บทที่ 213 หิมะแรก
“อิงจากร่างกายของท่าน เกรงว่าต้องใช้เวลาก่อนค่อนปี…”
ท่านหมอก้มหน้างุด ขาสองข้างสั่นเทาไม่กล้าสบมองนัยน์ตาของกู้อ้าวเวยโดยตรง
ในเวลาต่อมา คอเสื้อก็ถูกปล่อยออกมา กู้อ้าวเวยที่อยู่บนเตียงนอนเอนกายลงไปอย่างแน่นิ่ง ปลายนิ้วกำอาภรณ์ช่วงอกเอาไว้แน่น ท่าทีระทมทุกข์ ทำเพียงสะอื้นในลำคออย่างแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
ท่านหมอของจี้ซื่อถางได้ยินข่าวมาจากฝั่งเห้อจิ้นหล่างทั้งสิ้น ย่อมรู้อยู่แล้วว่าพระชายาจิ้งมีทักษะการแพทย์ฝีมือเป็นเลิศ และยิ่งเป็นคนจิตใจเมตตา ปัจจุบันเห็นสภาพดังกล่าว จึงทำได้เพียงเข้าประชิดและหยุดยั้งพฤติกรรมทำร้ายตัวเองของนางเอาไว้ รีบวางมือไว้ในปากของนาง และร้องเรียกคนที่อยู่ด้านนอก “ใครก็ได้รีบเข้ามาเร็วเข้า ใครก็ได้”
แต่น่าเสียดายที่หิมะตกหนักทึบฟ้า ชิงต้ายที่อยู่นอกวิหารเฟิ่งหมิงคุกเข่าจนสติสตังเลอะเลือนไปตั้งนานแล้ว ร่างกายครึ่งส่วนถูกปกคลุมด้วยหิมะ ไม่ได้ยินเสียงด้านในเลยสักนิดเดียว
ท่านหมอลนลานจนไม่รู้จะทำอย่างไร ทำเพียงใช้มือข้างเดียวพลิกสาละวนในกล่องยาเล็กของตน ยุ่งงานเสียจนเม็ดเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก
“นี่ควรจะทำอย่างไรดี…ควรจะทำอย่างไรดี…”
ท่านหมอยุ่งจนสาละวน มือที่วางไว้อยู่ในปากของพระชายาก็ถูกกัดจนหนังถลอกปอกเปิก
เกรงว่าความเย็นแผ่ซ่านเข้าร่างกาย กอปรกับอาการปวดช่วงท้องของพระชายา เจ็บปวดเสียจนทนฝืนไม่ได้ ทั้งยังตรอมใจกับความกังวลเฉียบพลันยากจะลบเลือน เป็นช่วงที่ทุกข์ทรมานพอดี วังอ๋องอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ถึงกับไม่มีใครผ่านมาเลยสักคน
“แอ๊ด” บานหน้าต่างถูกผลักเปิดออกอย่างแช่มช้า ลมหิมะพร่างฟ้าพัดโชยเข้าห้อง ท่านหมอร้องเสียงดังขึ้นมาโดยพลัน “ยังไม่รีบปิดหน้าต่างให้สนิทอีก!”
เสียงดังปึงของบานหน้าต่างถูกปิดสนิท กุ่ยเม่ยที่โรยตัวลงพื้นอย่างมั่นคงรีบมายังข้างกายของท่านหมอทันที “พระชายานาง…”
“รีบไปเอาตะเกียบเข้ามา และให้คนเตรียมน้ำอุ่นหม้อถ่านเข้ามาวางไว้ด้วย” ท่านหมอไม่ได้มองเขาเลยสักแวบเดียว ทำเพียงรีบกล่าวคำเช่นนี้อย่างรวดเร็ว
กุ่ยเม่ยมุ่นหัวคิ้ว ทำเพียงรีบไปรับเอาหม้อถ่านและน้ำอุ่นเข้ามาอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งพาชิงต้ายมาส่งด้านในห้องข้างๆ อีกด้วย
ยุ่งง่วนเรื่อยมาจนใกล้จะสองชั่วยาม กู้อ้าวเวยถึงได้นอนหลับสู่ห้วงนิทราลึกไป กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งกระจายไปทั่วภายในห้อง
ท่านหมอเช็ดหยาดเหงื่อให้นางอย่างระมัดระวัง แต่กลับพูดต่อไปว่า “แม้แต่สาวใช้ข้างกายพระชายาจิ้งสักสองสามคนก็ไม่มีเชียวหรือ เมื่อครู่พระชายาถูกพรากทารกในครรภ์ออกมา จะหาสักคนมาเปลี่ยนชุดสะอาดสะอ้านให้นางหน่อยก็ไม่ได้เลยหรือ”
“ข้าไปจวนฉีก่อนสักเที่ยว” กุ่ยเม่ยเองก็มีเหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นมาท่ามกลางฤดูหนาว รีบเปิดประตูอย่างรีบเร่งและจากไป
ท่านหมอมองดูหญิงสาวที่อยู่บนเตียงอย่างเวทนา และทอดถอนใจติดต่อกัน “ช่างเป็นบาปกรรมจริงๆ บาปกรรมหนอ”
เดิมฉีหรัวจะฉวยโอกาสในช่วงหน้าหนาวมาชำระบัญชีของปีนี้ แต่ตอนที่ยังมิทันได้ตอบสนองก็ถูกกุ่ยเม่ยที่บุกเข้ามาในห้องจับตัวออกไปเสียแล้ว
กุ่ยเม่ยย่ำเท้าบนหิมะหนาอย่างราบเรียบ ฉีหรัวซวนเซอยู่หลายก้าว และถูกกุ่ยเม่ยแบกไว้บนหลังเสียดื้อๆ กล่าวเอ่ยอย่างจนปัญญา “เจ้านี่มัน…”
กุ่ยเม่ยปั้นหน้านิ่งไม่เอ่ยวาจา ทำเพียงพาตัวฉีหรัวมายังท่ามกลางวิหารเฟิ่งหมิง ให้นางช่วยจัดการดูแล
รอกระทั่งกู้อ้าวเวยตื่นขึ้นมาอีกครั้ง มันก็กลายเป็นช่วงราตรีเสียแล้ว
ทว่าภายในห้องยังคงสว่างไสวอยู่ ขอบเตียงกลับมีหญิงสาวที่นั่งหันหลังให้กับนางคนหนึ่ง ท่ามกลางฤดูหนาวเหน็บกลับสวมเพียงแค่อาภรณ์ยาวตัวบาง เรือนผมดำขลับยุ่งเหยิงยิ่งนัก ในมือกำถุงกระดาษอันหนึ่งและกำลังกินอะไรบางอย่าง และยังเอ่ยวาจากับคนอื่นๆ “สำนักเยียนหยู่เก๋อก็ไม่ได้เปิดให้บริการให้หน้าหนาวนี้ ข้าก็อยู่คอยดูแลอยู่ที่นี่เลยดีกว่า”
“เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่าท่านอ๋องจะทำเรื่องเหลืออดแบบนี้ออกมาได้ กระทั่งกันสาวใช้ข้างกายพระชายาออกไปอยู่นอกเรือนจนหมด” และมีเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นมา ผ่านไปสักพัก เขาจึงพูดต่อไป “แต่น่าเสียดายที่แม่นางผู้นี้ยังหนีกลับมาวังอ๋องจากเรือนนอกได้อย่างยากลำบาก ทว่ากลับเข้ามาไม่ได้ ถ้าหากกุ่ยเม่ยพบนางช้ากว่านี้สักสองสามชั่วยาม เกรงว่าชีวิตนี้…”
“ขอบคุณท่านหมอยิ่งนัก” ฉีหรัวเอ่ยคำเสียงนุ่ม
คราวนี้กู้อ้าวเวยจึงนึกขึ้นได้ว่าเป็นเสียงของใคร
แต่น่าเสียดายที่นางยกมือขึ้นและมันทำได้เพียงแตะที่ข้างเอวของนางเท่านั้น
ฉีหรัวรีบเหลียวกลับมามอง เห็นว่านางตื่นขึ้นมาแล้ว นางวางขนมอบร้อนในมือลงโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ไปหยิบเอาน้ำร้อนมาเป่าให้เย็นก่อนจะป้อนนาง “รู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้วหรือ”
“อื้อ” กู้อ้าวเวยพยักหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ ยกมือขึ้นทาบลงกับหน้าท้องของตนตามสัญชาตญาณ แต่กลับสัมผัสไฟฟ้าสถิตและปัดมือไปข้างกาย
ฉีหรัวมองเห็นการทำเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้
ท่านหมอที่อยู่ข้างๆ รีบประชิดเข้ามาอยู่ข้างกายของกู้อ้าวเวยและตรวจชีพจรให้กับนาง “พระชายาเลี่ยงกังวลใจจะดีกว่า ระยะนี้ยิ่งต้องลมไม่ได้เลย”
“ข้ารู้” กู้อ้าวเวยหัวเราะเย็นชาหนึ่งที ทำเพียงลุกขึ้นนั่งครึ่งตัว “ถ้าหากฟื้นตัวได้ในครึ่งปี มันย่อมเป็นการดีอยู่แล้ว”
ถูกฉีหรัวประคองให้ลุกขึ้น คราวนี้จึงสังเกตเห็นว่าภายในห้องมีหม้อถ่านเพิ่มขึ้นมาสองใบ
กุ่มเม่ยก้มหน้างุด ยืนอยู่ข้างๆ
รอกินดื่มอิ่มหนำจนมีเรี่ยวแรงกลับมาบ้างแล้ว กู้อ้าวเวยจึงสดับรับฟังท่านหมอพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในขณะที่สลบไปทีละเรื่อง
ที่แท้ซ่านจินจื๋อก็อยู่ในห้องของซูพ่านเอ๋อจนกระทั่งถึงวันนี้ จนป่านนี้ชิงต้ายก็ยังไม่ได้ฟื้นขึ้นมา
นับตั้งแต่เริ่มจนจบ นางทำเพียงแค่รับฟังอย่างสงบ สายตาเหลือบมองทางช่วงท้องของตนเองอยู่บ่อยครั้ง และไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ อีก ไม่ว่าฉีหรัวจะพูดอะไร นางก็ล้วนไม่ปริปากเอ่ยเลยสักประโยคเดียว ราวกับเป็นหุ่นที่สูญเสียวิญญาณ ไม่มีใครรู้เลยว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
ฉีหรัวนอนไม่หลับทั้งคืน ทำเพียงคอยเฝ้าอยู่บนเตียง
ท่านหมอของจี้ซื่อถางจำต้องออกไปเพราะมีผู้ป่วยอาการหนัก แต่เดิมกุ่ยเม่ยที่ไม่ยอมห่างไปไหนก็ถูกฉีหรัวส่งไปดูแลชิงต้าย หิมะที่ตกหนักไม่ยอมหยุดเป็นเวลาสองวันปกคลุมเทียนเหยียนทั้งเมือง ต้นไม้ใหญ่ท่ามกลางวิหารเฟิ่งหมิงคล้ายกับจะถูกหิมะหนักๆ กดทับจนล้ม
น่าเสียดายที่กู้อ้าวเวยไม่สามารถต้องลมได้ ทำได้เพียงเอนพิงบนเก้าอี้ข้างหน้าต่าง อดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้
ฟังเสียงหิมะที่ตกลงมาปกคลุมท้องฟ้า ฟังเสียงอันแสนท้อใจ
ฉีหรัวยังคงนั่งอยู่บนเตียงของนางตามเดิม ประโยคปลอบใจสักคำยังไม่ได้เอ่ยออกมา นางไม่สามารถให้การสนับสนุนช่วยเหลือเต็มที่เหมือนอย่างที่กู้อ้าวเวยทำ และยิ่งไม่สามารถเอ่ยวาจาน้อยนิดฉุดดึงนางออกมาจากห้วงเหวลึกได้
“ถ้าเอนตัวบนเตียง ท่านจะรู้สึกดีมากขึ้น” ปั่นป่วนมาหลายชั่วยาม แต่กลับกลายมาเป็นเพียงถ้อยวาจาเช่นนี้เท่านั้น
ในที่สุดกู้อ้าวเวยก็เหลือบสายตาขึ้นมองนาง แต่กลับมีรอยยิ้มบางๆ ผุดเผยออกมาเฉกเช่นแต่ก่อน กระทั่งเจือแววลำพองด้วยหลายขนัด “เขารักข้า เพียงแต่น้อยกว่าซูพ่านเอ๋อนิดเดียวเท่านั้นแหละ”
“ข้าไม่รู้เลยว่าท่านอยากจะพูดอะไร…” ฉีหรัวรู้สึกถึงความชาวาบโดยไม่มีเหตุผล
ฉากกั้นลมและหม้อถ่านด้านนอกผ้าม่านจำนวนนับไม่ถ้วนปะทุเกิดเสียงดังขึ้นมา มีลมพัดเข้ามาตามช่องโหว่เล็กน้อย ฉีหรัวมองรอยยิ้มของกู้อ้าวเวย จู่ๆ ก็มีความคิดบ้าดีเดือดขึ้นมา นางเบิกตากว้าง “ท่านคิดจะทำอะไร ท่านอยากทำอะไรกับท่านอ๋อง”
“ในความคิดของข้าเขาเป็นเพียงชิ้นเนื้อก้อนหนึ่งเท่านั้น มนุษย์แต่เดิมก็คือเลือดเนื้อ ถูกเรียกว่าคน ก็เป็นเพียงชิ้นเนื้อที่มีความรู้สึกความปรารถนาเท่านั้นเอง” กู้อ้าวเวยหุบรอยยิ้ม อุ้งนิ้วและฝ่ามือของนางลากไล้ผ่านช่วงท้องของตัวเอง แฝงด้วยความคะนึงหา “แต่ลูกของข้า กลับเป็นสมบัติล้ำค่าหาใดเปรียบ ข้าไม่อาจปล่อยให้เขาอยู่อย่างสุขสบายแน่”
“นี่ท่านกำลังเอาไข่ไปกระทบหิน ท่านรู้หรือเปล่าว่าท่านกำลังอยู่ที่นี่อีกครั้ง…”
“เขาบอกกับข้าว่า พวกเรายังจะมีลูกกันอีกคน เขาไม่อาจปล่อยข้าไปแน่” สายตาของกู้อ้าวเวยคมกริบขึ้นมา น้ำเสียงที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นแทบจะทำเอาเกล็ดหิมะที่โปรยมาบนชายคาตกใจได้เลยทีเดียว