บทที่ 251 แผนส่วนตัว
ให้ฝ่าบาทเข้าใจว่าพวกข้าราชสำนักร่วมมือกับโหวเซ่อเป็นการส่วนตัว ในพระทัยต้องบังเกิดความสงสัยแน่
แล้วในจดหมายฉบับนั้นยังกล่าวถึงการอย่าได้เชื่อถือในตัวอ๋องจิ้ง เกรงว่าเมื่อถึงเวลาจะต้องให้กลุ่มโหวเซ่อเป็นแพะรับบาป และกู้อ้าวเวยค่อยนำพวกตระกูลจูเข้าสู่ตระกูลหยุนอย่างลับๆ
นี่เป็นการเล่นอุบายใต้หนังตาองค์จักรพรรดิเชียวนะ
“อ่อนหัดเสียจริง นางจะทำสำเร็จเร้อ”
“หากนางทำให้ผู้คนเชื่อว่า อ๋องจิ้งกับโหวเซ่อที่ชื่อเสียงอื้อฉาวมีความเกี่ยวพันกันล่ะ?” จูเย่นเพิ่มความเร็วฝีเท้านำจูเซเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมของหยินเชี่ยว “นางหมายจะลากอ๋องจิ้งลงน้ำ”(ชวนทำเรื่องไม่ดี)
“เพราะเหตุใด?” จูเซส่ายหน้าระรัวด้วยความไม่เข้าใจ “ใครไม่รู้บ้างว่าอ๋องจิ้งยิ่งใหญ่สูงส่ง ถึงแม้นางจะไม่ได้เป็นที่โปรดปราน แต่เพียงแค่อยู่ใต้ปีกของอ๋องจิ้งก็มั่งร่ำรวยมีเกียรติไปชั่วชีวิต หากมีความเป็นไปได้ยังอาจจะได้เป็นฮองเฮาอีกด้วย….”
“สวรรค์เท่านั้นที่รู้ ทำตามที่นางบอกก่อนก็แล้วกัน” จูเย่นใบหน้าอึมครึม
แรกเริ่มเดิมทีวันนี้เขามาเพราะอยากให้กู้อ้าวเวยคุ้มครองพวกเขา แต่กู้อ้าวเวยกลับให้ความท้าทายแก่พวกเขา กระทั่งเรียกได้ว่าเป็นการสู้เสือด้วยมือเปล่า
ถึงตรงนี้หากนางไม่ยินยอม ก็ถือโอกาสนี้ใช้พวกเขาเปิดโปงราชทูตของเอ่อร์ตันก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นที่เพิ่งได้กล่าวถ้อยคำไปตอนนั้น เขาก็แค่ใช้เสียงที่เหมือนกันไปหลอก
“นางมีคุณสมบัติอะไรที่จะไปที่เดียวกันกับพวกเรา” จูเซเหลือกตา นางมิอาจลืมช่วงที่ชีวิตบิดาแขวนไว้กับเส้นด้ายบางๆ ยามที่นางหากู้อ้าวเวยที่ปราศจากอำนาจในป่าอย่างไรก็หาไม่พบ
“ตอนที่ตอบโต้กลับก็ถูกนางจับจุดอ่อนไว้แล้ว” จูเย่นเองก็จนใจไร้ทางเลือก
จูเซฮึดฮัดเบาๆ “พี่ ชั่วชีวิตท่านจะถูกผู้หญิงสองคนนี้ข่มไปตลอดเลยหรือไง ถึงแม้จะในความหมายที่แตกต่างกันก็เถอะ”
เป็นเวลานานที่พวกเขาแทบจะต้องทำตามแผนการของกู้อ้าวเวยเกือบทั้งหมด นี่ไยมิใช่ถูกคนจูงจมูกอยู่หรอกหรือ?
“อีกอย่าง ทั้งสองคนนี้ยังเป็นคนที่ซ่านจินจื๋อพึงพอใจ ไม่รู้ควรจะพูดว่าบุรุษผู้นี้โชคดีที่ได้รับความหลงไหลจากซูพ่านเอ๋อร์ แต่ก็น่าขันที่เขาดันยั่วยุพระพุทธรูปองค์ใหญ่อย่างกู้อ้าวเวย” จูเย่นยิ้มเหยียดสำทับตนเอง
พวกเขายามนี้เป็นได้เพียงสมุนชั่วคราวของสาวรับใช้กู้อ้าวเวยเท่านั้น
เมื่อมาถึงด้านในโรงเตี๊ยม หลังจากที่หยินเชี่ยวอ่านจดหมายและเก็บผ้าคลุมหน้าให้กับทั้งสอง ก็มัวแต่วุ่นวายกับเรื่องเปิดกิจการของโรงเตี๊ยมไม่สิ้นสุด นางเชื่อมั่นคนทั้งสองด้วยความจริงใจกระทั่งยังซื้อชุดเสื้อผ้าสวยงามให้กับจูเซอีกหลายชุด
“ปกติข้าอยู่กับคุณหนูก็ไม่ค่อยสวมชุดเสื้อผ้าสวยๆงามๆพวกนั้น เจ้าในเมื่อเป็นคุณหนูคนหนึ่งก็ต้องแต่งตัวสวยๆงามๆหน่อยถึงจะดี” หยินเชี่ยวหัวเราะพลางจัดแจงห้องหับสำหรับนางอย่างสะอาดสะอ้าน แค่เมื่อก่อนข้ายังเข้าใจว่าคนของโหวเซ่อล้วนโหดร้ายป่าเถื่อน แต่ข้าเห็นว่าพวกเจ้าทั้งสองสุภาพอย่างมาก”
จูเซที่ถูกอวยก็รู้สึกเก้อเขินอยู่บ้าง แต่ในช่วงเวลาเพียงไม่นานก็ได้ทำความคุ้นเคยกับหยินเชี่ยว
ในขณะเดียวกันนั้น จูเย่นกลับชนเข้ากับฉีหลินที่ด้านนอกประตู ฉีหลินที่ไม่รู้เรื่องนี้แต่แรกเพียงยึดถือว่าสองพี่น้องคู่นี้เป็นสหายของกู้อ้าวเวย ก็วางกล่องอาหารลงทันที “พอดีเลย เจ้ามาจัดสำรับอาหารที ข้าขอตัวไปดูหยินเชี่ยวก่อนว่าเตรียมตัวเป็นอย่างไรบ้าง”
จูเย่นจนใจไร้ทางเลือก นานมากแล้วที่เขาไม่เคยถูกผู้อื่นเรียกไหว้วานเช่นนี้
แต่การใช้ชีวิตแบบเกียจคร้านแบบนี้ก็ไม่ได้ลิ้มลองมานานเหมือนกันแฮะ
……
กู้อ้าวเวยกำลังจูงมืออาโม่ แทบจะเดินไปครึ่งเมืองเทียนเหยียนเกือบค่อนวัน
เมื่อเปรียบเทียบกับรูปลักษณ์ที่มักกระตุ้นผู้คนในวันธรรมดา กู้อ้าวเวยในยามนี้ที่ไร้ผ้าคลุมหน้า เผชิญหน้ากับท่าทางที่ราวกับเด็กน้อยก่อนอาโม่ ยามนี้แม้ตะวันจะตกดินมือของนางก็ยังรั้งคอเสื้อของอาโม่ไว้ให้ตามตนเดินลงแม่น้ำด้วยเท้าเปลือยเปล่า
ระดับแม่น้ำเพิ่งจะท่วมถึงแค่ข้อเท้า อาโม่ก็วักน้ำสาดด้วยความดีใจ
“ที่นี่ในตอนกลางคืนสวยมากเลย! พวกเราสามารถอยู่เล่นกันต่อใช่ไหม!”
“แน่นอน” กู้อ้าวเวยอุ้มนางขึ้นจากแม่น้ำที่เย็นยะเยือก “แต่ไม่ใช่วันนี้”
“ทำไมอ่า—–” อาโม่ลากเสียงยาน กอดข้อมือของกู้อ้าวเวยแล้วแทรกตัวเข้าในอ้อมแขน “ถ้างั้นวันนี้ข้าสามารถนอนกับพี่สาวได้หรือไม่? แล้ววันพรุ่งท่านค่อยเล่าการปรุงยาที่น่าสนใจให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม?”
เดิมคิดจะเอ่ยปากตกลง แต่เมื่อยามที่กู้อ้าวเวยขึ้นฝั่งกลับเห็นมือหนายื่นมาหาตน
ช่วงเวลาที่ลังเล ซ่านจินจื๋อก็ได้ดึงนางขึ้นมา ใช้ชิงต้ายไปสวมรองเท้าให้อาโม่ ส่วนซ่านจินจื๋อก็อุ้มอาโม่วางลงด้วยตนเอง “นางกำลังป่วย ประเดี๋ยวจะทำให้เจ้าติดไปด้วย”
“ก็ได้”อาโม่คอตกด้วยความผิดหวัง แต่อย่างไรนางก็ยังเป็นแค่เด็ก หากให้นอนคนเดียวในสถานที่ที่ไม่คุ้นชินก็คงไม่ดีเท่าไรนัก ชิงต้ายจึงดึงนางเข้ามาแล้วปลอบให้ไปนอนด้วยกันกับนาง
กู้อ้าวเวยสวมรองเท้าอย่างเชื่องช้า ส่วนอาโม่ได้ลากชิงต้ายเข้าไปในฝูงชนเสียแล้ว นางได้แต่หัวเราะด้วยความจนใจจึงค่อยเดินตามไป
ข้อมือเรียวบางกลับถูกซ่านจินจื๋อรั้งเอาไว้ “เจ้ายังป่วยอยู่นะ”
“ไม่ได้นักหนาอะไรนี่ นานแล้วที่ข้าไม่ได้มีความสุขขนาดนี้” กู้อ้าวเวยหัวเราะดังขึ้นมา ยังสะบัดมือของซ่านจินจื๋อออก ราวกับเด็กน้อยที่ถลาเข้าไปในฝูงชน บนใบหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้มแสนอ่อนโยน
ขณะมองเงาแผ่นหลังของนาง ซ่านจินจื๋อเดินเคียงข้างนางจนกระทั่งกลับถึงโรงยาโดยไม่ปริปากบ่นแม้สักคำ
อาโม่ตามชิงต้ายไปล้างหน้าบ้วนปากในห้องอย่างไม่เต็มใจจากลานัก ส่วนกู้อ้าวเวยแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำที่ใส่สมุนไพรลงไปไม่น้อย ขณะที่สวมชุดคลุมเดินออกมาเส้นผมที่เปียกยังประอยู่บนบ่า
เห็นว่าซ่านจินจื๋อยังอยู่จึงตกตื่นเล็กน้อย “ท่านทำไมยังอยู่อีกเล่า?”
“เจ้าต้องการลูก”
คำกล่าวของซ่านจินจื๋อเสียดแทงหัวใจนางดั่งเข็มเงิน
มือขยำเสื้อบริเวณอก กู้อ้าวเวยพลันลดศีรษะลง “ข้าต้องการความเงียบสงบมากกว่า หากท่านยังอยู่ที่นี่ต่ออาจจะทำให้ซูพ่านเอ๋อร์รังควานข้าไม่เลิกรา ข้าว่าท่านควรไปซะดีกว่า”
การเคลื่อนไหวของซ่านจินจื๋อที่กำลังเขียนฎีกาหยุดชะงักลง “พ่านเอ๋อร์ไม่ทำเรื่องแบบนี้”
“งั้นหรือ?” กู้อ้าวเวยหัวเราะออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ เพียงแค่ลูบเรือนผมเบาๆแล้วนั่งลงที่ด้านข้างซ่านจินจื๋อ “ในเมื่อท่านอ๋องใคร่จะอยู่ คืนนี้หม่อมฉันเองก็ไม่ใคร่จะนอน บังเอิญยังต้องการค้นคว้ายาถอนพิษของโหวเซ่ออยู่พอดี
ซ่านจินจื๋อเองก็ไม่คัดค้าน ทั้งคู่แบ่งพื้นที่คนละฝั่งต่างคนต่างไม่รบกวน
กู้อ้าวเวยใช้เวลาพลิกอ่านตำราโบราณเพิ่มมากขึ้น ค้นหาเครื่องมือด้วยความพยายามยิ่ง ส่วนซ่านจินจื๋อนั่งอ่านฎีกาอยู่ที่ด้านข้างอย่างเงียบๆ สัมผัสเพียงหนึ่งเดียวของทั้งคู่มีแค่ตอนที่หัวไหล่ชนกันแล้วรั้งตัวกลับในทันที
ดึกดื่นมากแล้ว กระทั่งซ่านจินจื๋อก็ยังง่วง ทว่ากู้อ้าวเวยกลับโบกมือไล่เขา “หากท่านอ๋องง่วงแล้วก็พาตัวเองไปเข้านอนเถอะ ข้าได้เบาะแสบางอย่างแล้ว”
“ข้ามาที่ที่ก็เพื่อให้เจ้าได้พักผ่อน”
ซ่านจินจื๋อไม่ได้เกิดโทสะอย่างไร้เหตุผล พาคนประคองขึ้นเตียง “ถ้าหากเจ้ายังอยากมีเรี่ยวแรงไปเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนอาโม่ในวันพรุ่งล่ะก็นะ”
มือของซ่านจินจื๋อทาบที่เอวของนาง ความร้อนรุ่มที่เบื้องล่างทำให้กู้อ้าวเวยเงียบปากแล้วหลับตาลงอย่างเชื่อฟัง