แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่ 289 โลงศพหยุนหว่าน
สายลมในขุนเขาก่อตัวขึ้นราวกับหอบประโยคสุดท้ายของกู้อ้าวเวยไปด้วยแล้วค่อยๆผ่อนเบาลง
ขณะที่กู้อ้าวเวยเดินทางกลับได้จับมือของกุ่ยเม่ยเดินลงเขาอย่างระมัดระวัง กลับส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “นับว่าพวกเราสองคนได้พบความสัมพันธ์ของท่านพ่อกับท่านแม่แล้ว
“มีท่านเป็นเจ้านาย ต่อไปกระหม่อมต้องทนทุกข์ทรมานแน่แล้ว” กุ่ยเม่ยหัวเราะตาม กระชับมือของกู้อ้าวเวยไว้แน่น
พวกเขาตกลงใจในบั้นปลายของชีวิต
“ใช่แล้ว หลายวันก่อนท่านแอบดื่มเซาเตาจื่อของกระหม่อมไปใช่หรือไม่?”
(烧刀子 เซาเตาจื่อ ชื่อเหล้าจีนที่มีความเข้นข้นของแอลอยู่ที่ 65% 烧 แปลว่าเผาไหม้ 刀子 แปลว่ามีด ชื่อนี้ได้มาเพราะเวลาดื่มแล้วร้อนแสบคอเหมือนกลืนมีดร้อนๆลงไป)
“รสแรงเกินไป ไม่เห็นจะอร่อย” กู้อ้าวเวยแลบลิ้นแหวะ กุ่ยเม่ยโกรธจนอยากจะทุบนาง สุราเซาเตาจื่อนั่นก่อนหน้านี้ผู้อื่นนำกลับมาจากต้าโม่หลี่ เดิมทีก็เหลือเพียงน้อยนิดแต่กลับถูกกู้อ้าวเวยดื่มไปเสียแล้ว
ทั้งคู่ทุ่มเถียงกันขณะเดินลงจากเขา
สายลมในภูเขาพัดขึ้นมาอีกครั้ง ที่ข้างหลุมศพหยุนหว่าน ผ้าผืนสีฟ้าน้ำทะเลก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
กู้อ้าวเวยรู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมาอย้างไม่มีสาเหตุ หันกลับไปมองด้วยจิตใต้สำนึก กุ่ยเม่ยที่อยู่ด้านหน้าจึงหยุดฝีเท้ามองนาง “เป็นอะไรไปพ่ะย่พะค่ะ?”
“ไม่มีอะไร” กู้อ้าวเวยลูบขนแขนที่กำลังลุกชันแล้วตามกุ่ยเม่ยเดินลงเขาต่อ
เมื่อถึงจวนอ๋องก็เป็นเวลาพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว
กู้อ้าวเวยง่วงจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่นานแล้ว หลังจากรีบล้างหน้าบ้วนปากรับเจ้าพุทรากับเจ้าป๋ายเสามาจากมือกุ่ยเม่ย เมื่อหัวล้มถึงหมอนกรงเล็บของป่ายเสากลับเกี่ยวกระดุมแขนเสื้อนาง กู้อ้าวเวยจึงได้แต่นอนตะแคงแล้วนำเจ้าพุทราเข้ามาไว้ในอ้อมแขนแล้วนอนหลับไป
วันรุ่งขึ้น ไก่ทองแจ้งอรุณของเช้าวันใหม่
กู้อ้าวเวยถูกซ่านจินจื๋อลากออกมาจากผ้านวมอีกครั้ง
“ข้าแค่อยากจะนอนหลับให้เต็มสักตื่น” ขณะสวมเพียงชุดในก็ถูกอุ้มเข้าในรถม้าทันที กู้อ้าวเวยห่อร่างด้วยผ้าห่มผืนบาง ขณะมองแววตาซ่านจินจื๋อที่มืดทะมึน “เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ?”
“ตระกูลจูแยกตัวจากโหวเซ่อนานแล้ว เมื่อสักครู่มีสายลับมารายงานว่าคนชุดขาวของโหวเซ่อปรากฎตัวขึ้นที่หยินซาน นั่นเป็นภูเขาที่เจ้าไปเยี่ยมหลุมศพของหยุนหว่านฮูหยินมาเมื่อวาน ชาวประมงที่หมู่บ้านพบเห็นเงาร่างคนสีขาวกลางดึกถูกทำให้ตกใจจนหมดสติไป”เฉิงซานอยู่ด้านนอก ขณะที่กำลังบังคับรถก็บอกเล่าไปด้วย
“อีกอย่าง หลุมศพของหยุนหว่านฮูหยินเมื่อคืนถูกคนขุดออกไป” ซ่านจินจื่อสำทับอีกประโยค
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ กู้อ้าวเวยพลันยกหนังตาขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ “เมื่อวานข้าไปเยี่ยมหลุมศพมารดาหลังจากนั้นก็มีคนนำศพออกไป หากมิใช่ความบังเอิญ เช่นนั้นผู้ที่สามารถนำโลงศพลงจากเขาได้ย่อมต้องมีฝีมือสูงส่ง”
ขณะรักษาความสุขุมเยือกเย็น กู้อ้าวเวยห่อตัวลงไปในผ้าห่ม ดวงตากระจ่างใสจ้องมองไปที่ซ่านจินจื๋ออีกครั้ง “อีกอย่างหยินซานมีทางสองฝั่ง หมู่บ้านชาวประมงอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ผู้ที่ไปทำคนแตกตื่นก็เพื่อให้ผู้คนรู้เรื่องนี้ แต่เป้าหมายไม่ใช่ข้าอย่างแน่นอน”
“นั่นเป็นหลุมศพมารดาของเจ้า” ซ่านจินจื๋อคล้ายกำลังถาม นางไม่มีความเศร้าโศกสักนิดเลยงั้นหรือ?
ในความทรงจำของนาง แม้แต่ยามที่หยุนชิงหยางลาจากโลกนี้ไปกู้อ้าวเวยกลับฟื้นความรู้สึกได้อย่างรวดเร็ว มีเพียงบุตรในครรภ์ที่ไม่ได้ถือกำเนิดทำให้นางฝันร้ายหลอนหลอก แต่กับบิดามารดาของตนกลับไม่ได้รักพันผูกมากมายนัก
“แต่ท่านแม่ของข้าได้จากไปนานแล้ว” กู้อ้าวเวยจนใจ
นางครอบครองร่างกายนี้อย่างเปล่าเปลือย หากมีความรู้สึกรักใคร่มากมายกับมารดาที่ไม่เคยพบหน้าจริงๆสักครั้ง หรือมีความผูกพันกับบิดาที่ไม่เคยเห็นตนเองเป็นลูกสาว นั่นจึงเป็นการเสแสร้งอย่างแท้จริง
ซ่านจินจื๋อเวลานั้นไร้คำกล่าว ผ่านไปเนิ่นนานจึงได้เอ่ยวาจา “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเรื่องนี้สมควรจัดการอย่างไร”
“ท่านแม่เป็นภรรยาของพ่อข้า ผู้ที่คนชุดขาวต้องการปองร้ายสมควรเป็นท่านพ่อ”กู้อ้าวเวยกล่าวเหมือนไม่ใช่เรื่องหนักหนา อีกทั้งมีเพียงนางกับกุ่ยเม่ยเท่านั้นที่ทราบว่าคนชุดขาวไม่ทำร้ายตน แต่ซ่านจินจื๋อนั้นไม่ทราบ
“เจ้าคาดเดาได้ไม่ผิด”
“ในเมื่อเป้าหมายของพวกมันไม่ใช่พวกเรา ท่านตอนนี้จะหอบข้าไปที่ไหน?”กู้อ้าวเวยถลึงตาใส่ซ่านจินจื๋ออย่างฉับพลัน เมื่อมองชุดในบางๆของตนก็ยิ่งปวดเศียรเวียนเกล้า “ไม่ ตอนนี้จะเป็นที่ไหนข้าก็ไปไม่ได้”
“พาเจ้าไปตามโลงศพของมารดาเจ้า” ซ่านจินจื๋อกล่าวจบ รถม้าที่ได้ออกจากเมืองเทียนเหยียนก็เร่งความเร็วมากขึ้น
กู้อ้าวเวยตะลึงลาน เพียงชั่วอึดใจปลายนิ้วของซ่านจินจื๋อได้จับเข้าที่ใต้คางของนางเบาๆพลันก้มมองนาง “เจ้าใบหน้านิ่งเรียบ แต่ในใจเตลิดเปิดเปิงไปแล้วสินะ”
“เปล่านี่” กู้อ้าวเวยที่ถูกตอแยลืมตาปรือเล็กน้อย กลับยกมุมปาก “แต่โลงศพของท่านแม่ข้าแน่นอนว่ามิอาจตกในเงื้อมมือของผู้อื่น”
“ได้ยินมาว่าบิดาเจ้ารักหยุนหว่านฮูหยินมาก แต่ตอนที่เขาทราบเรื่องนี้ยังคงตรึงทหารไว้ไม่เคลื่อนไหว” ซ่านจินจื๋อจุมพิตที่มุมปากกู้อ้าวเวย บางทีขนมพุทราของเมื่อวานยังเหลือรสอยู่ จึงสัมผัสได้ถึงความหวานสายหนึ่ง
นางกลับไม่ได้ผลักไสเขาออกและไม่ได้ขัดขืนความชิดใกล้ของซ่านจินจื๋อ กู้อ้าวเวยกระทั่งยิ้มและคว้าเสื้อของซ่านจินจื๋อดึงเขาให้เข้ามาใกล้ “ท่านตอนนี้ได้เริ่มทดสอบพ่อข้าแล้ว คงไม่กลัวว่าตอนไหนข้าจะบอกเขา”
“แต่เจ้าอยู่ข้างข้า”ซ่านจินจื๋อผลักเรือตามน้ำนำคนเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
กู้อ้าวเวยรูปร่างผอมบาง อ้อมกอดของซ้านจินจื๋อกลับสามารถโอบนางไว้ได้อย่างพอดี
“อย่ามั่นเกินไป ไม่แน่ว่าเมื่อใดที่ข้าจะหลอกลวงท่าน” กู้อ้าวเวยที่นั่งอยู่ในอ้อมกอดเขาแววตาเย็นเยียบเล็กน้อย นางได้หลอกลวงเขามานานแล้วต่างหาก
“แน่นอน แต่ตราบใดที่หัวใจของเจ้าอยู่ที่ข้าก็ย่อมได้” ซ่านจินจื๋อตระกองกอดนางไว้ด้วยความพึงพอใจ
ปลายนิ้วของกู้อ้าวเวยกระชับแน่นขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ค่อยๆคลายตัวออก
ในเวลานี้ นางไม่อาจหวนรำลึกถึงลูกที่ไม่ได้คลอดออกมา ยิ่งไม่สามารถหวนรำลึกถึงสัมผัสของคมมีดที่กรีดเลือกเนื้อนาง
เมื่อผ่อนคลายลง นางกลับนึกถึงใบหน้าของบิดาที่เสแสร้งครั้งแล้วครั้งเล่า พลันส่งเสียงหัวเราะเบาๆ “ท่านพ่อให้เหยียนจือไปติดต่อหัวหน้าแม่ทัพไว้ไม่น้อย”
“ข้าทราบ” ดวงตาของซ่านจินจื๋อค่อยๆหรี่แคบ “กู้เฉิงเสี้ยงไม่ได้แสดงออกเหมือนอย่างท่าทีที่เห็น”
“เช่นนั้นเมื่อได้โลงศพของท่านแม่ข้ามา ท่านจะทำอย่างไร?”กู้อ้าวเวยนอนพิงในอ้อมกอดของเขา ทำท่าหาวประดุจแมวเหมียวจอมเกียจคร้าน
“หาสถานที่เพื่อฝังศพ แต่ข้าจะไม่นำเรื่องนี้บอกกล่าวกู้เฉิงเสี้ยง” ขณะที่ซ่านจินจื๋อกล่าว ต่อมาได้ลดเป็นเสียงกระซิบพูดข้างหูกู้อ้าวเวย “หยุนหว่านฮูหยิน เคยมีความสัมพันธ์อันดีกับซู๋ฮองเฮา ยังเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตองค์ชายรอง และท่านพ่อของเจ้า ได้ปล่อยให้เจ้าหน้าที่บางส่วนพึ่งพิงองค์ชายรองเป็นการส่วนตัว เจ้าว่าเช่นนี้ควรทำอย่างไร?”
กู้อ้าวเวยเบิกตากว้าง หันกลับมามองซ่านจินจื๋อด้วยยากที่จะเชื่อ “มีความเกี่ยวพันกับองค์ชายรองได้อย่างไร?”
ครานี้กลับเป็นฝ่ายซ่านจินจื๋อที่ต้องตกตะลึง”หรือเจ้าไม่รู้อะไรเลย?”
“แต่ไรมาก็ไม่มีใครพูดเรื่องท่านแม่กับข้า ข้าก็เลยไม่ทราบที่ท่านพ่อกับองค์ชายรองมีความเกี่ยวพันกัน” กู้อ้าวเวยตื่นตระหนกเพียงชั่วครู่ก็เอ่ยขึ้นในทันที “ท่านต้องการบอกกับพ่อข้าว่าโลงศพนั้นว่างเปล่า หลังจากนั้นก็รอให้พ่อข้าเผยพิรุธออกมารอให้ท่านกวาดเก็บเรียบงั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว หากเขาทราบว่าหยุนหว่านไม่ได้ตาย เขาจะต้องคิดอย่างแน่นอนว่าหยุนหว่านใช้เส้นสายเหล่านั้นของนางมาล้างแค้นเขา ถึงอย่างไรในตอนแรกการตายของหยุนหว่านก็เกิดจากน้ำมือของเขา”
ด้วยถ้อยวาจาสุดท้ายที่สิ้นสุดลง กู้อ้าวเวยรู้สึกว่าหัวใจถูกกระหน่ำอย่างรุนแรง