บทที่ 220 ข้าอยากแซ่ป๋าย
“พระชายาท่านพูดตัดรอนเกินไปหรือเปล่าเจ้าคะ เมื่อเช้านี้ท่านอ๋องถึงขนาดออกไปแล้วเชียวนะ”
เสี่ยวเหยียงที่สางผมให้กู้อ้าวเวยอดเอ่ยเช่นนี้ไม่ได้ ในคำพูดนั้นยังแฝงความหัวเสียอยู่เต็มเปี่ยม
เสี่ยวเหยียงไม่รู้ในสิ่งที่ซ่านจินจื๋อทำเลยสักนิดเดียว กู้อ้าวเวยจึงมิอาจกล่าวตำหนิได้ ทำเพียงสวมชุดธรรมดาตัวหนึ่งและสวมผ้าคลุมหน้าก่อนหยัดกายลุกขึ้น “ไม่สนใจเขาหรอก พวกเรากลับไปเองก็สิ้นเรื่อง”
ทำได้เพียงพยักหน้าเดินตามเท่านั้น ชิงต้ายมองทางเสี่ยวเหยียงแวบหนึ่งอย่างเป็นกังวล
นางไร้เดียงสาเช่นนี้ ไม่เหมาะจะมาปรนนิบัติรับใช้ข้างกายกู้อ้าวเวยเลยสักนิด
มาถึงบนรถม้า ชิงต้ายก็เอ่ยถึงเรื่องของเสี่ยวเหยียง กู้อ้าวเวยก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างจริงจัง “ข้ารู้ ข้าจะคิดหาวิธีให้นางจากไปแน่นอน”
คราวนี้ชิงต้ายจึงพยักหน้า แต่ไม่ได้สังเกตเห็นความเหงาในสายตาของกู้อ้าวเวย
ราวกับว่าเพื่อความปลอดภัยของคนรอบกาย นางจำต้องขับไล่พวกเขาออกไป อันที่จริงนางชอบหยอกล้อหยินเชี่ยว และผุดเผยรอยยิ้มออกมาเพราะสิ่งใหม่เล็กๆ น้อยๆ ของเสี่ยวเหยียง แต่พวกนางไม่ควรเกิดเรื่องขึ้นเพราะตัวเอง
กลับมาถึงเทียนเหยียนอย่างรวดเร็ว กู้อ้าวเวยไม่ได้มีความสุขเลยสักนิด
ชิงต้ายมองไปที่นางอย่างจนปัญญา “นี่คือสิ่งที่ท่านเลือกเอง ข้าจะอยู่เคียงข้างท่านเองนะ”
“พูดมาก็สมเหตุสมผล” กู้อ้าวเวยยกมุมปากขึ้น และวางกล่องสัมภาระขนาดเล็กวางใส่มือของชิงต้าย ทั้งสองสบสายตากันพลางยิ้ม
นางยังมีชิงต้ายอยู่นี่นา
บานประตูของร้านยาเหย้าถูกเปิดออกโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ทั้งสามคนที่อยู่หน้าประตูพากันตกใจสะดุ้งโหยง
หลังจากเห็นว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือฉีหลินแล้ว กู้อ้าวเวยก็เดินเข้าไปต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ข้าเกือบลืมไปเชียวว่าเจ้ามีกุญแจของร้านยาเหย้าอยู่”
“ไม่ได้เจอตั้งนาน” ฉีหลินมองดูกู้อ้าวเวยถือกล่องข้าวสองอันเดินเข้ามาอย่างกระฉับกระเฉง และสาวเท้าเดินตามนางอย่างเหลือเชื่อ “ร่างกายของท่าน…”
“เกือบจะหายดีแล้ว” กู้อ้าวเวยเปิดหนึ่งในกล่องข้าวออก และหยิบเอาขนมอบถูกปากเหล่านั้นออกมา “ไร้เรื่องร้อนใจไม่ถ่อไปวัด เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่”
กู้อ้าวเวยมองไปที่ช่วงเอวของเขาอย่างจงใจ ส่วนนั้นมีหยกพกขนาดเล็กเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอัน แต่มีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ฉีหลินที่ถูกจับได้พลันลูบศีรษะอย่างเก้อเขิน “อันที่จริงข้ามาครั้งนี้ก็แค่อยากจะมาดูว่าท่านฟื้นตัวเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
“ข้ากลับอยากจะฟังข่าวซุบซิบของเจ้าเสียหน่อย ให้ข้าเดา แม่นางตระกูลไหนจะต้องตาคุณชายเจ้าสำราญคนหนึ่ง และแม่นางตระกูลไหนจะทำให้เจ้าใจสั่นได้ภายในระยะเวลาอันสั้น” กู้อ้าวเวยเปลี่ยนประเด็นสนทนาไปที่เขา นางยังไม่อยากบอกเรื่องราวเหล่านั้นของตนให้ฉีหลินฟัง รวมถึงนางผลักดันฉีหลินเป็นปฏิปักษ์ต่อวังองค์ชายสามตั้งนานแล้วด้วย
ถูกเย้าแหย่เช่นนี้ ฉีหลินพลันนั่งลงด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน อ้ำๆ อึ้งๆ จนพูดอะไรไม่ออกสักอย่าง
กระทั่งกู้อ้าวเวยกินขนมอบชิ้นที่สามไป ฉีหลินถึงได้สูดลมหายใจลงลึกๆ หนึ่งเฮือก และเอ่ยวาจาด้วยเสียงเบาๆ “เป็นหยินเชี่ยว”
ชิงต้ายและกู้อ้าวเวยเบิกตาโต มองสบสายตากัน
“เพราะอะไร” ชิงต้ายเอ่ยถามด้วยสีหน้านิ่งขรึม ราวกับว่านางเป็นบิดามารดาผู้ให้กำเนิดหยินเชี่ยวอย่างไรอย่างนั้น
“ในหน้าหนาวข้าไปฟ้องพ่อว่าไม่ไว้วางใจพี่สาวเพราะความมึนเมา จึงถูกตีจนทำได้เพียงนอนอยู่บนเตียงเท่านั้น และมีเพียงหยินเชี่ยวที่นั่งอยู่ข้างเตียงของข้า อยู่เป็นเพื่อนข้า พูดเรื่องราวภายในวังอ๋องและจวนเฉิงเสี้ยงให้ข้าฟัง” ฉีหลินแทบจะปลายหูเริ่มแดง บอกเล่าเหตุผลเหล่านี้ออกมาหนึ่งรอบอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังบิดปลายนิ้วอย่างกระวนกระวาย “ในตอนนั้น ข้าก็คิดว่าเป็นนางเข้าแล้ว”
“ว้าว” กู้อ้าวเวยเปล่งเสียงหยอกล้อออกมา
ชิงต้ายก็หัวเราะตามมาด้วย มีเพียงเสี่ยวเหยียงที่อยู่ข้างๆ ที่เข้ามาหยิบขนมอบชิ้นหนึ่งไป และมองกู้อ้าวเวยแปลกๆ “นี่ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกหรือ นี่ก็คือความรักอย่างนั้นหรือ”
“นั่นเป็นเพราะคนที่อยู่เคียงข้างเขาแตกต่างออกไป” กู้อ้าวเวยยิ้มพลางบีบแก้มของเสี่ยวเหยียง “ใครจะคอยอยู่เคียงข้างเขาในวันที่น่าเบื่อแบบนั้นภายใต้สถานการณ์ที่เกลียดชังใครสักคนกันเล่า”
ฉีหลินหน้าแดงขึ้นมาจริงๆ และส่งเสียงหงุดหงิดออกมาจากลำคอ
ชิงต้ายส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “เด็กหยินเชี่ยวคนนั้นไม่เคยพูดมาก่อนเลย คิดไม่ถึงว่านางจะชอบเจ้าขนาดนี้”
“อือฮึ ถ้าอย่างนั้นข้าจะต้องตระเตรียมสินสอดให้นางเป็นอย่างดี” นี่เป็นถึงข่าวที่ดีที่สุดเท่าที่นางเคยได้ยินมาในช่วงหลายเดือนมานี้เชียว นางหยัดกายลุกขึ้นมาพลางหยิบบัญชีเล่มเล็กของตนออกมา และพบว่านางหาเงินมาได้ตั้งหลายพันตำลึงแล้ว
กู้อ้าวเวยรีบอภิปรายกับชิงต้ายอย่างออกรสออกชาติทันที
มีเพียงฉีหลินที่ลูบผมอย่างช่วยไม่ได้ ผ่านไปสักพักกว่าจะรวบรวมความกล้าขัดจังหวะพวกนาง “อย่าเพิ่งคิดเรื่องแต่งงานก่อนดีกว่า ท่านพ่อข้าเฆี่ยนข้ายกใหญ่ก็เพราะข้าจะแต่งกับสาวใช้คนหนึ่งนี่แหละ ตอนนี้ข้าทำได้เพียงพาหยินเชี่ยวไปอยู่ข้างกายพี่สาวเท่านั้น จึงจะปลอดภัยสักหน่อย”
เงียบสงัด
การเคลื่อนไหวพลิกหน้าบัญชีขัดข้องอยู่กับที่ หลังจากชิงต้ายตะลึงงัน ก็ทำได้เพียงเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรงอย่างจนปัญญา
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี จึงทำได้เพียงมาหาพวกท่านนี่แหละ” ฉีหลินก็ทอดถอนใจตามหนึ่งเฮือก
กู้อ้าวเวยปรายสายตามองที่ไปฉีหลินอย่างเงียบนิ่ง และมองสมุดบัญชีในมือของตนแวบหนึ่ง นิ่งเงียบไปเป็นนาน ในที่สุดก็ตัดสินใจมาดมั่น ก่อนกล่าวกลั้วหัวเราะ “หยินเชี่ยวเป็นบุตรีของพ่อค้าผู้ร่ำรวย บิดามารดาของนางประกอบกิจการอยู่ต่างแคว้น เนื่องจากการเสียชีวิตอย่างโชคร้าย นางจึงทำได้เพียงหอบเงินมาลงหลักปักฐานที่ร้านพักแขกในถนนแถวซ่องอันอื้อฉาวของเทียนเหยียน”
ชิงต้ายมองนางอย่างเหลือเชื่อ
ส่วนสมุดบัญชีในมือของกู้อ้าวเวยถูกโยนไปอยู่เบื้องหน้าของฉีหลิน “ร้านพักแขกแห่งนั้นจะกลายเป็นสมบัติพัสถานของหยินเชี่ยวในไม่ช้านี้”
“ท่าน…”
“นับดูแล้ว บิดาในจวนเฉิงเสี้ยงของข้าหาเถ้ากระดูกของพ่อแม่นางรวมถึงทรัพย์สมบัติที่เหลืออยู่จนพบ สิ่งเหล่านี้จะเป็นของนาง” กู้อ้าวเวยกระตุกมุมปาก ทำเพียงหยัดการลุกขึ้น “ส่วนข้าจะหยิบสินสมรสออกมาให้บางส่วน และเสี่ยวเหยียง จะเป็นสาวใช้ออกเรือนของนาง คุณชายฉียังมีความคิดเห็นอีกหรือไม่”
แน่นิ่งอยู่เนิ่นนาน คราวนี้ฉีหลินจึงหยุดกันลุกขึ้นด้วย มองนางด้วยความรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณเต็มอก “ขอบคุณ”
“นี่คือสิ่งที่นางสมควรได้รับ” กู้อ้าวเวยลูบไหล่ของฉีหลินเบาๆ ทั้งยังให้เสี่ยวเหยียงนับตั๋วเงินและเงินเหล่านั้นให้ชัดเจน นางจะไปติดต่อกับร้านพักแขกที่ถนนทางตอนใต้แน่นอนอยู่แล้ว
เสี่ยวเหยียงอายุยังน้อย รู้เพียงว่ากู้อ้าวเวยเป็นคนดีคนหนึ่ง ต่อให้เป็นสาวใช้ออกเรือนนางก็ยินดียิ่งนัก ไม่ได้เกี่ยงงอนแต่อย่างใด
ฉีหลินจากไป แสงจันทร์พลันมาเยือน
ชิงต้ายที่นั่งลิ้มรสอาหารบนโต๊ะตัวเดียวกันมองนางอย่างเป็นกังวล “ในตอนแรก ท่านเองก็กลัวว่าหยินเชี่ยวจะได้รับอันตรายและถูกข่มขู่ถึงได้ส่งนางไปที่จวนตระกูลฉีกระมัง”
“นางไม่เหมาะจะคอยรับใช้อยู่ข้างกายข้า” กู้อ้าวเวยทานอาหารไปพลาง “เจ้าพูดมาก็ถูก สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการเลือกของข้าเอง”
ในที่สุดชิงต้ายก็ไม่เอ่ยคำ ทำเพียงพยักหน้าอย่างจริงจัง
วันที่สอง กู้อ้าวเวยสวมผ้าคลุมหน้าออกมาเดินเตร่อยู่ในท้องตลาด และพบร้านพักแขกที่ไม่เลวแห่งหนึ่งบนถนนใหญ่ทางตอนใต้ เงินจำนวนสี่พันตำลึงเพียงพอจะทำให้เถ้าแก่สูงวัยผู้นั้นละทิ้งร้านพักแขกได้ ฉีหลินพาหยินเชี่ยวที่เปลี่ยนมาสวมชุดดั่งคุณหนูมาพบกู้อ้าวเวยที่ยืนมาดมั่นในร้านพักแขก
บัดนั้นดวงตาสองข้างของหยินเชี่ยวแดงก่ำทันที “คุณหนู…อันที่จริงท่านไม่ต้อง…” “อย่างไรเสียเงินพวกนี้เก็บไว้กับข้าก็ไม่มีประโยชน์อะไร” กู้อ้าวเวยเบนหน้าออกไป หยินเชี่ยวยังคงเป็นเด็กผู้หญิงที่บริสุทธิ์และร้องไห้ง่ายอยู่เหมือนเคย เปลี่ยนมาสวมอาภรณ์ของคุณหนูทำให้นางยิ่งน่ามองขึ้น เพียงแต่น่าเสียดายที่ร้องไห้จนหน้าลายพร้อยหมดแล้ว
“ไม่ต้องร้องแล้ว เพียงแต่ตอนนี้เจ้ามีสถานะแล้ว ก็ควรจะมีแซ่ดีๆ สักแซ่สินะ” กู้อ้าวเวยลูบกระหม่อมของนางเบาๆ อย่างจนปัญญา
“ข้าอยากแซ่ป๋าย ข้าคิดว่าเด็กในวันนั้นควรจะเป็นผู้หญิงที่เฉลียวฉลาดเช่นเดียวกันกับท่าน” หยินเชี่ยวมองนางด้วยสายตาแดง