บทที่ 260 มีชีวิตรอด
ภายในคุกอันมืดมิด กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นอับชื้นไร้หนทางจะลบให้เลือนออก
ในชุดนักโทษ มือทั้งสองของซ่านจวนฮ่าวถูกสวมด้วยเครื่องจองจำกุญแจมืออันหนักอึ้ง เขาผมเผ้ายุ่งเหยิง ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดบางๆ ทว่าเมื่อพบกู้อ้าวเวยดวงตาที่ขุ่นมัวกลับทอความสว่างไหวในพริบตา เดินมาถึงเบื้องหน้านางด้วยอาการโซซัดโซเซ
ซ่านจินจื๋อยืนมองคนทั้งสองในที่ไม่ไกลนัก สีหน้ายิ่งเพิ่มความมืดทะมึน
กู้อ้าวเวยคุกเข่าลงบนพื้น ยื่นมือออกไปช่วยเขาจัดผมเผ้า พลางหัวร่อใส่เขา “เป็นใครที่บอกว่าจะสร้างผลงานประสบผลสำเร็จแล้วกลับมาหาข้า?”
ซ่านจวนฮ่าวมองแมวไม้เชือกแดงที่เอวนางพลันยิ้มกว้าง “ครั้งนี้ไม่มีหนทางแล้ว แต่ข้าอย่างไรได้พบหน้าเจ้า”
กู้อ้าวเวยสูดจมูกด้วยใจที่แตกสลาย “ท่านทรยศแคว้นเข้าร่วมศัตรูจริงหรือ?”
“ไม่เลย ข้าไม่กล้าเพียงนั้น”ซ่านจวนฮ่าวหัวร่อออกมาอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง นั่งไขว่ห้างอยู่บนพื้นพลางนวดศีรษะ “ข้ากลัวหากเจ้ารู้ว่าทรยศเข้าร่วมศัตรู วันหน้าคงไม่ได้เห็นเจ้าอีกแล้ว”
“ดูคล้ายที่ข้ามาพบท่านตอนนี้เป็นเรื่องที่ถูก”สองมือของกู้อ้าวเวยลอดผ่านเข้าไปในกรงประคองใบหน้าที่สกปรกมอมแมมของเขาราวกับมองสมบัติล้ำค่า เห็นซ่านจวนฮ่าวยังคงตะลึงลาน นางยิ้มพลางลดศีรษะลง “ข้ายังไม่อาจชอบเจ้าได้ ขอโทษด้วย”
ซ่านจวนฮ่าวเบิกตากลมกว้างเล็กน้อยด้วยความจนใจ “ข้าเองก็ไม่คู่ควรกับเจ้า”
“หากเจ้าอยากเหมาะสมคู่ควรข้าจริง ก็เดินออกมาจากที่แห่งนี้”ปลายนิ้วของกู้อ้าวเวยสัมผัสติ่งหูแล้วคลึงอย่างแผ่วเบา “แม้ไม่อาจเป็นสามีภรรยาแต่การเป็นมิตรสหายยังคงไม่เป็นปัญหา”
สองมือแนบที่หลังมือนางเบาๆ ซ่านจวนฮ่าวดูดซับอุณหภูมิใบแก้มทั้งสองข้างด้วยความคิดถึงทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับค่อยๆเลือนหาย เหลือเพียงความโดดเดี่ยวเศร้าสร้อยอันบางเบา “ซ่านจวนฮ่าวได้สิ้นชีวิตไปแล้ว”
“ท่านไม่ใช่…..”
“องค์พระชายา ฝ่าบาทเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนได้ประกาศพระราชโองการ องค์ชายหกซ่านจวนฮ่าวสิ้นพระชนม์ที่เขตชายแดน”เฉิงซานเอ่ยกล่าวด้วยเสียงค่อยอยู่ที่ด้านข้าง
”
ร่องรอยความตกตะลึงวาดผ่านบนใบหน้าของกู้อ้าวเวย มองซ่านจินจื๋อด้วยใบหน้าอันบูดบึ้งในฉับพลัน “นี่คือเรื่องดีงามที่ท่านกระทำ”
“เจ้าในเมื่อดูจบแล้ว เช่นนั้นก็จงรู้ไว้เสียว่าวันหน้าบนโลกนี้ไม่มีองค์ชายหกอีกต่อไป”ซ่านจินจื๋อสาวเท้ายาวมายังข้างกายกู้อ้าวเวย หมายจะออกแรงดึงนางออกมา
ทว่ากู้อ้าวเวยกลับดึงซ่านจวนฮ่าวในกรงขังเข้าหาตนด้วยสีหน้ามืดทะมึน นำถุงเงินและของมีค่าบนร่างยัดส่งให้เขาเป็นพัลวัน พลันประสายตายตากับเขา “มีชีวิตอยู่ต่อไป หาสตรีสักคนที่รักท่าน”
“เวยเอ๋อร์ แต่ข้า…..” ซ่านจวนฮ่าวยังคงอาลัยอาวรณ์
“ท่านสามารถรอดชีวิตไปได้ เป็นเพราะบิดาเจ้ารู้ว่าท่านเป็นบุตรชายของเขา ในเมื่อเขาให้ท่านมีชีวิตรอด วันหน้าจะต้องรักษาชีวิตนี้ไว้ ออกไปจากเมืองเทียนเหยียนเสีย ในโลกใบนี้ยังมีทิวทัศน์งดงามอีกมากมาย”กู้อ้าวเวยยิ้มพลางดึงเขานำมาไว้ข้างกาย แม้มีกรงเหล็กที่กำลังขวางกั้นนางยังสามารถจุมพิตลงบนขมับศีรษะของเขา “ขอบคุณที่ท่านชมชอบข้า”
ซ่านจวนฮ่าวมองกู้อ้าวเวยด้วยความเหม่อลอย อีกฝ่ายเพียงรอยยิ้มอันข่มขื่นออกมา
ไม่อาจให้นางจากไปเช่นนี้…..
“เจ้าสามารถให้เสด็จอาหย่ากับเจ้า เจ้าไปด้วยกันกับข้า พวกเราไปโลดแล่นอิสระด้วยกันเถิด”
ซ่านจวนฮ่าวกอดมือนางไว้แน่น “เจ้ามิใช่ใคร่รู้ว่าข้าเพราะเหตุใดจึงชมชอบเจ้าหรอกหรือ ในเทศกาลโคมไปเมื่อห้าปีก่อน เจ้าปลอมตัวสวมเสื้อผ้าเป็นบุรุษเพื่อช่วยกู้หน้าบ่าวรับใช้หญิงคนสนิทข้า ข้าจึงติดตามเจ้า เฝ้ามองเจ้านำบ่าวคนสนิทข้าส่งกลับจวน ยามที่เจ้าคลายมวยผมข้าก็รักเจ้าในทันที”
กู้อ้าวเวยตะลึงลาน ใคร่อยากกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่าซ่านจินจื๋อฉุดลากนางออกมาด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล “ไปได้แล้ว”
ขณะกู้อ้าวเวยถูกลากออกไปสามารถทำได้เพียงร้องตะโกนเสียงดังบอกเขา “นั่นเป็นชิงต้ายคนสนิทของข้า ไม่ใช่ตัวข้า ข้าไม่เคยปลอมตัวเป็นบุรุษ”
ซ่านจวนฮ่าวพยายามอย่างหนักที่จะมองดูนาง เฉิงซานกลับขวางเขาไว้พลางกล่าวเสียงค่อย “ท่านอ๋องทรงมีคำสั่ง ข้าน้อยรอส่งท่านออกนอกเมืองเทียนเหยียน เกิดเองดับสูญเอง”
ซ่านจวนฮ่าวบังเกิดความเคียดแค้น ชกหมัดใส่บนกำแพง ความเจ็บปวดทำให้เขาเจ็บปวดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
นึกไม่ถึงในยามที่ต้องจากลา เขายังต้องให้เวยเอ๋อร์มาโกหกเขาเพื่อให้สงบใจ
เมื่อออกจากที่คุมขังของศาลฎีกา กู้อ้าวเวยหวนฟื้นสู่ความเฉยชาดั่งปกติ ยอมให้ซ่านจินจื๋อฉุดลากนางขึ้นรถม้าแต่โดยดี บนข้อมือที่ช้ำม่วงช้ำเขียวนางกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดแม้แต่น้อยทั้งยังกล่าววาจา “ บิดาของเขารู้จักไว้ชีวิตเขา ท่านเป็นเสด็จอาของเขาไยยังให้ร้ายเขาเช่นนี้”
“เขาเป็นแรงต้านมากที่สุดของข้า”ซ่านจินจื๋อดึงนางลงมานั่งข้างกายตนด้วยโทสะ แทบอยากจะนำนางเคล้นเข้ามาในร่างของตน “เจ้าชอบเขาถึงเพียงนั้น?”
“ข้าไม่สามารถชอบเขาได้”กู้อ้าวจนด้วยเกล้า บางทีซ่านจวนฮ่าวอาจจะนำความรู้สึกรักยามแรกพบเก็บไว้ในหัวใจ แต่นางจนถึงตอนนี้ สิ่งที่พบเห็นกลับเป็นนัยน์ตาอันเย็นยะเยือกของซ่านจินจื๋อที่กำลังแดงฉาน นางไม่เคยทราบอย่างไรที่เรียกรักแรกพบ
แต่นางทราบว่าคนอย่างซ่านจินจื๋อ ทำให้ผู้คนหวาดกลัว
“เพียงแต่ว่า ชั่วชีวิตข้าไม่อาจลืมเรื่องที่เขาเคยชมชอบข้า”กู้อ้าวเวยพลันยิ้ม “พวกเจ้าตระกูลกู้ล้วนเป็นประเภทรักแบบลุ่มหลง ชอบก็คือชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ”
ชั่วอึดใจต่อมา ซ่านจินจื๋อกดที่ริมฝีปากของนางอย่างดุร้าย สูดลมหายใจของนางอย่างหยาบคาย
กู้อ้าวเวยหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง นางย่อมคิดอยากจากไปอยู่นานแล้ว แต่เมื่อก้าวพลาด ก้าวต่อๆไปก็ยิ่งผิดพลาด
ถูกบังคับให้รองรับการกระทำของบุรุษหยาบคาย ยามที่ซ่านจินจื๋อเงยหน้าขึ้น นางทำได้แค่เพียงมองเขาด้วยลมหายใจหอบกระชั้น “ผู้ที่เขาชอบเป็นชิงต้าย”
“เป็นเพราะเจ้าไม่ต้องการปล่อยให้เขากังวลในตัวเจ้า” ซ่านจินจื๋อยิ่งเดือดดาล เขารู้ตั้งแต่แรกว่าประโยคสุดท้ายนั่นก็เพียงแค่หวังว่าซ่านจวนฮ่าวไม่อาจชอบนางได้อีก
หลังจากที่ถูกมองออก กู้อ้าวเวยเพียงหัวร่อเสียงเบา “เดิมทีคิดไว้ว่าข้าอาจจะมีวิธีลบล้างความคับข้องใจให้เขา สุดท้ายคาดไม่ถึงยังเป็นท่านอ๋องที่ก้าวรวดเร็วกว่าข้า”(เปรียบเปรยว่าท่านอ๋องรู้ทัน)
“เพราะข้ารู้ว่าเจ้าสามารถช่วยเขาได้” มือของซ่านจินจื๋อรัดเอวนางไว้แน่น “ข้ากลับรู้สึกว่าเจ้าชมชอบเขามาก เจ้าไยมิใช่คิดอยากใช้ชีวิตอิสระไปกับเขาจริงงั้นหรือ!”
“คิดอยาก แต่ไม่สามารถ”กู้อ้าวเวยมองซ่านจินจื๋อ “ตราบใดที่มีท่านอยู่ ข้าเพียงสามารถถูกจองจำอยู่ในจวนอ๋องตลอดกาล ข่มขู่คุกขามโดยท่าน เหตุใดท่านไม่สามารถปล่อยข้าไปได้เล่า?”
ถ้อยวาจานี้เรียบง่าย ทว่ากลับกระตุ้นโทสะซ่านจินจื๋อโดยสมบูรณ์
เมื่อกลับถึงโรงยา ซ่านจินจื๋อนำคนที่ยังดิ้นรนขัดขืนอุ้มเข้ามาภายในห้องโดยไม่แยแสการดิ้นรนของกู้อ้าวเวย นำนางถอดเสื้อผ้าออกจนเกลี้ยงเผยให้เห็นผิวขาวราวหิมะอันตระการตา
ขณะมองดูตัวอักษร ‘หยุน’ บนกระดูกไหปลาร้านาง ซ่านจินจื๋อพลันกัดลงไปอย่างดุร้าย ความเจ็บปวดทำให้กู้อ้าวเวยถึงกับหน้าถอดสี ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจ บุรุษดึงเชือกรัดผมออกแล้วจับมือทั้งสองข้างไว้กับหัวเตียงอย่างแน่นหนา
ก่อนที่พายุฝนฟ้าจะถาโถม นางเพียงได้ยินถ้อยคำอันขู่ขวัญของบุรุษ “ต่อแต่นี้ไป อย่าให้ข้าพบเห็นว่าเจ้าเดินเข้าไปใกล้กับบุรุษหน้าไหนอีก”
ความหยาบกระด้างที่ตามมาหลังจากนั้นแทบจะแผดเผานาง กู้อ้าวเวยกัดริมฝีปากไว้แน่น การเคลื่อนไหวของบุรุษจึงได้ค่อยๆอ่อนโยน ตลอดระหว่างที่นางกึ่งฝันกึ่งตื่นราวกับสามารถรู้สึกถึงมือของบุรุษที่กระทบกับแก้มนางด้วยความแผ่วเบา กล่าวกระซิบว่า “เจ้าเป็นของข้า”