บทที่ 214 ผิดอะไร
“ท่านจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ เขารักเดียวใจเดียวต่อซูพ่านเอ๋อเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะรักท่านมากเพียงใด แต่ท่านก็ไม่อาจแข่งขันกับซูพ่านเอ๋อได้หรอก” ฉีหรัวลุกพรวดขึ้นมา เดินมาหยุดข้างกายกู้อ้าวเวยพลางโน้มกายลง ใช้พละกำลังที่แรงมากที่สุดคว้าหมับเข้าที่ไหล่ของนาง หวังเพียงว่าจะเตือนสตินางได้บ้าง “ไปจากที่นี่เสีย ก็เหมือนกับที่เมื่อก่อนท่านเคยตักเตือนข้า เมื่อครู่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่พ้นเป็นเพียงวาทศิลป์ของผู้ชายเท่านั้นเอง…”
“ข้าไม่อโหสิกรรมให้” กู้อ้าวเวยช้อนสายตาขึ้นมองนาง ในดวงตาคู่นั้นมีแววชาญฉลาดและเปี่ยมสติอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน “ข้าร้องขอชีวิตมนุษย์ตั้งมากมายต่อท่านยมบาล ตอนนี้ก็แค่อยากให้ท่านยมบาลไปดูซูพ่านเอ๋อบ้าง แล้วมันผิดอะไร”
นางเตือนกู้อ้าวเวยไม่สำเร็จ
ฉีหรัวห่อไหล่ลงมาอย่างสิ้นหวัง และยังคงมองนางอย่างเหลือเชื่อ
เดินซวนเซไปหลายก้าว ฉีหรัวถอยกลับมายังเตียงนอนอีกครั้ง ทรุดกายลงนั่งอย่างหดหู่ นางนวดขมับตัวเองด้วยอาการปวดหัว “ข้ามองท่านต่างไปจากเดิมแล้วจริงๆ ขอให้รู้ไว้ว่าคนที่ท่านเผชิญหน้าด้วยคือบุคคลยิ่งใหญ่ที่อยู่สูงศักดิ์กว่าปวงประชานับหมื่นเป็นรองแค่คนๆ เดียวเท่านั้น อย่าได้ทำเพื่อเรื่องราวในอดีต…”
“ถ้าหากข้าไม่ให้เขาลิ้มลองรสชาติความขมขื่นบ้าง ชีวิตนี้ของเขาคงจะราบรื่นตลอดทาง” ทันใดนั้นกู้อ้าวเวยก็เท้าแขนประคองตัวลุกขึ้นมา ความรู้สึกแท้ง ความเจ็บปวดที่อยู่ในช่วงท้องยิ่งกระตุ้นให้นางขบคิดอย่างชัดเจนมากขึ้น “ข้าจะทำลายความโชคดีและคุณงามความดีในอดีตของเขาให้หมด นี่คือสิ่งที่เขาสมควรได้รับ”
ฉีหรัวนึกอยากหยัดกายขึ้นมาพยุงนางเอาไว้
ทว่ากู้อ้าวเวยทำเพียงคลายมวยผมออก และหยิบผ้าผืนหนึ่งขึ้นมารวบเรือนผมไปไว้หลังกายเท่านั้น นางพยุงขอบโต๊ะมาจนถึงโต๊ะตัวเล็กๆ ทีละนิด และรินชาร้อนให้ตัวเองหนึ่งแก้ว “และนี่ก็คือสิ่งที่ข้าควรจะทำ ไม่มีใครที่ชั่วชีวิตนี้จะได้รับพรสวรรค์พิเศษ และสามารถเป็นพรสำหรับปวงประชาได้ เขาไม่คู่ควรหรอก”
ฉีหรัวทำเพียงมองนางอย่างแน่นิ่ง หยาดเลือดทั่วเรือนกายต่างปะทุขึ้นมา
แต่ไรนางไม่เคยพูดฟุ้งซ่านเยี่ยงนี้มาก่อน ยิ่งไม่เคยทะเยอทะยานและดื้อรั้นขนาดนี้ด้วย และไม่สามารถทำความเข้าใจได้เลยว่าเหตุใดนางถึงได้สลัดกายออกมาจากความลำบากก่อนหน้าได้อย่างรวดเร็วปานนี้
“หากข้าเองก็สามารถกลายเป็นคนที่เหมือนท่านเพียงนี้ก็คงดี”
“ขอเพียงเจ้ายินดีจะจับมือกับข้า” กู้อ้าวเวยกระตุกมุมปากพลางมองไปทางนาง แต่ทั่วเรือนกายของนางเจ็บปวดอย่างร้ายกาจ แม้แต่แก้วชาก็แทบจะกำไว้ไม่อยู่แล้ว
“ถึงแม้มันเป็นเรื่องน่าละอายมากที่จะพูดขึ้นมา อันที่จริงข้าก็หวังว่าคนในเทียนเหยียนจะรู้โดยทั่วกัน…ข้าไม่ใช่หญิงสาวที่ออกเรือนไม่ได้ เพียงแต่ข้าถนัดทำธุรกิจเท่านั้นเอง” ฉีหรัวกระตุกมุมปากอย่างจนปัญญา
“เช่นนั้นก็ไปทำ เจ้ากับข้าเดิมทีก็เป็นคนประเภทเดียวกัน ต้องมีสักวันที่พวกเราได้ในสิ่งที่ปรารถนา” กู้อ้าวเวยเอาแก้วชาวางลงอย่างสั่นระริก หยาดเหงื่อดุจสายฝน “ตอนนี้ บางทีเจ้าก็อาจช่วยข้าได้ ไปเรียกซ่านจินจื๋อเข้ามาที”
ถึงแม้จะไม่รู้ว่านางคิดจะทำอะไร แต่ฉีหรัวก็ยินเดินตามฝีเท้าของนางดี
กู้อ้าวเวยคือสตรีที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่นางเคยเจอมา
นางสวมชุดตัวบางออกไปจากวิหารเฟิ่งหมิงอันไร้เงาคนแห่งนี้ มาถึงข้างประตูห้องหนังสือ สองมือยกขึ้นมาวางไว้ตรงช่วงท้อง ทำเพียงเอ่ยคำกับสาวใช้หน้าประตู “ข้าอยากพบท่านอ๋อง”
“ท่านอ๋องกำลัง…”
“หากพระชายาเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเจ้ารับผิดชอบไหมหรือ” ฉีหรัวเหลือบตามองสาวใช้ฝั่งนั้นแวบหนึ่ง
สาวใช้กลืนน้ำลายลงหนึ่งอึก ทำเพียงปัดเกล็ดหิมะบนบ่าออก และวิ่งไปทางเรือนหลักของซูพ่านเอ๋อ
ส่วนฉีหรัวตั้งแต่ต้นจนจบก็ยืนอยู่หน้าประตูห้องหนังสือ ปล่อยให้หิมะตกหนักกระทบบนใบหน้า
ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดบิดาถึงได้ร่วมมือกับท่านอ๋องใจจืดใจดำแบบนี้ไปได้นะ
ราวๆ ช่วงเวลาชั่วธูป ซ่านจินจื๋อถึงได้สาวเท้าเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ
ฉีหรัวยอบกายทำความเคารพ สายตาเย็นเยียบ “ร่างกายพระชายาอ่อนแอนัก ข้างกายกลับไร้คนดูแล ท่านอ๋องรู้บ้างหรือไม่”
ได้ยินถ้อยคำดังกล่าว ซ่านจินจื๋อทำเพียงแน่นิ่งเล็กน้อย ก่อนจะตระหนักได้ว่าเมื่อก่อนตนทำเพียงดูแลอาการป่วยของซูพ่านเอ๋อ แค่ส่งหมอคนหนึ่งเข้าไปรักษากู้อ้าวเวยเท่านั้น กลับลืมไปเสียสนิทว่าก่อนหน้านี้ตนออกบัญชาห้ามไม่ให้ใครก็ตามเข้าใกล้วิหารเฟิ่งหมิง
เขาหมุนกายไปเต็มแรง มุ่งหน้าเดินไปทางวิหารเฟิ่งหมิง
ฉีหรัวทำเพียงมองเงาหลังของเขา มองดูรอยเท้าหนักแน่นทีละย่างก้าวลงบนหิมะหนาๆ ซึ่งแตกต่างจากรอยเท้าเบาหวิวของเฉิงซาน พึมพำกับตัวเองเสียงเบาว่า “ท่านพูดถูก ท่านอ๋องมีใจให้ท่านอย่างแน่นอน”
บางที กู้อ้าวเวยอาจจะลากซ่านจินจื๋อลงมาจากม้าได้จริงๆ ก็ได้
ใครหวั่นใจก่อน ผู้นั้นก็จะตกสู่กองโคลนก่อน ถ้าอย่างนั้น เขาก็แพ้แล้ว
ซ่านจินจื๋อสาวเท้ามาถึงวิหารเฟิ่งหมิงอย่างรวดเร็ว สถานที่ดังกล่าวไม่ได้มีคนรับใช้คอยเปิดเส้นทางให้ผู้เป็นนายเลยตลอดทาง แม้กระทั่งเตาเล็กในเรือนก็ถูกปิดสนิท ประตูใหญ่ก็ถูกลงกลอนปิดตาย
“เหตุใดถึงไม่มีใครมาดูแล” ซ่านจินจื๋อเดือดดาล แต่กลับเห็นว่าประตูห้องหลักถูกปิดสนิท ในใจพลันหดหู่ “มีคนมาส่งหม้อถ่านให้พระชายาบ้างหรือไม่”
“กุ่ยเม่ยเคยเอามาส่ง” เฉิงซานหายใจไม่ทั่วท้อง
ก่อนจะตอบสนอง ซ่านจินจื๋อก็ได้ชักดาบยาวในมือของเฉิงซานออกมา และเจาะส่วนที่เปราะบางที่สุดของบานประตู คราวนี้จึงค้นพบว่าด้านในถูกสลักเอาไว้ตั้งนานแล้ว ซ่านจินจื๋อกระโดดเข้าไปโดยไม่คำนึงสิ่งใด มองปราดเดียวก็เห็นคนที่นอนหลับตาสองข้างอยู่บนเตียงนอน
ซ่านจินจื๋อรู้สึกว่าในใจของตนนั้นถูกของบางอย่างขุดฝังเอาไว้
เขาพุ่งไปที่เตียงและกอดตัวคนพร้อมกับผ้านวมขึ้นมาด้วยกัน นึกอยากพานางออกไปจากห้องที่อบอวลไปด้วยกลิ่นถ่านหินแห่งนี้ คนในอ้อมอกกลับค่อยลืมตาขึ้นมา มือที่ห้อยอยู่ข้างกายขยับสองที “ท่านช่วยข้าไว้ทำไมกัน…”
“เจ้าคือพระชายาของข้า” ซ่านจินจื๋อกอดคนที่ไร้น้ำหนักในอ้อมแขนให้แน่นขึ้นกว่าเดิม ผลักเปิดประตูออกจากสถานที่หดหู่แห่งนี้ เขาโน้มไหล่กว้างลงมาบังหิมะให้กับนาง คนในอ้อมแขนกลับมีลมหายใจรวยรินไปตั้งนานแล้ว
ท่ามกลางวังอ๋องแห่งนี้ นอกจากเรือนหลักของวิหารเฟิ่งหมิงแล้วก็ไม่มีสถานที่ใดอีกที่พอจะให้นางปักหลักได้
สิ่งเดียวที่ซ่านจินจื๋อนึกขึ้นได้ก็คือสถานที่หลังห้องหนังสือ พาตัวคนไปวางไว้บนเตียง มองดูท่านหมอคนอื่นๆ ในจี้ซื่อถางรีบร้อนเข้ามารักษาให้นาง มองดูพวกเขาเขียนใบสั่งยาให้กู้อ้าวเวยอย่างสุดความสามารถ หัวใจทั้งดวงของซ่านจินจื๋อก็หล่นตุบลงมาด้วยเช่นกัน
เขากำหมัดแน่น
เฉิงซานเดินมาจากด้านข้าง “แม่นางพ่านเอ๋อฟื้นขึ้นมาแล้ว ท่านอ๋องอยากจะ…”
“อืม” ซ่านจินจื๋อทำเพียงมองคนที่อยู่บนเตียงอย่างอาลัย ก่อนจะหมุนกายจากไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างนี้เอาไว้ ฉีหรัวยืนอยู่ท่ามกลางลมหิมะประดุจหินสลักตรงหน้าประตู บนแพขนตาของนางเปื้อนด้วยชั้นของคริสตัล แตกต่างจากผู้คนที่กำลังยุ่งง่วนอยู่มาก แต่นางจดจำกลิ่นความตายของกู้อ้าวเวยเอาไว้ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
กลิ่นถ่านหินที่ปลายจมูก บวกกับความรักอันน้อยนิดของซ่านจินจื๋อถักทอเข้าด้วยกัน
“ท่านถึงขนาดเอาชีวิตของตัวเองมาวางเดิมพันเชียว” ฉีหรัวทำเพียงทิ้งประโยคนี้ไว้ ก่อนจะมาถึงใต้ชายคาห้อง เพราะนางถูกกุ่ยเม่ยจับตัวมาเลยสวมเพียงเสื้อผ้าตัวบาง แต่หัวใจของนางกลับร้อนระอุอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
กู้อ้าวเวยอยากทำอะไรก็ไปทำเถิด ยินดีใช้ชีวิตมาเดิมพันความรู้สึกของซ่านจินจื๋อที่มีต่อนาง นางท้าทายอยู่เรื่อยมา
แล้วจะไม่ให้นางชื่นชมได้อย่างไรกัน
“ข้าต้องทำอะไรสักอย่าง” นางคิดถึงตรงนี้ ก็ทำเพียงช้อนสายตาขึ้น เดินปาดไหล่กับคนรับใช้ที่เดินมาอย่างเร่งรีบ กลับไปสวมเสื้อผ้าเพิ่มที่สำนักเยียนหยู่เก๋อ ประทินแป้งฝุ่นเพิ่มสักหน่อย ในที่สุดก็มาถึงประตูหลังของวังองค์ชายสาม
“ข้าต้องการพบองค์ชายสาม เป็นคนที่พระชายาจิ้งส่งมา”