บทที่ 315 เรื่องราวหลากหลาย
กู้เฉิงเสี้ยงถูกำกล่าวโทษ ทั่วทั้งราชสำนักตะลึงลาน
ฮ่องเต้โกรธจัดจนถอดถอนออกจากตำแหน่ง ค้นบ้านยึดทรัพย์สินส่งเข้าคุกรอการลงโทษ บุตรสาวทั้งสองที่แต่งเข้าราชวงศ์จวนอ๋องจิ้ง นับว่าเป็นคนของราชวงศ์ ไม่ต้องรับโทษทัณฑ์ ส่วนบุตรบุญธรรมกู้เหยียนจือคุมตัวส่งกลับเทียนเหยียน ศาลต้าหลี่รอการพิจารณาคดี
กู้เฉิงคุกเข่าลงกับพื้นด้วยใบหน้าขาวซีดราวกับกระดาษ สั่นสะท้านทั่วทั้งร่าง
องค์ชายรองหน้านิ่วคิ้วขมวด มีเพียงซ่านจินจื๋อที่สีหน้าไม่เปลี่ยน
“หมอมฉันทราบดีว่าต้องโทษ” ยามนี้กู้เฉิงกลับโขกศีรษะอย่างรุนแรง ในแววตาไร้ความขลาดกลัว แต่กลับหันมองไปที่ซ่านจินจื๋ออย่างช้าๆ “แต่อ๋องจิ้งกับองค์ชายสี่ไม่อาจหนีพ้นการข้องเกี่ยวพ่ะย่ะค่ะ!”
ซ่านจินจื๋อเชิดคิ้วเล็กน้อย กระทั่งซ่านเซิ่่งหานที่วันนี้ร่วมเข้าประชุมราชสำนักยังมองไปทางซ่านเชียนหยวนโดยไม่ได้ตั้งใจ
ซ่านเชียนหยวนงงงัน ถูกกู้เฉิงกล่าวเช่นนี้ พลันเห็นเสด็จพ่อที่ใบหน้าเปลี่ยนสี จึงลุกขึ้นยืนทันที “ท่านกู้เฉิงเสี้ยงกล่าววาจาเช่นนี้มีเจตนาใด? ข้าไม่สนใจเรื่องการเมือง ไม่เคยกระทำเรื่องเลวทรามที่ผิดต่อสวรรค์”
“
“ฝ่าบาท! หมู่บ้างฉางผิงนอกเมื่องเยว่ซาน บ้านริมน้ำโล่เสียที่อำเภอโล่เสีย ยังมีหมู่บ้านสกุลหลี่แห่งภาคเหนือตะวันตก ล้วนเป็นกองกำลังทหารส่วนพระองค์ขององค์ชายสี่!”กู้เฉิงโขกศีรษะอย่างรุนแรงอีกครั้ง
เหล่าขุนนางตกตะลึงพรึงเพริศ ส่งเสียงกระซิบกันเซ็งแซ่
ขมับศีรษะฮ่องเต้เส้นเลือดปูดโปน ดวงตาเย็นชาทอดลงบนร่างของซ่านเชียนหยวน “จริงหรือที่เจ้ากระทำเรื่องเช่นนี้?”
ซ่านเชียนหยวนรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นภัยที่ได้รับโดยไม่มีเค้าลางมาก่อน จึงได้รีบคุกเข่า “หมอมฉันไม่ได้ทำพ่ะย่ะค่ะ! หลังจากที่หมอมฉันกลับมาก็พำนักอยู่ในเทียนเหยียนตลอดไม่เคยออกไปไหน เรื่องนี้ต้องมีคนใส่ร้ายแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
ดวงตาพลันหรี่แคบ ฮ่องเต้ก็มิใช่คนไร้เหตุผลเสียทีเดียว
ซ่านเชียนหยวนไร้อำนาจอิทธิพลใดๆ ต่อให้ต้องการสร้างกองกำลังลับในพื้นที่เหล่านี้จริงนั้นยากเสียยิ่งกว่ายาก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเมืองเหยียนซานกับบ้านริมน้ำโล่เสียที่เป็นจุดสำคัญทางทหาร สายตาของเขาพลันทอดลงบนร่างของซ่านจินจื๋อ
ซ่านจินจื๋อพลันเชิดคิ้วสูง ไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่ากู้เฉิงจะใช้เรื่องนี้มากดดันตน
หลังจากที่กู้เฉิงเอ่ยจบ เสนาบดีสองคนที่อยู่ด้านข้างได้พบหลักฐาน นำจดหมายทั้งหมดของฉีเหยียนป่ายแห่งเมื่องเยว่ซานชูขึ้นมา สร้างความโมโหแก่ฮ่องเต้จนควันออกหู “ไปเรียกตัวทุ้งโจวที่รักษาการณ์บ้านริมน้ำโล่เสียกลับมา แล้วนำฉีเหยียนป่ายผู้นี้คุมตัวส่งศาลต้าหลี่! เจิ้นอยากจะเห็นนัก ว่าผู้ใดกันที่กล้าตั้งกองกำลังลับใต้สายตาของเจิ้น!”
(เจิ้น สรรพนามแทนตนเอง ใช้สำหรับฮ่องเต้)
เมื่อสิ้นวาจารับสั่ง เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ทรงไม่เชื่อถือว่าเรื่องนี้องค์ชายสี่เป็นผู้กระทำ
เพียงน่าเสียดายที่ซ่านเชียนหยวนยังไม่ทันได้หายใจโล่งคอ องค์ชายรองก็ได้เดินเยื้องยาตรมายังเบื้องหน้า พลันประสานมือเล็กน้อย “หมอมฉันมีเรื่องจะกราบทูล”
“ว่ามา!” ฮ่องเต้เกิดโทสะแล้ว
“
“ฉีเหยียนป่ายเป็นผู้ที่เสด็จอาทรงเลื่อนขั้นยกตำแหน่งขึ้นมากับมือ ยามที่ตัวลูกกลับมาจากด่าน ได้ทราบว่าเสด็จอาพบอยู่ก่อนแล้วว่ามีคนส่งจดหมายถึงเอ่อตาน แต่บัดนี้ เสด็จอาทรงมิเอ่ยถึงเรื่องนี้ออกมา ทั้งยังไม่ได้ส่งคนไปนำจดหมายที่ส่งแก่เอ่อตานกลับมา”แววตาขององค์ชายรองทอดมองร่างของซ่านจินจื๋อ
เหล่าขุนนางต่างทยอยกันพึมพำขึ้นมา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทุกคนที่สามารถมีสิทธิเป็นองค์ชายรัชทายาทล้วนมีส่วนเกี่ยวข้อง
ซ่านเซิ่งหานในฐานะองค์ชายเพียงหนึ่งเดียวไม่ได้ถูกม้วนตัวเข้าสู่วังวนนี้ กลับดึงดูดสายตาผู้คนมากยิ่งขึ้น
ซ่านจินจื๋อยิ้มเย็น “ข้านำเรื่องนี้บอกกล่าวแก่ฝ่าบาทอยู่ก่อนแล้ว”
“ใช่” ฮ่องเต้พยักหน้ารับ แม้ได้ลบล้างความผิดของซ่านจินจื๋อแล้ว แต่เขากลับกระหายรู้มากยิ่งขึ้น ฉีเหยียนป่ายเป็นคนของซ่านจินจื๋อ ทั้งเป็นสหายขององค์ชายสี่และเป็นกองกำลังส่วนตัวที่อยู่นอกเมื่องเยว่ซานอีกด้วย
เรื่องนี้มีเงื่อนงำ
ซ่านจินจื๋อหัวใจทิ้งดิ่ง กลับคาดไม่ถึงว่าคำพูดของกู้เฉิงจะนำพาปัญหามามากมายถึงเพียงนี้ แล้วกู้เฉิงรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน? ถึงแม้ฮ่องเต้จะสามารถพิสูจน์ว่าเขากับประเทศเอ่อตานไม่มีการคบค้าไปมาหาสู่ แต่เกี่ยวกับเรื่องเมื่องเยว่ซานย่อมบังเกิดความสงสัยเป็นแน่
องค์ชายรองกลับรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนอยู่ในคาดการณ์ “ดูเหมือนเป็นหลานที่เข้าใจเสด็จอาผิดไป แต่การที่ท่านให้เซียวไห่เกณฑ์ทหารเมืองรอบด่านชายแดน ควบคุมอำนาจทางทหาร นำแม่ทัพรักษาด่านที่หลานวางไว้ถอดถอนตำแหน่งด้วยตนเอง แล้วใช้คนของท่านเสียบแทน เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
ซ่านจินจื๋อถึงกับสะอึกอย่างเหนือความคาดหมาย องค์ชายรองเฉลียวฉลาดคารมคมคายขนาดนี้ได้อย่างไร
ขณะที่เขากำลังตระหนัก หู้ปู้เซ่อหลางก็ได้เดินร่ำไห้ขึ้นมา ลงคุกเข่าปล่อยโฮ “ขอฮ่องเต้ได้โปรดทรงตัดสินให้แก่กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“ใต้เท้ากว่างมีเรื่องอันใด” ฮ่องเต้พลันขมวดคิ้วมุ่น พูดจาเลอะเทอะกันไปหมดแล้ว
“ฝ่าบาท! คฤหาสน์ของข้าน้อยถูกคนวางยาพิษปองร้ายอยู่สองสามครา เดิมทีเข้าใจว่าศัตรูของข้าน้อยมาหาเรื่องถึงเรือน ครึ่งนี้กลับเชิญหมอเทวดาที่ปลีกตัวสันโดษมาได้โดยมิคาดหมาย จึงได้พบว่าพิษนี้คล้ายคลึงกับครั้งก่อนๆพ่ะย่ะค่ะ” กว่างจี้พลางพูดพลางปล่อยโฮด้วยสีหน้าอันแก่ชรา “หมอเทวดาผู้นั้นบอกไว้ว่า พิษนี้มีเพียงพระชายาจิ้งที่สามารถแก้ไขได้!”
ฮ่องเต้ในยามนี้โกรธจนกล่าวอะไรไม่ออก เรื่องนี้กลับยิ่งมายิ่งเลอะเทอะกันไปใหญ่แล้ว เรื่องเยอะกันจริงๆ
ซ่านจินจื๋อดวงตาหรี่แคบ ความหมายของใต้เท้ากว่างจี้จะบอกว่า พิษนี้เป็นของพระชายาจิ้งข้างั้นหรือ?”
กว่างจี้ใบหน้าบูดเบี้ยว กลับชี้นิ้วไปทางซ่านจินจื๋อ
ชั่วเวลานั้น เหล่าขุนนางต่างวิจารณ์กันเซ็งแซ่
ประการแรกกู้อ้าวเวยเป็นบุตรของหยุนหว่านฮูหยิน เรื่องของบิดาบังเกิดเกล้าผู้คนก็โจษจันกันไปทั่ว แล้วยังเรื่องโลงศพที่ถูกลักขโมยอีก เชือกทวงชีวิตหวนปรากฎคืนยุทธภพอีกครา จวนอ๋องจิ้งประสบหัวขโมยโจมตี ฮูหยินทั้งสามล้วนเกิดเรื่องขึ้นอย่างต่อเนื่อง บัดนี้เรื่องต้องยาพิษเกิดแดงขึ้น ย่อมมีคนไม่น้อยที่สงสัยว่าเป็นพิษของกู้อ้าวเวย
กล่าวถึงตรงนี้ ฮ่องเต้เพียงใบหน้ามืดทะมึน เรื่องนี้ราวสลับซับซ้อน เกี่ยวพันเป็นวงกว้าง คนเหล่านี้กล้าที่จะนำเรื่องนี้แฉออกมาอย่างหมดเปลือกกลางท้องพระโรง ที่น่ากลัวคือพยานบุคคลกับพยานวัตถุ แต่ใครถูกใครผิดนั้นอย่างไรนั้นกลับยากที่จะสรุป
“เสด็จพ่อ หมอมฉันมีบางอย่างที่จะกล่าว” ซ่านเซิ่งหานเดินออกมาจากด้านริม กล่าวเสียงค่อย “ทุกท่านต่างยืนยันคำพูดของตนเอง แต่บัดนี้พยานบุคคลยังมาไม่ถึง ไม่สู้นำตัวทุกรายกักบริเวณภายในจวนเสียก่อน รอจนพยานบุคคลพยานวัตถุพร้อม ค่อยนำเรื่องนึ้ขึ้นมาสะสาง”
ขุนนางสองสามรายผงกศีรษะกันหงึกหงัก ซ่านจินจื๋อไม่อาจหาญด่วนรีบร้อน พลันเหลือบมองกู้เฉิงที่คุกเข่าข้างๆ “แรกเริ่มเดิมทีวันนี้ก็เป็นการสะสางเรื่องของท่านกู้เฉิงเสี้ยง ท่านกู้เฉิงเสี้ยงแม้กล่าวอ้างข้อมูลบางอย่างแต่ก็ยังไม่อาจชดเชยความผิดได้ ไม่สู้คุมตัวส่งเข้าเรือนจำเสียก่อน วันหน้าค่อยทำการไต่สวน”
“งั้นก็เอาตามที่เจ้าว่าแล้วกัน” พระหทัยของฮ่องเต้ผ่อนคลายตาม
เรื่องราวเหล่านี้สลับซับซ้อน แล้วยังเกี่ยวข้องกับพี่น้องที่เคารพรักมากที่สุด แล้วไหนจะเหล่าองค์ชายอีก
เรื่องราวยุติตรงนี้ ซ่านจินจื๋อเดิมคิดว่ากู้เฉิงยังอาจจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่ากู้เฉิงตั้งแต่ต้นจนจบไม่เอ่ยเลยสักคำ จึงได้จากไป
อ๋องจิ้ง องค์ชายรองและองค์ชายสี่ล้วนถูกกักบริเวณ มีเพียงองค์ชายสามที่เป็นผู้นำการตรวจสอบเรื่องนี้โดยเฉพาะ
เมื่อกลับถึงจวน กู้อ้าวเวยเดิมที่กำลังอ่านตำราแพทย์โบราณที่ค้นเจอเมื่อได้รู้ข่าวการกักบริเวณ อีกทั้งซ่านจินจื๋อนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในท้องพระโรงเล่าสู่กันฟัง นางพลันเลิกคิ้ว “หู้ปู้เซ่อหลางจะถูกวางยาพิษได้อย่างไร? เหตุใดไม่มาหาข้าโดยตรงเพื่อแก้พิษ แต่กลับนำเรื่องนี้กราบทูลฝ่าบาท?”
เกรงว่าจะถือโอกาสที่ประสบการณ์เจ้ายังไม่โดดเด่น แล้วยังคิดอาศัยเจ้าเหยียบย่ำข้า” ซ่านจินจื๋อนั่งลงที่เบาะนุ่มของนาง
กู้อ้าวเวยทราบดีว่าพิษนี้จางเหยียงซานเป็นผู้วางยา แต่เมื่อเผชิญกับซ่านจินจื๋อ นางกลับส่งเสียงหัวเราะเบาๆแล้วตบเข้าที่ไหล่ของซ่านจินจื๋อ “มีเหตุผล ท่านลองทานดูว่าพิษนี้ จะตะโกนจับโจรได้หรือไม่?”