้ง่วงสุดฤทธิ์ หลังจากทานอาหารแห้งบางส่วนไปแล้วก็หดตัวไปหมายจะนอนในมุมอับเบื้องหน้า แต่ช่วงที่สะลึมสะลือ นางได้ยินเสียงกีบม้า จึงลืมตาโพลง เห็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งยกกล่องเดินเข้ามา ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นผู้คุ้มกันการขนส่ง
ผู้คุ้มกันการขนส่งเหล่านั้นรูปร่างสูงใหญ่ เห็นว่ากลางวัดร้างแห่งนี้มีสตรี ก็อดเหลียวมองอีกหลายแวบไม่ได้
ถูกมองแล้วก็ไม่อาจ แต่นางไม่สามารถนอนหลับลงได้ท่ามกลางสถานที่ที่มีบุรุษมากมายขนาดนี้ จึงลูบศีรษะพลางตะกายขึ้นมา ร่างกายที่เมื่อยล้ามาหลายวันบัดนี้ปวดแสบ ศีรษะก็เจ็บยิ่งนัก
“อย่ามอง” หัวหน้าผู้คุ้มกันการขนส่งเห็นว่านางตะกายขึ้นมา ก็รีบร้อนโบกมือให้คนไม่กี่คนไป
ผู้คุ้มกันการขนส่งกลุ่มหนึ่งเอากล่องมายึดครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งของวัดร้าง กู้อ้าวเวยจึงค้นพบว่าซ่านจินจื๋อได้อันตรธานไปแล้วเรียบร้อย กำลังนึกแปลกใจ ซ่านจินจื๋อก็เดินเข้ามา ในมือถือไก่ฟ้าที่ถอนขนแล้วตัวหนึ่ง ข้างหลังมีเฉิงยีและเฉิงเอ้อตามมาด้วย
กู้อ้าวเวยคร้านจะถามว่าเฉิงซานและชายชุดดำคนนั้นไปไหนแล้ว เห็นเพียงแต่ซ่านจินจื๋อย่างไก่โดยไม่เอ่ยคำ เอาปีกไก่และขาไก่วางในกระดาษน้ำมันและส่งให้นาง “รูปร่างของเจ้านี้ ลมพัดก็ปลิวหายไปแล้ว”
“ข้ากินตั้งมากมายในทุกๆ วันก็ไม่ได้สูญเปล่าเสียหน่อย” กู้อ้าวเวยกอดขาไก่พลางจ้องเขาแวบหนึ่ง
ซ่านจินจื๋อเองก็ไม่ได้เอ่ยคำต่อ เฉิงยีเฉิงเอ้อนั่งลงอยู่ด้านข้าง
ผู้คุ้มกันการขนส่งไม่กี่คนนั้นไม่กล้ามองเข้ามา พวกเขาย่อมรู้ว่าหยกพกที่เหน็บเอวของซ่านจินจื๋อนั้นประเมินราคาไม่ได้ คนที่มีฐานะเยี่ยงนี้ พวกเขาย่อมไม่กล้ายุแหย่เป็นธรรมดา
กินอาหารเสร็จแล้ว กู้อ้าวเวยยิ่งไม่มีความง่วงอีกแล้ว แต่ก็ไม่กล้าเดินเตร่ไปทั่ว จึงโยนขวดหยกในกระเป๋าคาดเอวให้แก่เฉิงยีเฉิงเอ้อ เฉิงยีเฉิงเอ้อก็รีบร้อนรับเอาไว้ “นี่คืออะไร”
“ธูปหอมสะกด เพิ่งเรียนไปก่อนหน้านี้” กู้อ้าวเวยขว้างขวดยาจินช่วงออกไปอีกครั้งอย่างทระนง เห็นว่าเฉิงยีเฉิงเอ้อรับเอาไว้อย่างเป็นลำดับ ก็รู้สึกปลาบปลื้มปรีติใจยิ่งนัก
มีวรยุทธ์ก็ดี ยอดเยี่ยมกว่าเล่นกลเสียอีก
เฉิงยีเฉิงเอ้อรีบซุกซ่อนยาเอาไว้อย่างเร่งด่วน ไม่ได้สังเกตเห็นความคิดอ่านเล็กน้อยที่เบิกบานใจขนาดนี้ของกู้อ้าวเวย
ตอนที่ผู้คุ้มกันการขนส่งที่อยู่ด้านข้างได้ยินคำว่าธูปหอมสะกดก็ดึงสติกลับมา ดวงตาคู่งามของกู้อ้าวเวยจ้องพวกเขาเขม็ง ไม่ยอมเสไปทางอื่น
“มองอะไร” ซ่านจินจื๋อยังยกมือขึ้นปิดดวงตาของนางเอาไว้
กู้อ้าวเวยรีบร้อนคว้ามือตรงหน้าลงมา เห็นสีหน้าซ่านจินจื๋อราวกับว่าไม่ค่อยพอใจ จึงเอ่ยเสียงแผ่วพลางยิ้ม “ท่านยังคิดว่าข้าเป็นพระชายาที่ท่านสู่ขออย่างเป็นทางการกระนั้น? พวกเราไม่ได้มีห้องหอ อีกอย่างยังพอความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน อย่ารบกวนข้าดูกล่องเลยน่า”
ซ่านจินจื๋อไม่ได้หยุดยั้งอีกต่อไปจริงๆ ด้วย แต่กลับรู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวเล็กน้อยที่แนบกับหัวไหล่ของกู้อ้าวเวย
กู้อ้าวเวยมองไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ละสายตากลับมา ยืดกายลุกขึ้นยืนพลางเดินเข้าไป คุกเข่าฟุบตัวลงไปสูดดมบริเวณใกล้เคียง ขมวดคิ้วมองทางพวกเขา “พวกเจ้าเป็นคนของสำนักเยียนหยู่เก๋อ?”
นางฉุกคิดขึ้นได้ ก่อนหน้านี้ฉีหรัวเอาพงหญ้าของสำนักเยียนหยู่เก๋อให้นางจำนวนไม่น้อย ดูเหมือนว่าจะเป็นกลิ่นแบบนี้เลย
“ใช่แล้ว แม่นางคือ?” ผู้คุ้มกันการขนส่งคนนั้นมองเข้ามาอย่างระแวดระวัง
“ข้าเป็นสหายกับคุณหนูฉีเอ้อร์ ก่อนหน้านี้นางยังมอบพงหญ้าบางส่วนให้แก่ข้า เพียงแต่ข้ามิได้พกมาด้วย” กู้อ้าวเวยยิ้มบาง “ช่างบังเอิญยิ่งนัก ไม่สู้กลับเทียนเหยียนไปด้วยกัน?”
ขอเพียงไม่ให้นางไปกับซ่านจินจื๋อเพียงลำพัง ทุกอย่างก็ราบรื่นไปหมด
“ดีสิ” ผู้คุ้มกันคนอื่นๆ รีบตอบรับในทันที กู้อ้าวเวยเสวนากับพวกเขาพักหนึ่ง จนกระทั่งกลางดึกหลายคนผล็อยหลับไปแล้ว กู้อ้าวเวยจึงฟุบกลับไปยังมุมอับอีกครั้ง ลันอนหลับสนิทไป
ซ่านจินจื๋อพิงอยู่ข้างๆ กองไฟถูกมอดดับไปแล้ว เขากลับทำเพียงเหม่อมองกู้อ้าวเวยที่อยู่ในมุมมืด
กู้อ้าวเวยหน้าตางดงามกว่าซูพ่านเอ๋อหลายส่วน แต่กลับแต่งกายไม่สู้ซูพ่านเอ๋อ อาภรณ์บนเรือนกายนั้นมักจะเรียบง่ายถือเป็นดีที่สุด เรือนผมมักจะถูกรวบอย่างลวกๆ มีเพียงช่วงเวลาที่ต้องออกไปพบปะผู้คนเท่านั้นจึงจะมวยขดขึ้นไป
เมื่อครู่หากแม้นมิใช่เขาเข้ามา ผู้คุ้มกันการขนส่งเหล่านั้นคงคิดเพียงว่านางเป็นหญิงสาวที่ผ่านทางมา
ไม่มีหยกพกปิ่นประดับ เรือนกายทั้งบนล่างไม่ได้มีเค้าโครงของพระชายาเลยสักครึ่งเสี้ยว
แต่ว่า นางกลับเหมาะสมกับตำแหน่งพระชายามากกว่าบุคคลใดๆ
เขาค่อยๆ งีบหลับไป ออกเดินทางพร้อมกันกับบรรดาผู้คุ้มกันการขนส่งเหล่านั้นในเช้าวันถัดมา กู้อ้าวเวยเดินไปด้วยกันกับพวกผู้คุ้มกันการขนส่งไม่กี่คนนั้นอย่างห้าวหาญ พูดคุยเคล้าหัวเราะ ส่วนซ่านจินจื๋อควบม้าเดินอยู่เบื้องหน้าไกลๆ ตอนที่ใกล้จะถึงเทียนเหยียนแล้วจึงเอ่ยถามไถ่เฉิงเอ้อ “ยามปกติพระชายาชื่นชอบเสวนากับคนอื่นๆ ในเทียนเหยียนหรอกหรือ”
“ยามปกติพระชายาชื่นชอบขลุกตัวอยู่ในโรงยา แต่ออกจากห้องแล้วมักจะออกโรงผสมไปทุกอย่าง” เฉิงเอ้อตอบอย่างสั่นเทา
“ไม่เพียงแต่เท่านั้น ยามปกติพระชายามักจะทำอะไรยามที่ใจคิดปรารถนา จากนั้นก็ปล่อยมันไม่ไปใยดี” เฉิงยีที่อยู่ข้างๆ รับคำกล่าวต่อ
ซ่านจินจื๋อทำเพียงสดับฟัง ในใจสั่นไหวระริก ข้างกายของเขาไม่เคยมีผู้หญิงนางหนึ่งกลายเป็นหมากเลยสักครั้ง เขาควรจะใช้ประโยชน์จากมันอย่างไรดีหนอ