บทที่ 233 เรียกร้องความสนใจ
“พี่หญิงช่างเรียกร้องความสนใจจริงๆ”
กู้จี้เหยายกมือข้างหนึ่งขึ้นมาพยุงท้องน้อยของตัวเอง เดินตรงมาที่ขั้นบันไดที่กู้อ้าวเวยนั่งอยู่ แล้วนั่งลงข้างนาง
“อะไรกัน ล่วงเลยมานานเพียงนี้ ยังไม่พอให้เจ้าได้ใจท่านอ๋องอีกหรือ”
กู้อ้าวเวยหุบยิ้ม นางเพิ่งผ่านเหตุการณ์ช่วยชีวิตที่น่าระทึกใจไปเมื่อครู่ ถึงตอนนี้จิตใจนางรู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้ว เมื่อหันไปมองกู้จี้เหยาที่นั่งอยู่ด้านข้างจึงยิ้มแล้วพูดว่า: “เจ้าไม่นับถือข้าเป็นพี่ วันหลังข้าก็จะไม่ช่วยอะไรเจ้าสักนิดเลย”
“เจ้าน่ะเหรอ? ไม่ดูสภาพที่น่าเวทนาของตัวเจ้าเองในเวลานี้เสียก่อน ท่านอ๋องเอาใจใส่ข้ามากกว่าเจ้าเสียอีก” กู้จี้เหยายิ้มเยาะ “ นี่ขนาดเจ้าไม่มีลูก ยังหยิ่งยโสได้ถึงเพียงนี้ หากไม่ใช่เพราะว่าพวกเราเป็นลูกของท่านพ่อด้วยกันทั้งคู่ ข้าไม่มีวันมาเตือนเจ้าเป็นแน่”
“เตือนข้าเรื่องอะไร” กู้อ้าวเวยแปลกใจ
“เตือนเจ้าว่าอย่าสร้างศัตรู ต่อไปหากเจ้าทำให้ตำหนักอ๋องจิ้งหรือจวนเฉิงเสี้ยง(เฉิงเสี้ยงเป็นตำแหน่ง)กลายเป็นเป้าโจมตี มันต่างไม่ใช่เรื่องดีสำหรับตัวเจ้าเองเลย” ในคำพูดของกู้จี้เหยานั้นแฝงไปด้วยคำขู่
กว่ากู้จี้เหยาจะไต่เต้าขึ้นมาเป็นพระชายารองอย่างทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย หากจวนเฉินเสี้ยง(เฉินเสี้ยงเป็นตำแหน่ง)หรืออ๋องจิ้งถูกคนหมายหัวว่าเป็นหนามยอกอก นั่นก็เท่ากับว่ามาตกม้าตายเอาตอนจบ กับเรื่องความรู้สึกต่อซ่านจินจื๋อนั้นได้จางหายไปมากทีเดียว
กู้อ้าวเวยพยักหน้าไปตามน้ำ แสร้งว่าครุ่นคิดตามที่นางพูด
แต่ในใจกลับแอบคิดว่าสิ่งที่ทำไปอย่างเต็มที่ในวันนี้ ก็ไม่เลวเลย
หากขุนนางเหล่านั้นเล็งเป้าหมายโจมตีมาที่ตำหนักอ๋องจิ้งหรือจวนเฉิงเสี้ยง(เฉิงเสี้ยงเป็นตำแหน่ง) นั่นช่างประจวบเหมาะ ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้นางได้ทำให้บรรดาบุตรของหู้ปู้เซ่อหลาง(ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการเงิน)อับอายขายหน้า ทางฝ่ายหู้ปู้เซ่อหลาง(ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการเงิน)ก็ไม่ได้พอใจตำหนักอ๋องจิ้งนัก ยุให้รำตำให้รั่วเพิ่มเข้าไปอีกหน่อย ยิ่งเป็นการดี
ด้านหลังบานประตูได้ถูกเปิดออก หมอหลวงท่านหนึ่งเข้ามาพร้อมใบสั่งยาในมือ แล้วยื่นมันไปตรงหน้ากู้อ้าวเวย: “พระชายาจิ้ง ฤทธิ์ของสูตรยาของท่านตีกันกับตัวยาที่ไทเฮาใช้ประจำอยู่ก่อนหน้า……”
“ไหนข้าดูหน่อย” กู้อ้าวเวยก้าวลงมาจากขั้นบันได พินิจแก้สูตรยาอย่างละเอียด แล้วจึงตามหมอหลวงท่านนั้นกลับไปที่ตำหนักหมอหลวงเพื่อช่วยปรุงยา ตัวยานี้จะว่าไปแล้วก็ใช้ได้เลยทีเดียว เพียงแต่ปริมาณที่ใช้นั้นผิดไป
นางตรวจสอบส่วนประกอบของยาโดยละเอียดแล้วพบว่า แม้แต่ในวังหลวงก็ยังมีหนอนบ่อนไส้นำเอาตัวยาปลอมมาปะปนกับของจริง นางจึงต้องลงมือปรุงยาเองกับมือ ต้มอยู่นานกว่าสามชั่วยาม จนฮ่องเต้ได้สั่งให้เหล่าเสนาบดีและครอบครัวของพวกเขาแยกย้ายออกไปแล้ว นางจึงเพิ่งมาถึงห้องบรรทมของไทเฮาพร้อมกับถ้วยยาที่ร้อนจี๋ในมือ
รอบๆที่นอนไทเฮายังคงถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย
โชคดีที่มีซ่านจินจื๋อช่วยคุ้มกันกู้อ้าวเวย เดินประกบข้างเข้าไปพร้อมกับนาง
หลังจากป้อนยาให้ไทเฮาไปไม่น้อย สีหน้าไทเฮาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กุ้ยมามาที่อยู่ข้างกายไทเฮารีบรับเอาถ้วยยามาจากมือกู้อ้าวเวยแล้วรีบพูดขึ้นว่า: “พระชายาจิ้งมีน้ำใจแท้ๆ”
“เป็นเรื่องที่ข้าควรทำอยู่แล้วต่างหาก คืนนี้ข้าเกรงว่าจะไม่ได้กลับตำหนักอ๋อง ข้าคอยอยู่ที่นี่จะดีกว่า เผื่อว่าไทเฮาเกิดมีอาการอะไรขึ้นมาจะได้เรียกหาข้าได้สะดวก” กู้อ้าวเวยพยักหน้า เมื่อได้รับอนุญาตจากไทเฮาแล้วจึงเดินไปนั่งที่ห้องด้านข้าง
นางรับใช้ช่วยกันจัดแจงเบาะที่นอนนุ่มพร้อมกับผ้าห่มนวมอย่างหนาให้นาง
กู้อ้าวเวยกวักมือและมองเหล่านางรับใช้ด้วยท่าทีแปลกๆ: “ไม่รู้ว่าถ้าข้าขอดูหนังสือตำราแพทย์ของตำหนักหมอหลวงจะได้หรือไม่”
“วันนี้ท่านได้ช่วยไทเฮาไว้ พวกข้าน้อยจะไปทูลขออนุญาตต่อฝ่าบาทเพื่อนำหนังสือตำราแพทย์มาให้พระชายาเพคะ”
แต่ไม่ทราบว่าพระชายาสนใจตำราประเภทไหนเพคะ” นางรับใช้ตำหนักไทเฮาล้วนแล้วแต่น่ารักรู้งานกันทุกคน
กู้อ้าวเวยตั้งใจเลือกแต่ตำราที่หายากแล้วพูดชื่อตำราเหล่านั้นออกมาจำนวนหนึ่ง เพื่อลองดูว่าตำหนักหมอหลวงนี้มีหนังสือตำราโบราณอะไรที่หาไม่ได้จากที่อื่นบ้าง
“ท่านช่างเป็นหนอนหนังสือตัวจริง” เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากข้างประตู องค์ชายสี่ซ่านเชียนหยวนเดินเข้ามาอย่างช่วยไม่ได้: “ท่านอากำลังหัวหมุนอยู่กับการจัดการกับสิ่งที่ท่านได้พูดมาทั้งหมดในวันนี้ แล้วยังให้ข้ามาบอกให้ท่านรีบกินยาแล้วนอนเสีย ส่วนหนังสือตำราแพทย์อะไรนั่นก็ไม่ต้องแล้ว เอาธูปหอมผ่อนคลายมาก็พอ ไปแบ่งมาจากส่วนของท่านแม่ของข้า”
“นั่น……” นางรับใช้อึกอักกระอักกระอ่วน
ซ่านเชียนหยวนทำท่าขมวดคิ้วหลิ่วตาขึ้นมา นางรับใช้ถึงได้เข้าใจและออกไป
“อาการป่วยของท่านย่าเรื้อรังมาหลายปี ไม่ว่าจะเชิญหมอสำนักไหนมา ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การที่ท่านย่าสามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงห้าสิบพรรษา ถือว่าโชคดีมากแล้ว แต่นี่ท่านย่ามีชีวิตอยู่มาได้จนหกสิบกว่าพรรษา แม้แต่ตัวท่านย่าเองก็รู้ดี แต่คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่ท่านได้ทำไปในวันนี้นั้น ตำหนักหมอหลวงแทบไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” ซ่านเชียนหยวนพูดด้วยน้ำเสียงเบา
กู้อ้าวเวยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า โรคนี้นั้นเป็นโรคที่ยังไม่มีหนทางรักษาในยุคสมัยนี้
แต่ในเมื่อได้ทำการรักษาไปแล้ว มันจะทิ้งร่องรอยไว้อย่างแน่นอน แต่นางก็ไม่มีปัญญาไปจัดการอะไรกับมัน การช่วยรักษาชีวิตคนเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า นางเพียงแต่สงสัยว่า: “จากที่ข้าเห็น ความสัมพันธ์ระหว่างท่านอ๋องกับไทเฮาไม่สู้ดีนัก แต่เหตุใดฮ่องเต้ที่เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกับท่านอ๋องกลับมีความสนิทชิดเชื้อกับไทเฮาเช่นนี้”
ซ่านเชียนหยวนที่ถูกถามอึ้งไปชั่วขณะ แล้วส่ายหน้า: “อันที่จริงไม่ว่าจะกับท่านพ่อรึกับท่านอา ไทเฮานั้นต่างก็ดีกับทั้งคู่เหมือนๆกัน เพียงแต่เมื่อครั้งที่ท่านอากลับมาเทียนเหยียนหลังจากที่อาจารย์ของเขาได้จากไป ท่านอาได้เข้ามาร้องขอกลางวังหลวงอย่างไม่เกรงกลัวเพื่อจะพาซูพ่านเอ๋อร์กลับมาด้วย หลังจากนั้นจึงเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น หลังจากที่พี่หลิงเอ๋อร์เสียชีวิตไป ท่านอาปักใจเชื่อว่าเบื้องหลังการตายในครั้งนั้น ไทเฮาคือผู้ที่คอยบงการท่านพ่อ
“แล้วความจริงมันเป็นเยี่ยงไรกัน”
“ความจริงแล้ว เป็นท่านพ่อที่ไม่ยอมรับซูพ่านเอ๋อร์ที่นางไม่มีฐานะวงค์ตระกูลที่จะมาช่วยสนับสนุนท่านอาได้ จึงได้ทำเรื่องแบบนั้นลงไป พี่หลิงเอ๋อร์เป็นที่รักและโปรดปรานของท่านพ่อ แต่เบื้องหลังก็ใกล้ชิดกับท่านย่า นางเป็นยอดดวงใจของท่านย่า และเพราะการตายของพี่หลิงเอ๋อร์ จึงทำให้เกิดความบาดหมางขึ้นมากมายระหว่างคนทั้งสามคน……” พูดมาถึงตรงนี้ ซ่านเชียนหยวนก็ถอนหายใจถี่
กู้อ้าวเวยกลับคิดว่าเรื่องนี้ไม่ง่าย
ซ่านหลิงเอ๋อร์ใช้ชีวิตท่ามกลางคำพูดของผู้คนมาโดยตลอด มีแต่คนที่ตายไปแล้วเท่านั้นถึงจะทำให้คนระลึกถึง แต่มันไม่พอที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของคนสายเลือดเดียวกันสั่นคลอน และซ่านจินจื๋อนั้นดูแล้วเย็นชาต่อไทเฮาเช่นนี้ สาเหตุที่แท้จริงน่าจะมีอะไรมากกว่านี้
แต่ไม่ทันที่กู้อ้าวเวยจะได้ใส่ใจ พอได้ธูปหอมผ่อนคลายมา นางก็ง่วงเหงาหาวนอนไปเสียแล้ว ที่ซ่านเชียนหยวนเล่าเรื่องความลับในวังอะไรนั่น แล้วยังมีเรื่องที่เขาร่ายบอกนางว่าให้ระวังอย่าได้สร้างความขุ่นเคืองต่อบุคคลมีอำนาจทั้งหลายเยี่ยงวันนี้อีก นางได้ยินเสียที่ไหน
หลังจากที่กู้อ้าวเวยหลับเป็นตาย ผ่านไปเพียงสองชั่วยาม นางก็ตื่นมาในสภาพเหงื่อท่วมตัว
ข้างเบาะนอนของนางมีคนรับใช้ที่ดูตื่นตระหนกอย่างมากคุกเข่าอยู่ เหล่าบรรดาคนรับใช้ในห้องทั้งหลายอยู่ในท่าคุกเข่ากันหมด และต่างเอาหัวโขกพื้น ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
กู้อ้าวเวยจับต้นชนปลายไม่ถูก นางยังไม่ได้พูดอะไร คนรับใช้ที่อยู่ตรงหน้าก็ร้องไห้ออกมา: “พระชายาเพคะ ไม่ว่าข้าน้อยจะพยายามปลุกท่านเท่าไหร่ท่านก็ไม่ตื่น……หากว่าพวกข้าน้อยรับใช้ท่านไม่ดี……”
“ไม่เป็นไร ข้าก็แค่ฝันร้ายเท่านั้นเอง พวกเจ้าคุกเข่าทำไมกัน” กู้อ้าวเวยเพียงแค่รู้สึกว่าร่างกายเหนียวเหนอะหนะ นางดึงผ้าห่มออกแล้วลุกจากที่นอน คนรับใช้ที่ตัวสั่นไปด้วยความกลัวรีบช่วยนางใส่รองเท้า
“ตอนที่ท่านหลับอยู่นั้น ท่านละเมอขึ้นว่าจะจับทุกคนมาลงโทษ……”
แลดู นางจะฝันเช่นนี้สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้แล้ว ธรรมเนียมของวังหลวงช่างน่ากลัว แค่คำพูดละเมอของนางจากในฝัน คนรับใช้ทั้งหลายเหล่านี้ยังเชื่อฟัง นี่ไม่ใช่สิ่งที่กู้อ้าวเวยต้องการเลย
มีคนมาคอยรับใช้นางทุกกระเบียดนิ้ว หลังจากนางเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดแต่งกายสวยหรูตามแบบฉบับในวังแล้ว จึงมายังตำหนักหลวง ไทเฮายังคงไม่ได้สติ กุ้ยมามาพูดขึ้นว่าเมื่อคืนไทเฮาตื่นขึ้นมาหลายรอบ
“ที่ตำหนักข้ามีหมอนยาอยู่หลายใบ กุ้ยมามาจัดการแทนข้าที ให้คนนำหมอนยามา แล้วข้าจะเติมตัวยาสมุนไพรเข้าไป หมอนยานี้จะช่วยให้ไทเฮาหลับดีขึ้น” กู้อ้าวเวยพูดด้วยหน้ายิ้ม
“จะต้องดีแน่ๆ ข้าจะส่งคนไปเดี๋ยวนี้ค่ะ” กุ้ยมามาสีหน้าดีใจ รีบถ่ายทอดคำสั่งไป