บทที่ 239 สารจากโหวเซ่อ
อะไรคือการตายดีกว่าการมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครรู้จักมันอย่างถ่องแท้เท่าตัวข้า นั่นคือสิ่งที่กู้อ้าวเวยคิด
ชิงต้ายและหยินเชี่ยวรีบรุดกันออกมาและตั้งใจจะทายาบนแก้มที่มีร่องรอยของฝ่ามือให้กับกู้อ้าวเวย กู้อ้าวเวยกลับส่ายมือแล้วแตะยากระเด็นออกไป หรือว่าซ่านจินจื๋อเห็นนางเป็นสัตว์เดรัจฉานจริงๆ
“ร่องรอยฝ่ามือนี้ปล่อยมันไว้ก่อน มันยังมีประโยชน์”
กู้อ้าวเวยอธิบายด้วยเสียงเบาพร้อมหันมาดึงหยินเชี่ยวเข้าไปหา: “โรงเตี๊ยมนั่นอีกไม่กี่วันก็จะเปิดแล้ว ที่เจ้ารีบมาหาข้าในวันนี้เพราะเหตุใดกัน”
“หากวันนี้ข้าไม่มาหาท่าน ซูพ่านเอ๋อคงไม่สามารถมาล่วงเกินท่านได้”หยินเชี่ยวเอามือทุบกระโหลกโทษตัวเอง: “ข้าไม่ได้เจอท่านหญิงมานานแล้ว พอดีได้ยินข่าวที่ว่าท่านช่วยรักษาชีวิตไทเฮาไว้ จึงอยากมาแสดงความยินดีสักหน่อย แต่ไม่คิดเลย……”
“นี่ไม่ใช่ความผิดเจ้าสักหน่อย” กู้อ้าวเวยเคาะไปที่หน้าผากของหยินเชี่ยว: “ถึงอย่างไรสักวันนางก็ต้องมาหาเรื่องอยู่ดี ในเมื่อเจ้าไม่มีเรื่องอะไร ข้าก็วางใจ แล้วหากไม่ใช่เพราะเจ้าอยากเจอชิงต้าย ข้าคงไม่ได้กลับมาที่ตำหนักเร็วเช่นนี้ และไม่ได้เอาคืนสองฝ่ามือให้กับชิงต้าย ปล่อยให้นางถูกรังแกอยู่คนเดียว”
หยินเชี่ยวที่เป็นคนซื่อตรงถูกคำกล่าวที่เป็นเหตุเป็นผลของกู้อ้าวเวยหว่านล้อมเข้าให้อย่างง่ายดาย นางพยักหน้าหลายครั้งรับคำพูดของกู้อ้าวเวย
“แต่ความจริงที่ข้ามาในวันนี้ก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” หยินเชี่ยวดูเหมือนว่าฉุกคิดอะไรขึ้นได้ นางหยิบซองจดหมายซองหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ: “ข้าพบจดหมายนี่วางอยู่ที่โรงเตี๊ยม แต่จ่าหน้าซองเป็นชื่อนายหญิง ข้าจึงรีบนำมาให้ท่าน”
“แล้วทำไมไม่รีบบอกตั้งแต่แรก” ชิงต้ายมองหยินเชี่ยวอย่างเอือมระอา
เรื่องสำคัญเช่นนี้คุยกันตั้งแต่ร้านยาเหย้าจนมาถึงตำหนักอ๋อง
หยินเชี่ยวลูบหัวของนางไปมาอย่างกระอักกระอ่วนใจ: “ข้าอยากให้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันนี่นา แล้วข้าก็ไม่ได้เจอเจ้านานแล้วด้วย และก็ไม่รู้ว่าเหตุใดนายหญิงถึงส่งข้าไปที่จวนฉี……”
“นายหญิงทำไปทั้งหมดก็เพื่อเจ้า เจ้าซื่อบื้อ” ชิงต้ายโต้ตอบหยินเชี่ยวไปอย่างเอือมระอา
กู้อ้าวเวยที่มองดูเหตุการณ์อย่างสนใจอยู่นั้นยิ้มมุมปากออกมาแบบไม่รู้ตัว จากนั้นจึงเปิดซองจดหมายที่อยู่ในมือออกดู
เป็นจดหมายมาจากสองพี่น้อง จูเย่น จูเซ
สารฉบับแรก เป็นข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกันยาวเต็มหน้ากระดาษ มีหลายเงื่อนไขที่ไม่อาจยอมได้ แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นข้อเรียกร้องที่รับไม่ได้
ฉบับที่สอง เขียนบอกไว้ว่าพวกเขาได้ตัดขาดการติดต่อกับซูพ่านเอ๋ออย่างเด็ดขาดแล้ว และไม่มีวันช่วยเหลือนางอีกต่อไป แต่ในระยะนี้ มีแคว้นเล็กที่ชื่อเอ่อตานแลดูเหมือนว่ามาตามไล่ล่าพวกเขาอย่างไม่ลดละทั้งที่พวกเขาไม่ได้ไปสร้างเรื่อง พวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากกู้อ้าวเวย
เอ่อตาน?
กู้อ้าวเวยเคยรู้มาจากองค์ชายสามว่า แม้เอ่อตานจะเป็นแคว้นเล็ก แต่ด้วยลักษณะภูมิประเทศ ที่นั่นจึงมีอากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ และเกิดภัยธรรมชาติน้อย เรียกได้ว่าเป็นดินแดนสวรรค์
แคว้นชางหลานไม่สนใจแคว้นเล็กๆเช่นนี้ พวกเขาเพียงกลัวมาตลอดว่าความปรารถนาของพวกเขาจะไม่ได้รับการเติมเต็ม หลายสิบปีก่อนดูเหมือนว่าจะมีการส่งเชลยศึกมา และภายหลังเกิดปัญหาความมั่นคงภายใน สองสามปีมานี้สถานการณ์เพิ่งจะสงบลง แล้วเหตุใดจึงสานสัมพันธ์กับโหวเซ่อ
ขณะที่กู้อ้าวเวยกำลังใคร่ครวญอยู่นั้น นางหยิบสารฉบับที่สามมาเปิดออกอ่าน ด้านบนกระดาษมีชื่อร้านค้าของเทียนเหยียนจำนวนหนึ่ง
กู้อ้าวเวยทำการเผากระดาษพวกนั้น ทางฝั่งหยินเชี่ยวยังคงคิดจะหยิบยาทาขึ้นมาจากพื้น แต่ถูกชิงต้ายดึงไว้อย่างเต็มแรง: “นายหญิงบอกว่ามันยังมีประโยชน์ไง”
“แต่หากไม่ทายาสักหน่อย พรุ่งนี้แก้มก็จะยิ่งบวมไปกันใหญ่” หยินเชี่ยวไม่เข้าใจ
“ซูพ่านเอ๋อแกล้งทำตัวน่าสงสารเป็นอยู่คนเดียวหรือไง” กู้อ้าวเวยยิ้มมุมปากพลางห้ามมือของหยินเชี่ยวไว้ นางมองที่หยินเชี่ยวอย่างเอือมระอาเล็กน้อย: “เจ้าใกล้จะออกเรือนแล้วแท้ๆ แต่เหตุใดเจ้ายังเป็นเหมือนกับเด็กที่ยังไม่โต”
“หยินเชี่ยวไม่ใช่เด็กสักหน่อย” หยินเชี่ยวหงุดหงิดไม่พอใจ นางกระโดดเข้าไปกุมมือของกู้อ้าวเวย: “ข้ากับนายหญิงเราโตมาด้วยกัน ทำไมข้าจะไม่รู้ นายหญิงก็ชอบทำตัวเป็นเด็ก”
กู้อ้าวเวยทำอะไรไม่ถูก “เจ้าช่างพูดเก่งนัก”
“นี่ก็สายมากแล้ว เดี๋ยวข้าไปเอาอาหารที่ห้องครัว ชิงต้ายพูดพร้อมกวักมือเรียกหยินเชี่ยว
ชิงต้ายคิดว่าสารพวกนั้นต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมากอย่างแน่นอน แทนที่กู้อ้าวเวยจะแค่แช่มันลงไปในน้ำ แต่นางกลับถึงขั้นเผามันไปเลยทีเดียว
กู้อ้าวเวยยิ้มพลางพยักหน้าให้หยินเชี่ยว หลังจากยิ้มส่งนางทั้งคู่ออกไป สีหน้ากู้อ้าวเวยกลับจริงจังขึ้นมา
คิดไม่ถึงเลยว่ากองกำลังของโหวเซ่อจะมีไม่น้อย การประนีประนอมกับโหวเซ่อในครานั้นเป็นเรื่องที่ดี สิ่งเดียวที่กู้อ้าวเวยกังวลใจคือ ในวันนั้นนางได้พูดเรื่องจริงครึ่งไม่จริงครึ่งกับโหวเซ่อ แต่เอ่อตานเป็นเพียงแคว้นเล็กๆ นางจะทำอะไรได้
เรื่องนี้ยังต้องคิดให้ละเอียดถี่ถ้วน
หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว นางไม่มีกะจิตกะใจจะนึกถึงเรื่องอาหาร จึงลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วใส่ผ้าคลุมหน้า เดินทางไปยังจวนฉีเพียงลำพัง เมื่อมาถึงก็ได้พบกับฉีหรัว กู้อ้าวเวยจึงเอ่ยขึ้นว่า “ได้ยินว่านายท่านฉีโดนทำให้โกรธจนป่วย ข้ามาเพื่อตรวจดูอาการ”
“โปรดตามข้ามา” ฉีหรัวสั่งให้คนรับใช้ทั้งหลายออกไป: “นี่ท่านมาเพื่อรักษาหน้าให้หยินเชี่ยวใช่รึไม่”
“หยินเชี่ยวไม่มีทางกลับไปหาข้าอย่างไร้เหตุไร้ผล นายท่านฉีจะต้องพูดอะไรเป็นแน่”
ฉีหรัวถอนหายใจยาว: “สุดท้ายก็ปิดบังท่านไม่ได้ ช่วงนี้อาการพ่อข้าดีขึ้น เมื่อเขาเห็นหยินเชี่ยวจึงส่งคนรับใช้ให้ไปลงมือ หากข้าไม่อยู่ เรื่องนี้ไม่หยุดอยู่ที่สิบกว่าโบยเป็นแน่ ข้าลังเลแล้วลังเลอีก สุดท้ายจึงให้นางไปอยู่ที่ร้านยาเหย้า
สิบกว่าโบย?
ตอนนั้นในหัวของกู้อ้าวเวยมีแต่เรื่องตบตีของซูพ่านเอ๋อ เลยไม่ทันได้ใส่ใจ
ไม่คาดคิดเลยว่า การที่สาวรับใช้อย่างหยินเชี่ยวคิดอยากแต่งงานกับคนที่ตัวเองรัก จะมีหนทางที่ยากลำบากเพียงนี้
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ฉีหรัวมองดูใบหน้าของกู้อ้าวเวยที่ยังคงมีผ้าคลุมหน้าปิดอยู่ด้วยความสงสัย: “ข้าเห็นหน้าท่าน……”
“ไม่เป็นไร ใบหน้านี้จะไปปรากฏต่อหน้าไทเฮาในวันพรุ่งนี้” กู้อ้าวเวยพยักหน้าอย่างประจักษ์อยู่ในใจว่า เห็นทีคงต้องให้หยินเชี่ยวฝึกวิชากังฟูไว้บ้าง
ฉีหรัวพยักหน้าแล้วพากู้อ้าวเวยมายังห้องของฉีหมิง
ฉีหมิงที่ตื่นตกใจต้องการลงจากเตียงเพื่อทำการทักทายกู้อ้าวเวยตามธรรมเนียม แต่กู้อ้าวเวยก็เข้าไปพยุงเขากลับขึ้นไปที่เตียงนอน นางมองเขาอย่างจำใจ: “ข้ามาเพื่อตรวจดูอาการท่าน”
“นี่……ถ้าให้ท่านอ๋องรู้เข้า……”
“ก็แค่หมอมารักษาคนป่วย” กู้อ้าวเวยนั่งลงข้างเตียงเพื่อวินิจฉัยชีพจรของฉีหมิง ผ่านไปครู่หนึ่ง กู้อ้าวเวยมองเขาอย่างเอือมระอา: “ในช่วงนี้นายท่านฉีควรจะระวังอารมณ์โกรธของตัวเอง ในสมัยก่อนท่านหักโหมงานมากจนเกินไป ตอนนี้ร่างกายท่านอ่อนแอลงไปมาก รอข้าเขียนใบสั่งยา ให้ท่านดื่มวันละเกือบครึ่งถ้วย”
“ขอบพระทัยพระชายาจิ้ง” ฉีหมิงกระอักกระอ่วน
หลังจากเขียนใบสั่งยาแล้ว กู้อ้าวเวยจึงเงยหน้าขึ้นจ้องมองฉีหมิง: “ความกังวลที่นายท่านฉีมีต่อฐานะของหยินเชี่ยว ข้าเข้าใจดี”
ทันใดนั้นฉีหมิงตกตะลึงจนลืมหายใจ ใบหน้าของเขาซีดเป็นไก่ต้ม ทำตัวไม่ถูก: “ข้าจะเล่าทุกอย่างตามความเป็นจริงให้พระชายาได้รับทราบ พวกเราตระกูลฉีมีวันนี้ได้ ทั้งหมดถูกสร้างมาด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน แม้ฉีหลินจะไม่ใช่ลูกที่เกิดจากชายาเอกของข้า แต่ข้าตั้งใจจะยกสำนักเยียนหยู่เก๋อให้เขาดูแล”
ฉีหรัวที่อยู่ด้านนอกประตูได้ยินชัดเจนทุกถ้อยทุกคำ นับตั้งแต่โบราณกาล ทายาทผู้สืบทอดทรัพย์สมบัติของตระกูลต้องเป็นชายเท่านั้น
“เหตุใดท่านจึงเลือกฉีหลิน ในเมื่อลูกชายท่านคนอื่นๆต่างมีความสามารถเป็นเลิศ” กู้อ้าวเวยยิ่งไม่เข้าใจ
ผู้ที่อยู่บนเตียงนอนถอนหายใจถี่หลายครั้ง แล้วจึงพูดขึ้นอย่างไม่มีทางเลือก: “เป็นเพราะมารดาของฉีหลิน นางได้ทำเพื่อตระกูลฉีมามากมายยิ่งนัก ข้าสามารถแบ่งที่ดินและทรัพย์สมบัติให้กับลูกแต่ละคน แต่สำหรับสำนักเยียนหยู่เก๋อนั้น หากไม่ได้มารดาของฉีหลิน สำนักเยียนหยู่เก๋อไม่อาจอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้”