บทที่ 298 มีดที่เกิดสนิม
ฝนยิ่งตกยิ่งหนัก โลงศพของหยุนหว่านฮูหยินถูกขโมยไปนานแล้ว แต่ยังไม่มีข่าวอะไรเหมือนเดิม
เหลือแต่แผ่นหินจารึกหน้าหลุมฝังศพที่เอียงอยู่ข้างๆ ตัวอักษรหยุนหว่านบนแผ่นหินจารึกถูกขีดทำร้ายด้วยอุปกรณ์ที่แหลมคม ไม่เหลืออะไรเลยสักนิด กู้อ้าวเวยนั่งยองลง และจับดินมาดู ไม่เห็นมีปัญหาอะไร
“ลองขุดดู” กู้อ้าวเวยรู้สึกผิดปกติ คิดว่าต้องมีปัญหาแน่นอน
กุ่ยเม่ยไปเอาท่อนไม้ที่มีขนาดใหญ่เท่ากับแขนที่ข้างๆมาขุดดินออก พอขุดได้ลึกถึงประมาณครึ่งตัวคน เขาหมดแรง ขุดไม่ไหวแล้ว กู้อ้าวเวยใช้เท้าเขี่ยดินข้างๆออกไป แต่ฝนตกหนักมาก ลำบากจริงๆ
“มีของอยู่ในนั้นครับ” กุ่ยเม่ยตะโกนขึ้น และหยิบเอาของออกจากหลุม เช็ดดินออกและเอาให้กู้อ้าวเวย
สองคนจ้องมองตากัน กู้อ้าวเวยตกใจ พูดว่า “เป็นมีดที่เกิดสนิมที่ชิงต้ายได้พูดถึงเมื่อก่อนนี้ไหม แต่ได้เอาให้คุณบิดาแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมอยู่ที่นี่คะ”
กุ่ยเม่ยส่ายหัว สองคนคิดอยู่สักพัก ไม่กล้าให้คนอื่นรู้จัก เลยห่อมีดที่เกิดสนิมนั้นไว้ และเติมหลุมให้เหมือนเดิม แต่เสื้อผ้าทั้งสองคนสกปรกมาก กลับไปสภาพนี้ไม่ได้แน่นอน เลยตัดสินใจไปบ้านของตระกูลเมิ่งที่อยู่ชานเมืองก่อน
ยัยโง่หงกำลังมองดูพวกสิ่งของในบ้าน ที่เตรียมไว้เพื่อต้อนรับฮูหยินสองคนนั้น
พอเห็นกู้อ้าวเวยเป็นสภาพที่เสื้อผ้าเต็มไปด้วยดินโคลนมาถึงที่บ้าน จึงรีบเชิญสองคนนี้เข้าไปในบ้าน เธอเองไปต้มน้ำให้พวกเขาอาบน้ำ ช่วยเตรียมเสื้อผ้าที่สะอาดให้เปลี่ยน และต้มน้ำซุปขิงมาให้พวกเขาดื่ม
“ฝนตกหนักขนาดนี้ พวกคุณขึ้นไปภูเขาทำไมคะ ดูสิ ชุดนี้ซักไม่สะอาดแล้วนะ”
ยังโง่หงโยนเสื้อผ้าลงบนพื้น ดูท่าทางน่าจะไม่ซักแล้ว สักพักเหมือนนึกถึงเรื่องอะไร ตบหัวตัวเอง และพูดว่า “พวกคุณไปเขาหยินซานใช่ไหมคะ พึ่งนึกออกว่า สุสานของหยุนหว่านฮูหยินอยู่บนภูเขานั้น”
“ค่ะ” กู้อ้าวเวยพยักหน้า และดื่มน้ำซุปขิงร้อยๆ
“เรื่องสุสานหยุนหว่านฮูหยิน ข้าทาสไม่รู้เรื่องหรอก แต่ข้าทาสรู้จักว่า บนภูเขานั้น อันตรายมากนะตอนนี้ ข้าทาสไปเอาฟืนกับคนตัดไม้แบกฟืนเมื่อครั้งที่แล้ว เขาบอกว่าผียายเฒ่ากลับมาแล้ว จะไปประหารชีวิตของคนในจวนเฉิงเสี้ยง” ยังโง่หงเล่าไปด้วยคิดไปด้วย
คนตัดไม้แบกฟืนคนนั้น อายุน่าจะเกินห้าสิบแล้วนะ แต่เพื่อการทำมาหากินจึงต้องไปตัดไม้ฟืนที่ภูเขา เขาเคยปีนภูเขาที่อยู่ข้างๆเมืองเทียนเหยียนเกือบทุกภูเขาละ จึงได้เล่าเรื่องนี้ให้ยังโง่หงฟังเมื่อเอาไม้ฟืนมาส่งที่บ้าน
“เขายังได้พูดอะไรอีก” กู้อ้าวเวยสีหน้ามืดมน
“เขายังบอกว่า กู้เฉิงปิดบังได้ชั่วคราว แต่ปิดบังไม่ได้ตลอดชีวิตหรอกค่ะ บอกว่าหยุนหว่านฮูหยิน ไม่ควรอยู่กับเขา ควรอยู่กับอดีตจักรพรรดิ ประมาณนี้ค่ะ และยังพูดว่า หยุนหว่านฮูหยินเป็นคนที่น่าสงสารมาก และยังเคยได้ยินว่า แต่ก่อนมีเสียงร้องไห้ของผู้หญิงมาจากในตำหนักเจิ้นหุน (ตำหนักผู้พิทักษ์)นั้นด้วย” ยัยโง่หงเห็นสีหน้าของกู้อ้าวเวยไม่ค่อยดี รีบพูดว่า “เป็นข่าวลือเฉยๆนะ คิดว่าไม่มีผีบนโลกนี้หรอกค่ะ จึงไม่ได้ฝากให้นายท่านซู๋ไปบอกท่านค่ะ”
กุ่ยเม่ยเข้าใจความคิดของยัยโง่หง เรื่องผีหรือกำลังวิเศษพวกนี้ พูดมั่วไม่ได้จริง
กู้อ้าวเวยคิดไปคิดมา เรื่องนี้ก็ไม่ได้เข้าใจยากนะ
เธอลืมไปว่า ตอนแรก ตระกูลหยุนควรแต่งงานกับคนในราชวงค์ แต่เมื่อกู้เฉิงแต่งงานกับหยุนหว่าน เขายังไม่ได้เป็นเฉิงเสี้ยงด้วยซ้ำ ต้องโชคดีและมียุญคุณแค่ไหน จึงได้แต่งงานกับหยุนหว่าน ถ้าคนตัดไม้แบกฟืนคนนั้นพูดความจริง งั้นตำหนักเจิ้นหุน (ตำหนักผู้พิทักษ์)แห่งนี้ คิดว่าเป็นการหลอกเล่นเฉยๆ เพื่อให้กู้เฉิงกลัว และไม่กล้าทำไม่ดีต่อหยุนหว่าน
แต่เสียดายที่อดีตจักรพรรดิป่วยหนักมาก ยังไม่ทันให้หมอรักษา เกิดจลาจลในราชวงศ์ อดีตจักรพรรดิสวรรค์คต และฮ่องเต้ปัจจุบันนี้ครองราชย์ เรื่องนี้จึงจบไปอย่างไม่เรียบร้อย ดูท่าทางของซ่านจินจื๋อแล้ว เขาน่าจะไม่ทราบเรื่องนี้หรอก
“ผมอยู่ต่อแล้วกัน รอดูผียายเฒ่านั้นเป็นสภาพไหนกันแน่” กุ่ยเม่ยมองหน้ากู้อ้าวเวย
“ได้ค่ะ” กู้อ้าวเวยหันหน้ามาและพยักหน้า
ยัยโง่หงยังงงอยู่ บอกให้กุ่ยเม่ยถ้ายังไม่กลับตอนนี้ เดี๋ยวมาพักทานข้าวที่นี่ได้
คุนรู้เรื่องแล้ว กู้อ้าวเวยจึงกลับไปเมืองเทียนเหยียนเอง
ถึงตำหนักอ๋อง ชิงต้ายเอาทับทิมให้เธอกิน และฟังกู้อ้าวเวยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ จึงพูดว่า “หยุนหว่านฮูหยินเสียไปตั้งนานแล้ว สำหรับการรอคอยนั้น รอหนึ่งวันหรือรอหนึ่งปีก็เหมือนกันนะ ทำไมคุณหนูรีบร้อนขนาดนี้คะ”
กู้อ้าวเวยตกใจเล็กน้อย ในขณะเดียวกัน ชิงต้ายป้อนทับทิมเข้าปากเธอพอดี
“ตอนนี้มีเวลาเยอะ คิดเรื่องอื่นดีกว่าไหม คุณหนูเองที่พูดอยู่เสมอ ว่า ถ้าคิดมากเกินไป ก็จะยิ่งคิดยิ่งงงอีก” ชิงต้ายป้อนเธอกินทับทิมต่อ
กู้อ้าวเวยนั่งดูฝนตกอยู่ในห้อง กินทับทิม คายเมล็ดทับทิม
ใช่สิคะ ทำไมต้องยึดเรื่องใดเรื่องหนึ่งไว้ละ
คิดเข้าใจแล้ว กู้อ้าวเวยหยิบทับทิมมากินเอง คิดสักพัก จับชิงต้ายและพูดว่า “ไปสำนักเยียนหยู่เก๋อกับฉันเถอะ ฉันกลัวว่าจางเหยียงซานจะไม่มีสติเพราะการแก้แค้น ถ้าเดือดร้อนแล้วเอาไงดี”
ชิงต้ายพยักหน้า เก็บทับทิมและเปลือกให้เรียบร้อย จึงตามกู้อ้าวเวยจากไป
ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว สำนักเยียนหยู่เก๋อปิดประตูพอดี
พวกเขาเจอกันที่ข้างหน้าประตูสำนักเยียนหยู่เก๋อพอดี ดูท่าทางแล้ว ฉีหรัวไม่มีความไม่พอใจนะ จางเหยียงซานก็ดูปกติ ไม่ใช่สภาพโหดร้ายอย่างตอนกลางวัน
“ดึกแล้ว คุณไปพักอยู่ที่ร้านยาเหย้าเถอะ” กู้อ้าวเวยโล่งใจ และเอากุญแจร้านยาเหย้าให้เขา
จางเหยียงซานตกใจเล็กน้อย และรับเอากุญแจ
ฉีหรัวมองหน้ากู้อ้าวเวยอย่างแปลกใจ ถามว่า “คุณเอาคนเก่งแบบนี้มาจากไหนคะ ได้ช่วยฉันตั้งเยอะ”
“ว่าไงนะ” กู้อ้าวเวยสงสัย และเดินเข้าใกล้
“เขาเชี่ยวชาญด้านการใช้ยารักษามาก วันนี้มีคนหาเรื่อง ฟ้องว่าหน้าของเธอเสียเพราะใช้ยาที่ซื้อจากร้าน ถ้าไม่มีเขาดูออกว่า คนนั้นตั้งใจจะมาโกหก ฉันยังไม่รู้จะจัดการยังไงเลย” ฉีหรัวยิ้มและถาม “คุณจะให้เขามาช่วยฉันเหรอคะ”
กู้อ้าวเวยไม่รู้จะทำยังไง คาดไม่ถึงว่า ที่ใช้จางเหยียงซานนี้ ถูกต้องจริงๆ
แต่คิดไปคิดมา วันนี้พี่สาวของเขาพึ่งเสีย และยังให้เขามาทำธุระด้วย ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่หรอกนะ จึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ฉีหรัวฟัง ฉีหรัวตกใจมาก มองหน้าเขาอย่างตาโต และถามว่า “คาดไม่ถึง คุณกล้าหาญขนาดนี้ มาทำงานกับฉันไหม”
“ไม่ครับ ผมต้องแก้แค้น” จางเหยียงซานมองหน้ากู้อ้าวเวย และถามว่า “ผมควรทำยังไงต่อครับ”
กู้อ้าวเวยมองหน้าเขาและตอบว่า “ได้สิ แต่คุณต้องทำเอง ฉันจะช่วยคุณวางแผน ตกลงไหม”
“คุณไปไว้ทุกข์เจ็ดวันให้พี่สาวของคุณก่อน เมื่อใจเย็นลง ค่อยมาหาฉัน” กู้อ้าวเวยบอกว่า
“ผมไหวครับ”
“คุณไม่ไหว การแก้แค้นจะทำให้คุณล่าช้า หู้ปู้เซ่อหลางเป็นที่ธรรมดาขนาดนั้นเหรอ คุณพลาดไม่ได้” กู้อ้าวเวยมองหน้าเขาอย่างโมโห
เห็นสองคนเหมือนจะทะเลาะกัน ฉีหรัวรีบจับเอากู้อ้าวเวย จางเหยียงซานคิดอยู่สักพัก จึงพยักหน้า และตอบว่า “ผมเข้าใจแล้วครับ”