บทที่155 จุดอ่อนของราชวงศ์
ครึ่งค่อนคืนที่อากาศเย็นเล็กน้อย กู้อ้าวเวยคลุมเพียงเสื้อชั้นเดียวแล้วมือที่ถือพู่กันอยู่ก็เขียนไม่หยุด
ซู๋โหย่วเว่ยเฟิงเมี่ยวยื่นมือช่วยเหลือ นี่คือบุญคุณที่ช่วยชีวิต จึงตัดสินใจแล้วที่จะยังไม่จากไปถึงแม้ว่าจะเป็นภาระ ตอนนี้ก็ทำได้เพียงปกปิดชื่อเสียงเรียงนาม แต่ที่นี่คือโรงหมอ นางจึงได้เขียนใบสั่งยาเก็บไว้ให้
เฟิงเมี่ยวตื่นมากลางดึก รู้สึกหน่วงที่ท้องน้อย จึงทำให้นอนหลับยาก จึงก้าวเดินไปที่ลานบ้าน เห็นกู้อ้าวเวยเปิดหน้าต่างไว้ กำลังจับพู่กันเขียนอย่างเร่งรีบ โดยไม่สนใจดูแลบาดแผลบนข้อมือ
“ดึกเช่นนี้เหตุใดยังไม่พักผ่อน”
“หยุดพักเจ็ดวัน ข้าก็จะต้องไปจากที่นี่ ถึงเวลานั้นคงต้องขอยืมเงินของพวกท่านเล็กน้อย ดังนั้นข้าจึงได้เขียนใบสั่งยาพวกนี้เก็บไว้ให้ วันหน้าพวกท่านก็สามารถใช้ประโยชน์ได้” กู้อ้าวเวยค่อยๆยกมุมปากขึ้น แต่สีหน้ากลับซีดเซียว
เฟิงเมี่ยวถึงอย่างไรก็คงนอนไม่หลับ เลยถือโอกาสอยู่เป็นเพื่อนนาง เมื่อมองดูในใบสั่งยาอย่างละเอียดแล้ว มีสมุนไพรเป็นจำนวนมาก
ถึงแม้ว่านางจะไม่แตกฉานด้านการแพทย์ แต่ก็รู้เรื่องสูตรยากว่าสิบรสชาติก็ถือว่ามากแล้ว แต่สูตรยาในหนึ่งใบของกู้อาวเวยกลับมียี่สิบถึงสามสิบชนิด ถึงจะไม่เข้าใจสิ่งที่นางเขียนแต่กลับรู้สึกว่านางช่างเก่งกาจ
อยู่เป็นเพื่อนนางจนกระทั่งดึกดื่นค่อนคืน
กู้อ้าวเวยเมื่อเห็นเฟิงเมี่ยวนั่งหลับอยู่ข้างๆ จึงได้ประคองนางไปนอนลงบนที่นอนของตนด้วยความระมัดระวัง จากนั้นเขียนอีกสักพักก็ปวดบาดแผล นางจึงไม่กล้าฝืนทนมาก จึงได้ปิดหน้าต่างลง แล้วนอนฟุบลงบนโต๊ะหลับไปตลอดคืน
ทั้งชีวิตนี้ กลับอยู่ตัวคนเดียวเสมอ จนไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี
……
ภายในตำหนักอ๋องจิ้ง ซูพ่านเอ๋อที่เจ็บปวดจนนอนหลับไป
ซ่านจินจื๋อนั่งเฝ้าคนป่วยอยู่บนขอบเตียงโดยไม่ห่างไปไหน ลูกน้องที่ส่งออกไปกลับไม่มีใครนำข่าวดีกลับมา กู้อ้าวเวยก็ข่าวคราวเงียบหาย เขาร้อนรนดั่งไฟเผา แต่ก็ไม่ออกห่างจากซูพ่านเอ๋อแม้แต่น้อย
แหงนหน้าเฝ้าดูดวงจันทร์เพียงผู้เดียว ในใจขมุกขมัว
กุ่ยเม่ยนั่งเพียงลำพังไม่ได้พูดอะไร เวลาผ่านไปค่อนข้างนานถึงค่อยๆเปิดปากพูด: “ท่านอ๋อง ข่าวคราวของพระชายาเงียบหาย พวกเราควรเปลี่ยนทิศทางใหม่ดีหรือไม่ เพราะจุดอ่อนของท่าน ไม่สมควรแพร่งพรายออกไปอีกแล้ว”
“ความหมายของเจ้าคือ?” ดวงตาซ่านจินจื๋อพลันมืดครึ้มแล้วจางหายไป
“รัชทายาทคอยจับตาดูท่านอ๋องอยู่ หากตอนนี้ยังให้คนออกค้นหา ท่านอ๋องไม่กลัวว่าเขาจะเอาพระชายามาเป็นจุดอ่อนของท่านหรือ กักขังนาง เพื่อวันหน้านำมาเป็นเงื่อนไขในการต่องรอง” กุ่ยเม่ยพูดอย่างมีเหตุมีผล น้ำเสียงแข็งเล็กน้อย
ซ่านจินจื๋อเงียบไปนาน แล้วถึงยิ้มเย็นเยือก: “คำพูดพวกนี้ คงจะเป็นเซียวไห่ที่ให้เจ้ามาพูดให้ข้าฟัง”
กุ่ยเม่ยเพียงมองไปที่ท้องฟ้า กลับไม่พูดอะไรออกมา
ซ่านจินจื๋อเข้าใจดี เกิดอยู่ในราชวงศ์ จุดอ่อนทั้งหมดนั้น จะกลายเป็นอาวุธให้ฝ่ายตรงข้ามไว้จัดการเรา
ถ้าเพื่อเป็นผลดีกับพระชายาจริง ทางที่ดีก็ไม่ควรจะส่งคนออกไปตามหามากมายเช่นนี้
“เรียกคนที่อยู่ส่วนหน้ากลับมาให้หมด ให้พวกที่อยู่ในที่มืดไปค้นหา เฉิงยี เฉิงเอ้อก็ให้เรียกกลับมา นอกจากนี้ ก็ไปส่งสารถึงขันทีคนที่องค์ฮ่องเต้ไว้เนื้อเชื่อใจที่สุด ว่าก่อนหน้านี้ที่พระชายาโดนลักพาตัวไปนั้นเป็นเพียงความเข้าใจผิด นางเพียงแค่กลับไปยังหลิ่งหนานตระกูลหยุน ตอนนี้ส่งข่าวมาแล้ว”
ซ่านจินจื๋อเพิ่งพูดจบประโยคนี้ ก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาที่ฟังไม่ได้ความออกมาจากภายในห้องของซูพ่านเอ๋อที่อยู่ด้านหลัง จึงได้หันหลังกลับเข้าไป ก็เห็นซูพ่านเอ๋อร้องโอดครวญด้วยความเจ็บ จึงประคองนางไว้ในอ้อมแขนด้วยความทะนุถนอม
วันที่สอง ทหารทุกนายถูกเรียกกลับ อ๋องจิ้งประชวรไม่ออกว่าราชกิจ ตำหนักอ๋องจิ้งปิดประตูส่งแขก ไม่เห็นใครเลย
ซ่านเซียนหยวนและทุ้งโจวเป็นคนแรกๆที่ถูกสกัดอยู่ด้านนอก ซ่านเซียนหยวนจึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ต่อว่าซ่านจินจื๋อที่กระทำต่อชายาเพียงคนเดียวเช่นนี้ กลับถึงตำหนักองค์ชายสี่อย่างไม่พอใจ
ทุ้งโจวก็ถูกเซียวไห่ดักไว้ พูดถึงความจำเป็นอย่างระมัดระวัง
ทุกอย่างถึงได้สงบลงอีกครั้ง
และในเวลานี้ กู้อ้าวเวยก็ลุกตื่นขึ้นมาจากโต๊ะแต่เช้า นำใบสั่งยาที่เขียนไว้ในคืนที่ผ่านมามาจัดเรียงอย่างละเอียดอีกครั้ง แล้วนึกถึงฝันร้าย ที่ทำให้นางเหงื่อออกท่วมตัวทั้งที่อากาศเย็น แม้แต่มือที่กำลังจัดเรียงสิ่งต่างๆ ก็สั่นเล็กน้อย
เฟิงเมี่ยวที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนนอนอยู่ที่นี่ มองเห็นกู้อ้าวเวยที่เหงื่อเต็มหน้า ปลายนิ้วสั่นเล็กน้อย
“เจ้าไม่ได้นอนหลับตลอดทั้งคืนใช่หรือไม่? หากว่าท่านพี่มาเห็นเจ้าที่เป็นคนป่วยยังฝืนทำงานขนาดนี้จะต้องเฆี่ยนตีใครบางคนเป็นแน่” เฟิงเมี่ยวก็รีบประคองนางให้นั่งลง กู้อ้าวเวยจึงได้นวดขมับไปมา: “ข้าเพียงแค่ฝันร้ายเท่านั้น”
ฝันว่าซ่านจินจื๋อควักหัวใจของนางออกจากร่าง
มองดูที่นอกหน้าต่าง ฉับพลันนางก็รู้สึกไม่ค่อยอยากจะกลับไปแล้ว แต่ขอแค่อยู่ชางหลาน นางก็หนีไม่พ้น
เฟิงเมี่ยวตบเบาๆยังไม่ทันได้ปลอบโยนนาง ซู๋โหย่วเว่ยก็ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว เพียงคิดว่าเอ่อร์ชิงนอนหลับเป็นเพื่อนภรรยาตลอดทั้งคืน จึงรีบเดินเข้ามาด้วยอาการวุ่นวายและเมื่อยล้า: “จดหมายนั่นรอเดี๋ยวข้าจะช่วยส่งออกไป ตอนนี้มาช่วยเจ้าตรวจชีพจรก่อน”
กู้อ้าวเวยจึงขยับข้อมือของตนยื่นออกไป ใบหน้าของซู๋โหย่วเว่ยเต็มไปด้วยความเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้(อุปมาว่า ไม่สบอารมณ์ต่อความไม่ได้ดั่งใจตามที่ตนหวังไว้)มองไปที่นาง: “ร่างกายของเจ้านี้ ทำงานอย่างหักโหมเป็นเวลานานจนเจ็บป่วย เจ้าเองก็เป็นหมอ ไม่รู้เชียวหรือ?”
ละอายใจจนต้องย้ายสายตา แต่ก่อนนางก็ทำงานหนักเช่นนี้ พักผ่อนน้อย
ถูกเฟิงเมี่ยวและเด็กสาวอย่างอาโม่ตามดูทั้งวันทั้งคืนไม่คลาดสายตา จนถึงวันที่สอง นางถึงได้เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เหมาะสม แล้วออกจากลานบ้าน เดินเรื่อยๆไปทั่ว
บนตำบลซ่านหลินนี้กลับมีพร้อมทุกอย่าง นางหยุดพักที่ประตูทางเข้าศาลเพียงสักครู่ จากนั้นก็หลบออกมา จนมาถึงหน้าโรงหมอโหย่วเว๋ย โรงหมอแห่งนี้ค่อนข้างใหญ่โต ข้างในกลับมีเพียงซู๋โหย่วเว่ยคนเดียวที่กำลังยุ่ง ตรงหน้ามีหลายคนที่กำลังต่อคิว
นางอยู่ว่างๆไม่ค่อยได้ ยังคงเดินเข้าในโรงหมอ พาตนเองเข้าไปช่วยอีกแรง
“อาการหนาวสั่นของเด็กน้อยดีขึ้นมากแล้ว ยาก็ไม่จำเป็นแล้ว กลับไปก็พยายามทานอาหารรสอ่อนให้มาก กินอิ่มแปดส่วนก็พอ” กู้อ้าวเวยพูดบอกกับหญิงสาวที่กำลังต่อคิวอยู่ จากนั้นก็ไปช่วยซู๋โหย่วเว่ยหยิบยา
เฟิงเมี่ยวกำลังถือกล่องอาหารเข้ามาจากด้านหลังโรงหมอ อาโม่ก็เกาะติดกู้อ้าวเวย: “พี่สาว ท่านเมื่อไหร่จะออกเดินทางหรือ?”
“อาโม่ ถามคนอื่นแบบนี้ได้อย่างไรกัน ช่างเสียมารยาทจริง” เฟิงเมี่ยวจึงรีบดึงนางให้กลับมา
กู้อ้าวเวยชะงักเล็กน้อย แล้วพูดต่อ: “อยู่อีกไม่กี่วันก็ไป ถึงเวลาคงจะต้องขอยืมเงินจากอาโม่แล้ว อาโม่ยืมให้หรือไม่?”
“แต่ว่าท่านพ่อยังไม่ได้ดูใบสั่งยาของท่าน ยังให้ยืมไม่ได้” อาโม่ทำปากจู๋พร้อมเอามือไขว้หลัง เฟิงเมี่ยวนวดหัวของตนเองไปมาทั้งอยากร้องไห้ทั้งอยากหัวเราะ ซู๋โหย่วเว่ยที่อยู่ตรงนั้นถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ จึงได้หลีกที่นั่งให้กับกู้อ้าวเวยเพื่อลองดู ส่วนตนเองก็ไปดูใบสั่งยาพวกนั้น
กู้อ้าวเวยตรวจชีพจรทีละคนๆ จนกระทั่งตรวจแผลเก่าบนปลายแขนของชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง ก็ขมวดคิ้วและพูดว่า: “หมอคนก่อนที่ช่วยรักษาให้เจ้าใช้ยาผิดตัวแล้ว เกรงว่าอาจจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้ได้ ท้องฟ้ามืดครึ้มและฝนตกเป็นเรื่องปกติที่จะมีอาการปวด
“ทำไมถึงใช้ยาผิด! ข้าดูเจ้าก็เป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่งดงามแล้วยังอ่อนวัยก็คงเป็นหมอต้มตุ๋น” นายพรานรูปร่างสูงใหญ่ตรงหน้ายืนขึ้นทันที
กู้อ้าวเวยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านี่ไม่ใช่เทียนเหยียน กำปั้นนั้นสามารถทุบลงมาได้ทุกเวลา
แต่นางก็ชะงักเพียงเล็กน้อย ไม่รอให้ซู๋โหย่วเว่ยเข้ามา นางก็ยิ้มพร้อมลุกขึ้นยืนแล้ว: “หากว่าไม่ยอมรับ เจ้าก็ไปหาหมอท่านนั้นมาเผชิญหน้ากับข้า ลองดูก็รู้”
“เจ้ายัยเด็กนี่เหรอสามารถมี……”
“ถ้าเจ้าไม่มีความรู้ด้านการแพทย์ ก็พูดไม่ได้ว่าข้าผิดหรือถูก” กู้อ้าวเวยนั่งลงอีกครั้ง แล้วตรวจชีพจรคนถัดไปพร้อมเขียนใบสั่งยา ชายสูงใหญ่นั่นทำได้เพียงโมโหโทโสพร้อมจากไป
กู้อ้าวเวยก็ไม่อ่อมน้อมถ่อมตน ซู๋โหย่วเว่ยเมื่อดูสูตรยาในมือจนหมดแล้ว ก็ถามด้วยเสียงต่ำ: “นี่คือสูตรลับที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของเจ้า?”
“ประมาณนั้น ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถแลกกับเงินค่าเดินทางได้บ้างไหม ข้าอยากไปหลิ่งหนานสักหน่อย”
“ถ้าเป็นหลิ่งหนาน ทางที่ดีเจ้าควรเช่ารถม้าคันหนึ่งไป ประมาณสิบวันก็ถึงแล้ว” ซู๋โหย่วเว่ยดวงตาลุกวาว รีบเข้าไปใกล้ๆ: “แต่ว่า ถ้าเจ้ามีความสามารถในการรักษา สามารถช่วยข้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่? ถ้าหากสำเร็จ ข้าจะหาคนไปส่งเจ้าที่หลิ่งหนาน