บทที่ 320 บุตรนอกสมรส
บนเวทีร้องแสดงละคร ผู้คนรอบกายดูกันอย่างตั้งอกตั้งใจ กู้อ้าวเวยอาจจะดื่มสุราเมื่อวานเยอะไป แล้วยังคลั่งกับซ่านจินจื๋อตลอดคืน เพียงได้ยินเปิดการแสดงก็ฟุบหลับอยู่บนโต๊ะ ชิงต้ายทอดถอนใจ กุ่ยเม่ยรู้สึกว่านางไร้พัฒนาการสิ้นดี ไม่รู้จักการเสพสุขเสียบ้าง
กลายเป็นซ่านว่าจินจื๋อที่อิงแอบอยู่ข้างๆ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าละครร้องมีความสนุกสนานอยู่หลายส่วน
จนคณะละครกลับไปจนหมด หลิ่วเอ๋อร์จึงได้มาที่จวนอ๋อง กู้อ้าวเวยที่ไม่ได้ยินเสียงจึงตื่นอย่างช้าๆ บังเอิญเห็นในมือหลิ่วเอ๋อร์ถือกล่องข้าวเข้ามาวางไปตรงหน้านาง “หม่านเทียนซิง”( หม่านเทียนซิง ความหมาย ดาวพร่างนภา)
กู้อ้าวเวยลืมตัวชั่วครู่ หม่านเทียนซิงนี้เป็นของว่างขึ้นชื่อของเมืองเทียนเหยียน แต่น่าเสียดายที่นางไม่มีเวลาไปต่อแถว คาดไม่ถึงว่าวันนี้หลิ่วเอ๋อร์เอามาส่งให้ถึงที่
“พวกเจ้าตรวจพบอะไรบ้าง?” ซ่านจินจื๋อเอ่ยถาม
กู้อ้าวเวยเปิดกล่องอาหารรับผิดชอบเพียงการกิน
“เรียนท่านอ๋อง ที่จริงได้ตรวจพบบางสิ่ง”ยามที่หลิ่วเอ๋อร์มองไปยังซ่านจินจื๋อได้ปรับท่าทางหวนเป็นปกติเหมือนยามที่อยู่ในทิงเฟิงโหลว พลันแย้มยิ้มแล้วหยิบสมุดเล่มหนึ่งส่งให้เขา
กู้อ้าวเวยชำเลืองมองขณะที่ซบไหล่ของซ่านจินจื๋อ พลันคิ้วขมวดมุ่น
ชื่อในสมุดเล่มนี้ จริงๆแล้วได้เขียนชื่อเหล่าอนุภรรยาของกู้เฉิง แต่เรื่องที่น่าสนใจก็คือ อนุภรรยามากมายเหล่านี้เป็นบุตรสาวนอกสมรสของครอบครัว หรือไม่ก็คุณหนูประวัติขาวสะอาด ตอนนั้นคนที่ตั้งครรภ์แล้วถูกเลิกรามีสองคน และทั้งคู่ต่างก็คลอดบุตรชาย
“คนเยอะขนาดนี้ แต่มีเพียงแม่เส็กคนเดียวที่คลอดบุตรสาว” กู้อ้าวเวยคิ้วย่นขึ้นเรื่อยๆ “เขานำบุตรสาวรั้งไว้ข้างกายเป็นโล่กำบัง ดีกับกู้จี้เหยาถึงเพียงนั้น อาจเป็นเพราะมโนธรรมในใจถึงได้ตามใจจนเหลิง”
ผลก็คือกู้จี้เหยาขาดความเข้าใจทางสังคม หัวจิตหัวใจสักนิดก็ไม่มี อารมณ์ล้วนเขียนอยู่บนใบหน้า
“แล้วเขามีบุตรชายทั้งหมดกี่คน”กู้อ้าวเวยยิ่งดูยิ่งปวดหัว จึงเบือนหน้าหันไปกินขนม
“นับดูแล้วมีประมานห้าราย ที่โตสุดคลับคล้ายจะแก่กว่าท่านสี่ถึงห้าปี ที่เล็กสุดคล้ายว่าจะอายุเท่ากันกับคุณหนูรอง”หลิ่วเอ๋อร์นิ่วหน้า หากมิใช่ว่ากู้อ้าวเวยสังเกตถึงจุดนี้ แม้กระทั่งทิงเฟิงโหลวยังไม่อาจยุ่มย่ามเรื่องประหลาดแบบนี้ได้ “ไม่เพียงเท่านี้ บิดาท่านคล้ายว่ายังเหมาบ้านข้างนอกไว้สองสามหลัง ล้วนเป็นหญิงสาวเยาว์วัย ลูกของพวกเขาที่กำเนิดมาก็มีไม่น้อย”
กู้อ้าวเวยพลันเบิกตากว้าง แม้แต่ซ่านจินจื๋อก็ยังรู้สึกถึงความเหลือเชื่อ
“ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าตัวเขาเป็นฝ่าบาทน่ะ ถึงได้แผ่กิ่งก้านสาขาเช่นนี้”กู้อ้าวเวยระบายอารมณ์ออกมา
แต่แบบนี้แล้ว นางในที่สุดก็ได้รู้เป็นคนโกหกปลิ้นปล้อน เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรักท่านแม่ และเก็บตนไว้เพียงเพราะเป็นบุตรสาวที่มารดาให้กำเนิดเท่านั้น อีกอย่างทายาทเขามากมาย คนเหล่านั้นถูกส่งไปเป็นอนุที่คฤหาสน์องค์ชายรอง อาจจะไม่ใช่สาขา มีความเป็นไปได้ที่เป็นน้องสาวของนาง
เรื่องนี้ทำให้ปวดหัวยิ่งนัก
“ยังมีเรื่องที่แปลกประหลาดมาก” หลิ่วเอ๋อร์หัวร่อเบาๆพลันกล่าวต่อ “ระหว่างทางที่ข้าน้อยมา คล้ายกับมีคนติดตามข้าน้อยอยู่ตลอด ข้ากลัวว่าจะเป็นคนของเฉิงเสี้ยง ครั้นแล้วจึงนำสมุดรายชื่อสาวๆในหอพวกเราโยนไว้ที่นั่น ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องหรือไม่?”
ซ่านจินจื๋อกับกู้อ้าวเวยสบตากัน กลับคิดว่ามีความเป็นไปได้มากที่สุดน่าจะเป็นคนขององค์ชายรองซ่านเฉิงเจ๋
“เจ้าทำถูกแล้ว เรื่องนี้ต้องขอบคุณมาก” กู้อ้าวเวยแย้มยิ้มพลันขยิบตาใส่นาง หลิ่วเอ๋อร์รู้ความจึงรีบยอบกายจากไป
ซ่านจินจื๋อส่งตนไปตามหาบุตรชายทั้งห้าที่อายุโตกว่า คอยดูว่ามีท่าทีใดๆหรือไม่
ในขณะเดียวกัน ยามเวลาฟ้ามืดดับแสง ฮ่องเต้กลับแถลงราชโองการให้เขาเข้าวัง แถมเรียกองค์ชายรองพ่วงด้วย เฉิงซานตักเตือนอยู่ข้างๆ “วันนี้เป็นวันที่สองที่ราชทูตประเทศเอ่อตานได้มาถึง เมื่อวานเฉิงอีกับเฉิงเอ้อได้นำจดหมายไปส่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายรองจะต้องมาร้องเรียนแน่ๆ”
“เกือบลืมไปแล้วเชียว”กู้อ้าวเวยหัวร่อเบาๆ ช่วยซ่านจินจื๋อจัดเสื้อ “ท่านเขียนอะไรไปบ้าง?”
“ในจดหมายฉบับปลอมเขียนว่า เรื่องการคบค้าหารือในอดีตทั้งหมด อย่าได้แพร่งพรายแก่ผู้ใด” ซ่านจินจื๋อก้มศีรษะมองนาง ค่อยๆโอบเอวของนาง “ในจดหมายฉบับจริงเขียนว่า เรื่องเกี่ยวดองที่ตกลงกันในอดีต ข้าได้กราบทูลแก่ฝ่าบาทแล้ว บัดนี้ไม่มีใครทราบ อย่าได้แพร่งพรายแก่ผู้ใด”
ที่แท้ก่อนหน้านี้ท่านเห็นจดหมายที่ประเทศเอ่อตานเคยส่งแล้วนี่ จดหมายที่ท่านส่งไปด้วยตนเอง พูดถึงเรื่องเกี่ยวดอง ก็ไม่แปลกที่ฝ่าบาทจะทรงทราบอยู่ก่อนแล้ว” กู้อ้าวเวยตอบโต้กลับในทันที ค่อยๆโอบไหล่ของซ่านจินจื๋อ “ท่านจัดการได้ไม่เลว องค์ชายรองจะต้องร้องเรียนว่าท่านคิดคดทรยศเข้าร่วมศัตรูแน่นอน แต่เรื่องกองกำลังส่วนตัวเล่าจะทำอย่างไร?”
“ฉีเหยียนป่ายคลุกคลีอยู่ในเมื่องเยว่ซานนับหลายสิบปี ย่อมไม่ใช่ถุงฟาง*”ซ่านจินจื๋อยิ้มเย็น หลังจากจุมพิตกู้อ้าวเวยก็เดินออกไปอย่างองอาจ
(ถุงฟาง ถุงที่สานด้วยฟางข้าว อุปมาว่า คนที่ไร้ความสามารถ)
ขณะจ้องมองเงาแผ่นหลังของซ่านจินจื๋อ กู้อ้าวเวยพลันหรี่ตาเล็กน้อย จังหวะหัวใจเต้นแรงมากยิ่งขึ้น
ซ่านจินจื๋อผู้นี้ มิใช่สามัญธรรมดาเลยจริงๆ เดิมทีนางคิดว่าตนเองรู้มากพอ แต่ซ่านจินจื๋อในยามนี้ ได้เผยเรื่องที่น่ารู้ยิ่งขึ้น
“คุณหนู อีกสิบวันก็เป็นช่วงงานล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงแล้วนะเจ้าคะ ท่านต้องการไปฝึกขี่ม้าหรือไม่? ชิงต้ายเห็นนางใจลอย จึงแนะนำเสียงค่อย
กู้อ้าวเวยผงกศีรษะ ตามชิงต้ายไปในคอกม้าแล้วจูงหยินเอ่อ์ออกมา
แม้ไม่ได้พบกันนานแต่หยินเอ่อก็ถูกเลี้ยงดูจนจ้ำม่ำมากขึ้น ออกมาวิ่งได้หลายรอบมากกว่าแต่ก่อนดีขึ้นไม่น้อย กู้อ้าวเวยที่ขี่ม้าอยูด้านบนกลับซวนเซ เป็นทุกข์ยิ่งนัก เมื่อใคร่ครวญดู จึงตามไปฝึกซ้อมกับกุ่ยเม่ย บอกว่าต้องใช้ท่านั่งม้าให้ฐานรากมั่นคง
หยินเอ่อโมโหมากจะพยศ คนรับใช่รีบจูงหยินเอ่อไว้ กลัวว่ามันจะทำร้ายคน
ทำให้หยินเอ่อ์ฉุนเฉียวจนกระทืบกีบม้า เหล่าข้ารับใช้จึงรีบนหยินเอ่อไปผูก เพื่อเลี่ยงการทำร้ายผู้คน
สองชั่วยามต่อมา ข่าวที่องค์ชายรองถูกตำหนิลือออกมาจากวังหลวง องค์ชายรองต้องออกหาประสบการณ์ยังอำเภอชนบทที่ห่างไกล ชัดเจนว่าฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยในตัวเขาอย่างมาก ส่วนการกักบริเวณอ๋องจิ้งกับองค์ชายสี่ได้ถูกยกเลิกไป
ถึงกระนั้น องค์ชายสี่ก็ยังถูกส่งไปยังด่านชายแดนเพื่อจัดการงานสำคัญ ออกเดินทางทันที ไม่อาจชักช้าแม้แต่เค่อเดียว
มีซ่านจินจื๋อเพียงผู้เดียวที่กลับมาอย่างปลอดภัย และยังมีความสัมพันธ์อันดีกับราชทูตประเทศเอ่อตาน ทั้งส่งเสริมเรื่องอภิเษกสมรสระหว่างสองแคว้นแล้วยังได้รับรางวัลพระราชทาน เมื่อหันมามองกู้เฉิงเสี้ยงและหลักฐานที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง จบลงด้วยการตัดศีรษะประจาน โชคดีที่คนในครอบครัวไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ยังดีที่มีความสัตย์ซื่อครอบครัวฝั่งมารดาของกู้ฮูหยิน จึงละเว้นโทษตายแต่ยังถูกส่งไปชายแดน จึงเป็นลมสลบไป ณ ตรงนั้น
ตลอดทั้งคืน ทั่วทั้งเมืองราชสำนักเทียนเหยียนพลิกฟ้าพลิกดินเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬาร ทำให้ผู้คนรับกันไม่หวาดไม่ไหว
ในเช้าตรู่ของวันถัดมา กลายเป็นว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่พบเห็นซ่านจินจื๋อกำลังขี่ม้า พาพระชายาจิ้งไปจากเมืองเทียนเหยียนโดยลำพัง ด้านหลังของพระชายาจิ้งยังสะพายตะกร้ายาเปล่าไปด้วยหนึ่งใบ
บนยอดเขาในตอนเช้าตรู่ยังมียังพอมีเมฆหมอกอบอวล กู้อ้าวเวยก้มหน้าขุดสมุนไพร แต่ยังไม่ลืมที่จะหัวเราะเยาะซ่านจินจื๋อ “หากให้บริวารของท่านรู้ว่าท่านมาเก็บสมุนไพรแก้ไอเป็นเพื่อนข้า เกรงว่าจะต้องเข้ามาห้อมล้อมไชโยข้าแน่”
“เจ้าสู่รู้นักนะ”ซ่านจินจื๋อจนปัญญา ใบหน้านั้นยังคงไร้อารมณ์ กลับนำสมุนไพรที่ขุดออกมาได้โยนเข้าตะกร้าไม้ไผ่ พลันคว้าตะกร้าไม้ไผ่นั่นขึ้นมาแล้วสะพายด้วยตนเอง
กู้อ้าวเวยส่งเสียงหัวเราะเริงร่า ทว่าซ่านจินจื๋อกลับไม่โมโห มุ่งหน้าเดินขึ้นเขาเป็นเพื่อนนางทีละก้าว ทีละก้าว
“ท่านอ๋องไม่เคยคิดออกไปโลดแล่นมาก่อนบ้างหรือ? ได้ยินว่าทิวทัศน์ที่เป่ยโม่นั้นงดงามมาก ยังมีสุราเซาเตาจื่อกับกับบะหมี่เอ็นเนื้อต้นตำรับอีกด้วย”กู้อ้าวเวยยืนอยู่ริมผา กางแขนทั้งสองต้อนรับพระอาทิตย์ยามอรุนรุ่ง
“ตอนนี้ก็มีคิดนิดหน่อย”ขณะซ่านจินจื๋อมองเงาแผ่นหลังของนาง มุมปากกลับยกขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว