บทที่ 141 โหวเซ่อตระกูลจู
โพรงจมูกเต็มไปด้วยกลิ่นเครื่องแป้งอันหวานฉุน
ยามนี้ไม่เพียงแค่สองมือที่ถูกคล้องใส่โซ่ตรวนอย่างแน่นหนา กระทั่งขาสองข้างที่ซ่อนอยู่ในเครื่องนอนก็ถูกมัดไว้ด้วยเชือก แต่ไม่นับว่าแน่นหนาเท่าไหร่นักจนกระทั่งข้อเท้าของนางหลุดเป็นอิสระได้ในที่สุด
สภาพห้องที่อยู่เบื้องหน้านั้นเต็มไปด้วยบรรยากาศอันคลุมเครือ ม่านบังอันอ่อนนุ่มถูกย้อมด้วยสีชมพูและสีม่วงอ่อน เหนือฉากกั้นเป็นภาพร่างชายหญิงนั่งตรงข้ามกันที่เลียนแบบได้สมจริง ที่ต่างมองกันและกันด้วยความเขินอายและความขัดเคือง แต่กลับไม่มีรสนิยมเอาเสียเลย
นี่มันที่ไหนกันเนี่ย?
ผ่านไปสักครู่บานประตูก็ถูกเปิดออก หญิงสาวแต่งกายยั่วยวนนางหนึ่งกำลังถือของเข้ามา เมื่อเห็นนางรู้สึกตัวแล้วก็ป้องปากหัวเราะเบาๆ ผ้าในมือถูกหยิบขึ้นมาเพื่อเช็ดคราบฝุ่นบนใบหน้าของนาง “ในเมื่อท่านฟื้นแล้วก็ลุกขึ้นมาทานอะไรหน่อยเถิด”
เมื่อลองเขย่าโซ่ตรวนบนข้อมือ คล้ายกับว่าไม่ใช่อันเดียวกันกับก่อนหน้า อันที่ใส่อยู่ตอนนี้หนักกว่ามาก
หญิงสาวคนนั้นหัวเราะเบาๆ ยกถ้วยขึ้นมาป้อนนางพลางกล่าวว่า “ข้ายังไม่เคยป้อนให้กับผู้หญิงมาก่อนเลยนะเนี่ย”
“ที่นี่คือ?” กู้อ้าวเวยพิงที่ด้านข้างอย่างเกียจคร้าน มีข้าวป้อนถึงปากนับว่าเป็นความสุขสบายอย่างหนึ่ง
“แขกสั่งข้าไว้ไม่อนุญาตให้บอก ข้าไม่กล้าพูดไปเรื่อย” หญิงสาวคนนั้นยังคงมีรอยยิ้ม แต่กู้อ้าวเวยกลับสามารถเห็นความหวาดกลัวจากนางแม้ในชั่วพริบตา
กู้อ้าวเวยไม่ได้ไล่ต้อนถามจนมุมอีก และไข้ลมหนาวของนางก็ยังไม่ได้รักษาให้หายดี
รอจนนางทานข้าวเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวนางนั้นจึงได้บีบนวดที่ข้อมือที่เคล็ดขัดยอกพลางบ่นปนตำหนิ “แม่นางตัวกระจ้อยร่อยกลับทานได้มากกว่าแขกที่ข้าเคยพบเสียอีก”
กู้อ้าวเวยเลิกคิ้วแต่กลับไม่ได้สนใจนาง หญิงสาวต้องการอยู่คุยกับนางสักครู่ กู้อ้าวเวยแสดงความหงุดหงิดไม่ให้ความสนใจ ราวกับมั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ยอมบอกเรื่องใดๆแก่นางเลย นางจึงมีท่าทางไม่พูดไม่จาสักคำ หญิงสาวนางนั้นจึงได้แต่จากไปด้วยความขัดเคือง ขณะที่ประตูเปิดออกก็ไม่รู้ว่ากำลังพูดคุยกับใครที่ด้านนอก
นิสัยคุณหนูนั่นน่าเบื่อนัก ทำไมคุณชายถึงให้ข้าเข้าไปปรนนิบัติดูแล….”หญิงสาวคนนั้นเอ่ยปากอย่างเกี่ยงงอน
หลังจากนั้นเสียงแหบแห้งเล็กน้อยของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น แล้วเสียงกระซิบที่คลุมเครือของผู้หญิงก็ดังตามขึ้นมา
“ช่างเถอะ ตามนางไป”
ด้านนอกมีเสียงเดินโซซัดโซเซดังเข้ามา ในตอนนั้นกู้อ้าวเวยไม่ต้องการใคร่ครวญว่านั่นคือเสียงอะไร
เมื่อประตูถุดปิดและมีเสียงลงกลอน นางจึงได้นำโซ่ตรวนหอบขึ้นมา คิดหาวิธีฉีกเข็มขัดผ้าที่อาบย้อมไปด้วยกลิ่นเครื่องแป้งออก จึงลงจากเตียงด้วยเท้าอันเปลือยเปล่าและย่ำลงบนพรมนุ่มๆ แต่นางกลับสีหน้าดำคล้ำ
นางได้ยินเสียงคุยหยอกล้อเหล่าชายหญิงที่ดังมาจากด้านนอก ไม่นานก็เข้าใจได้ในทันทีว่าสถานที่นี้คือหอโคมเขียว หรือ ซ่อง นั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้นหลังกำแพงที่กำลังกั้นอยู่นี้นางยังสามารถได้ยินเสียงเกี้ยวพาราสีเหล่านั้นอีกด้วย
ลองเปิดหน้าต่างดูแต่กลับไม่ขยับแม้แต่น้อย
คิดๆดูแล้วที่หอโคมเขียวปิดตายหน้าต่างเช่นนี้ก็เพื่อไม่ให้เหล่าหญิงสาวหนีไปล่ะนะ
นางใจกล้าเปิดหน้าต่างที่หันไปฝั่งระเบียงทางเดินซึ่งยกขึ้นได้อย่างง่ายดาย เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นบรรดาชายหญิงไม่น้อยที่กำลังแสวงหาความสุขสำราญ นางที่กำลังตะลึงอย่างโง่งมอยู่ ประตูที่ลงกลอนไว้ก็ได้ถูกเปิดออก บุรุษร่างสูงผู้หนึ่งที่เดินกึ่งโอบหญิงสาวได้เดินเข้ามา
บนข้อมือของบุรุษมีรอยสักขนาดใหญ่ หญิงสาวผู้นั้นสวมเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด ใบหน้าขวยเขินแดงซ่าน
“อะไรกัน? ยังคิดหนีอีกหรือ?” บุรุษเอ่ยเสียงต่ำ เพียงแค่สะบัดแขนเสื้อก็ฝากแผลเล็กๆเป็นรอยแนวบนใบแก้มของกู้อ้าวเวย นี่ถึงกับทำให้กู้อ้าวเวยจำต้องก้าวถอยหลังอย่างระมัดระวัง
“เจ้าเป็นใคร? จูเซล่ะ?” กู้อ้าวเวยหอบโซ่ตรวนอันหนักอึ้งนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง แล้วจึงวางโซ่ตรวนไว้บนโต๊ะ เมื่อพิจารณาบุรุษตรงหน้าอย่างละเอียดกลับรู้สึกว่าเขาหน้าตาคล้ายคลึงกับจูเซอยู่หลายส่วน “เจ้าก็เป็นคนตระกูลจูงั้นหรือ?”
“ข้าเป็นพี่ชายของจูเซ ชื่อจูเย่น”เขาแค่นเสียงเย็นแต่กลับโอบหญิงสาวในอ้อมกอดพุ่งขึ้นเตียงทันที
กู้อ้าวเวยตกตะลึงชั่วครู่จึงลุกขึ้นเพื่อต้องการออกไป ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ประตูถูกปิดลงอีกครั้ง ทว่าเสียงหอบครางต่ำของหญิงสาวคนนั้นดังขึ้นไม่หยุด เคยได้ยินมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ยังได้เห็นอีกด้วย ไม่ใช่เรื่องเลย
นางกางฉากกั้นด้วยอาการหน้าแดงจึงค่อยกล้านั่งที่หน้าโต๊ะตัวนั้น แล้วนั่งชันแขนบนโต๊ะเอามืออุดหูตนเอง
ไม่กล้าฟังเสียงอันคลุมเครือที่ทำต้องให้คนเขินอายจนหน้าดำหน้าแดง
การทรมานครั้งนี้ยังดำเนินต่อไปจนครู่ใหญ่ จนกระทั่งชายหนุ่มผู้เปลือยท่อนบนมาดึงร่างนางขึ้นจากโต๊ะ โซ่ตรวนพลันหล่นลงพื้น นางจึงอุทานขึ้นด้วยความเจ็บปวดที่ข้อมือ หลังจากนั้นก็ถูกบุรุษจับช่วงคางไว้อย่างแน่นหนา “หน้าตาเจ้าก็สวยไม่เลว แต่ได้ยินมาว่าเจ้าไม่เป็นที่โปรดปรานสักนิดเลยหรือ?”
เกิดความเจ็บปวดขึ้นที่คาง ข้อมือทั้งสองข้างก็ไม่รู้ว่าถลอกปอกเปิกไปหรือยัง แต่เจ็บปวดอย่างรุนแรง
ทว่ากู้อ้าวเวยกลับเงยหน้าขึ้นโดยต้องการจะคว้าเอวของชายคนนั้นไว้ แต่กลับถูกทิ้งระยะห่างเสียก่อน
“ข้าไม่เป็นวรยุทธ์” กู้อ้าวเวยมองการกระทำของชายผู้นั้นอย่างนึกขัน
สีหน้าจูเย่นแสดงความประหลาดใจ ราวกับได้ยินอะไรบางอย่างที่ตลกสิ้นดี “เป็นไปได้อย่างไร?”
กู้อ้าวเวยคิดว่าตนนั้นพอรู้อะไรบางอย่างจึงได้ถามต่อ “ทำไม? ข้าควรจะเป็นวรยุทธ์งั้นหรือ?”
นางนำโซ่ตรวนนำกลับไปวางไว้ที่โต๊ะอีกครั้ง พบว่าผิวหนังบนข้อมือถลอกเปิดออกอย่างที่คาดจนในใจรู้สึกสิ้นหวัง
พวกคนของโหวเซ่อคอยระแวดระวังตน โซ่ตรวนนี้ดูเหมือนจะหนักเป็นอย่างยิ่ง
จูเย่นขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง บีบฝ่ามือนางแล้วสัมผัสที่ไหล่ของนาง “เจ้าเป็นทายาทของตระกูลหยุนจริงหรือ?”
“ใช่” กู้อ้าวเวยกลับพยักหน้าด้วยความจริงจัง
ในแววตาของจูเย่นเกิดร่องรอยความประหลาดใจวาบผ่าน ในที่สุดเขาก็สวมเสื้อคลุมและลากนางเดินออกมาจากห้อง ทว่าจูเซที่อยู่บนระเบียงทางเดินก็มาถึงพอดี ในมือคล้ายกับว่ากำลังถือยามาด้วยสองห่อ เมื่อเห็นจูเย่นพฤติกรรมหยาบคายก็รีบเข้ามาหา “พี่ นางเป็นสตรีที่ดีคนหนึ่งนะพี่”
“หลบไป” จูเย่นเอาแต่ลากข้อมือของกู้อ้าวเวยเดินตรงไป โดยไม่คำนึงถึงเท้าเปลือยเปล่าของนางสักนิด ไหนจะโซ่ตรวนอันหนักอึ้งในมือ นางได้แต่ถูกลากเดินไปอย่างซวนเซ
ทว่าขณะเจ็บปวดข้อมือ นางกลับอดรู้สึกไม่ได้ว่าระหว่างพี่น้องคู่นี้ค่อนข้างแปลกประหลาด
จนในที่สุดกู้อ้าวเวยแทบจะถูกโยนเข้าไปในห้อง ภายในห้องนี้เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างใหญ่กว่าห้องก่อนหน้า และข้อมือของนางมีเลือดไหลออก นางจึงทำได้แค่ฝืนความเจ็บปวดคลานขึ้นมา จูเซก็ตามมาอย่างเร่งรีบ “พี่! พวกเรารั้งนางไว้ยังมีประโยชน์! พ่อนาง….”
“หุบปาก” จูเย่นปิดประตูลง ยาที่จูเซถือมาถูกโยนไปที่บนโต๊ะ “เจ้าก็อยู่ในห้องดีๆ ถ้าหากข้าเห็นว่าชายใดมาแตะต้องตัวเจ้า เจ้าคงจะรู้ว่า…”
“เป็นไม่ไม่ได้หรอกพี่” จูเซหน้าซีดเผือด
ในที่สุดกู้อ้าวเวยก็รู้แล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้จูเซถึงบอกว่าคนอื่นๆไม่ได้อ่อนโยนเช่นเดียวกับนาง
“ข้าจับเจ้ามา เจ้าไม่กลัวสักนิดเลยหรือไง?” จูเย่นฉุดดึงนางขึ้นมาด้วยสีหน้าเย็นชา ขณะมองข้อมือของนางที่มีเลือดไหล จึงคล้ายกับนึกถึงอะไรบางอย่างจพลันส่งเสียงกระซิบ “ใช่แล้ว ข้าเคยได้ยินว่าบนร่างของทายาทตระกูลหยุนล้วนมีตราสัญลักษณ์
กู้อ้าวเวยรู้สึกว่าเสื้อท่อนบนของตนถูกดึงออก ตัวอักษร หยุน(เมฆ)ตรงกระดูกไหปลาร้าก็ได้เผยสู่สายตาของจูเย่น