บทที่ 345 เปลี่ยนฟ้า
“ข้าป่วยหนัก ไม่รับแขกขุนนางทั้งสิ้น และไม่อนุญาตให้พระชายาจิ้งเข้ามาที่ตำหนักของข้าแม้แต่ครึ่งก้าว”
ซ่านจินจื๋อกลับไปที่สวน สะบัดแขนเสื้อแล้วนั่งลง
เฉิงซานเข้าใจแล้ว ซ่านจินจื๋อวางแผนยัดเยียดความผิดให้ตระกูลหยุนอยู่ในที่ลับมานานแล้ว เพียงเพื่อคัดลอกเคล็ดวิธีสูตรลับมารักษาซูพ่านเอ๋อ แต่ตอนนี้ละครฉากใหญ่นี้ถูกกำหนดไว้แล้ว มีเพียงคนคนเดียวที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ก็คือพระชายาจิ้งเท่านั้น
เดิมทีแผนของซ่านจินจื๋อวางไว้ว่าจะเอาพระชายาจิ้งไปกักขังไว้ในคุก รอจนเรื่องสงบลงเสียก่อนค่อยปลอบประโลม
แต่เรื่องของชิงต้ายทำเสียแผน แม้ว่ากู้อ้าวเวยจะรู้ว่าคุกอยู่ตรงไหน แต่ก็เดินอ้อมมาตลอด บัดนี้รับเอาชิงจือมา ก็ไม่สามารถกักขังได้ ได้แต่ปล่อยให้นางเดินไปมาอยู่ในตำหนักอ๋อง
ช่วงเวลาต่อมา ซูพ่านเอ๋อคลุมขนมิงค์เดินเข้ามา นั่งลงอยู่ข้างกายของซ่านจินจื๋อ “ท่านพี่จื๋อ หากท่านไม่ช่วยกู้อ้าวเวย ไม่กลัวว่านางจะไปหาองค์ชายสามให้ช่วยอีกหรือ”
“องค์ชายสามทำอะไรไม่ได้หรอก” ซ่านจินจื๋อมองไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง มองดูต้นไม้แห้งๆ ต้นหนึ่งที่อยู่ในสวนอย่างเงียบๆ “หลายวันนี้ เจ้าอยู่ที่ในตำหนักนี้อย่างว่าง่าย ข้าได้ไปตามหาท่านหมอมาหนึ่งท่าน บอกว่ามีวิธีการรักษารอยแผลเป็นได้”
พอพูดถึงแผลเป็นสองคำนี้ ท่าทางของซูพ่านเอ๋อก็แข็งไปในบัดดล
“ท่านพี่จื๋อ กองไฟในวันนั้น ข้ายังกลัวอยู่เลย” ซูพ่านเอ๋อยิ้มแห้งๆ
“วันนั้น เรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย เด็กในท้องของกู้จี้เหยาก็ไม่สามารถรักษาไว้ได้” คำพูดของซ่านจินจื๋อแฝงไว้ด้วยหอกหนามแหลมคมมากโข พอนึกถึงเรื่องของเด็ก ความไม่พอใจในใจที่มีต่อซูพ่านเอ๋อก็ปรากฏออกมา
ซูพ่านเอ๋อสำลักไปชั่วครู่ ซ่านจินจื๋อมักจะมองเรื่องราวต่างๆ อย่างลึกซึ้ง นางรู้สึกละอายใจ เดิมทีคิดว่าจะมาอ้อนขอให้พาตนเองไปด้วยช่วงที่ฝึกปรือสมาธิ แต่บัดนี้คงไม่ได้แล้ว
“หากไม่มีธุระอะไร ก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ รอจนถึงปีใหม่หน้า ข้าก็เป็นปกติแล้วล่ะ” ก่อนจากกัน ซ่านจินจื๋อก็ก้มหน้าลงมา กำชับด้วยเสียงเบาๆ สองสามประโยคกับซูพ่านเอ๋อ จึงให้คนปิดประตูของลานนั้นลง
ซูพ่านเอ๋อออกจากลานนั้นไป คำพูดเมื่อครู่ของซ่านจินจื๋อก็ถูกเผยแพร่ไปทั่วทั้งตำหนักอ๋องแล้ว
เดิมทีกู้อ้าวเวยจะฝึกภาพวาดตานชิง แค่หวังว่าวันหน้าจะสามารถวาดภูเขาแม่น้ำสักสองสามภาพได้ วาดรูปคนไปสองสามแผ่น ก็ได้ยินคนรับใช้ในตำหนักมาบอกเรื่องนี้โดยเฉพาะ เลยวางพู่กันลง แปลกใจ “ท่านอ๋องเป็นโรคติดเชื้อหรือ”
“ใช่ ท่านอ๋องยังกำชับให้ท่านอย่าไปหาเขาที่นั่น และก็ไม่ให้ท่านออกไป ของที่ต้องกินดื่มใช้ก็ใช้ที่ดีที่สุดที่มีอยู่” คนรับใช้หัวเราะเบาๆ
กู้อ้าวเวยกลับขมวดคิ้ว ได้แค่ให้คนไปเรียกกุ่ยเม่ยกลับมา ยังกำชับว่า “ในตำหนักมีแม่นมหรือไม่”
“ไม่มีเลย” คนรับใช้ส่ายหัว
“เจ้าไปหาแม่นางฉีหรัวที่สำนักเยียนหยู่เก๋อ ให้นางช่วยข้าหาแม่นมคนหนึ่งที่เห็นสมควรเข้ามา โดยรวมแล้วจะต้องดีต่อข้าและชิงจือ” กู้อ้าวเวยพยักหน้า สะบัดพู่กันเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ มอบให้คนรับใช้
คนรับใช้พยักหน้า นำจดหมายฉบับนั้นแล้วออกจากตำหนักไป ก็นำจดหมายให้แก่เฉิงซานก่อน เฉิงซานกวาดสายตาดูอย่างคร่าวๆ ด้านในเขียนถึงขนาดและสีที่ชิงจือชอบไว้ ยังให้ฉีหรัวช่วยซื้อเสื้อผ้าเด็กมาอีกสักหน่อยด้วย สุดท้ายยังถามถึงการค้าหยินเชี่ยวของฉีหลินว่าเป็นอย่างไร
แต่ก็ยังดูไม่ออกว่ามีอะไรที่ผิดปกติ ก็จึงให้คนวางมือไปทำตามนั้น
คนรับใช้นำจดหมายฉบับนั้นมาถึงสำนักเยียนหยู่เก๋อ จางเหยียงซานที่หาอาจารย์ไม่เจอบัดนี้อยู่ข้างกายฉีหรัวทุกวัน ก็เลยนำจดหมายรับข้ามมา ยังถามอีกว่า “พระชายาจิ้งเป็นอย่างไรบ้าง”
ในสายตาของจางเหยียงซาน อ๋องจิ้งฆ่าชิงต้ายอย่างไม่สนใจไยดีอะไรทั้งสิ้น ก็เลยไม่ได้มีสีหน้าที่ดีต่อคนรับใช้นั้นมากเท่าใด
“เรื่องของอ๋องจิ้ง ไม่ใช่เรื่องกงการอะไรของคนชั้นต่ำอย่างเจ้ามาสอบถาม” คนรับใช้ของตำหนักอ๋องเกรงว่าออกจากตำหนักแล้วก็ยังมีอำนาจอยู่ พอถูกจางเหยียงซานพูดเช่นนี้ ก็เลยไม่พอใจ
จางเหยียงซานขมวดคิ้ว “แคว้นชางหลานแบ่งผู้คนออกเป็นชนชั้นวรรณะเมื่อไหร่กันนะ มีพวกคนชั้นต่ำที่ไหนกัน”
คนรับใช้หัวเราะอย่างเยือกเย็นหนึ่งเสียง อีกทั้งยังเอาจดหมายฉบับนั้นหยิบกลับมา “ทาสรับใช้อย่างพวกเจ้าอย่ามาสำบัดสำนวนอะไรกับข้า เรียกแม่นางฉีเอ้อร์ของพวกเจ้าออกมารับจดหมายเสียดีกว่า”
จางเหยียงซานเพิ่งจะเคยได้พบปะเสวนากับคนของตำหนักอ๋องจิ้ง ในใจรู้สึกไม่พอใจ สีหน้าก็เข้มขึ้นมา
พอฉีหรัวกลับมาก็เจอกับฉากตรงหน้า ที่ผ่านมาก็รู้ว่าจางเหยียงซานไม่ได้พอใจกับขุนนางราชสำนักและราชวงศ์นัก รีบเดินไปรับจดหมายมาทันที ตอนที่ได้ยินสิ่งที่คนรับใช้นั้นพูดมา สายตาค่อยๆ เปลี่ยนไป ค่อยๆ หัวเราะออกมา “ข้ารู้แล้ว เจ้าบอกพระชายาอ๋องของเจ้า หากมีเวลาก็พาชิงจือมาที่สำนักเยียนหยู่เก๋อสักรอบ ข้าจะพาเขาไปวัดตัวตัดเสื้อด้วยตัวเอง”
“ไม่มีปัญหา ขอบคุณแม่นางฉีเอ้อร์มาก” พอเจอฉีหรัว คนรับใช้ก็เปลี่ยนสีหน้าทันที
ฉีหรัวก็ไม่ได้มีความตระหนี่เลย ยัดเงินให้แก่เขาไปจำนวนหนึ่ง แล้วจึงพาจางเหยียงซานกลับเข้าห้องไป
จางเหยียงซานเห็นฉีหรัวเปิดอ่อนจดหมายอย่างบอกไม่ถูก อดที่จะร้อนใจไม่ได้ “ตระกูลหยุนที่อยู่เบื้องหลังนางบัดนี้แบกรับความผิดไว้ใหญ่หลวงขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้ายังจะมีใจที่จะสาวความยาวต่อความยืดกันอีกหรือ”
“เจ้านี่นะทำเรื่องใดๆ ก็ตามก็มองแค่มุมเดียว เอาคืนคนอื่นกลับมีวางการล่วงหน้า” ฉีหรัวไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี “นางบอกชัดเจนอยู่แล้วว่าอยากให้ข้าช่วยหาแม่นมที่สามารถส่งข่าวให้ได้ อีกทั้งเรื่องที่ไม่พูดถึงตระกูลหยุนนั้น กลัวว่าจะเป็นเรื่องลวง อ๋องจิ้งเจตนาไม่ให้นางออกจากตำหนัก หากนางสามารถออกมา ก็แค่จำเป็นต้องส่งคนมาคอยส่งข่าว แต่ไม่จำเป็นต้องการจดหมายอะไรทั้งสิ้น”
จางเหยียงซานฟังแล้วอึ้งไปชั่วครู่ ฉีหรัวนำเรื่องนี้ไปบอกแก่หยินเชี่ยวฉีหลินแล้ว ให้พวกเขาไปหาแล้ว
แม้ว่าเมื่อก่อนฉีหลินจะเป็นพวกอันธพาล แต่ในเมืองเทียนเหยียนคนที่เป็นพวกเด็กเวรทั้งหลายเขารู้จักหมด จะหาแม่นมที่ไว้ใจได้ก็ต้องพึ่งเขาแล้วล่ะ
“แต่ เรื่องของตระกูลหยุน…..” จางเหยียงซานยังคงแปลกใจเป็นอย่างมาก
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรา” ฉีหรัวโบกมือ มองเขาด้วยสายตาที่เย็นชาชั่วครู่ “ระวังกำแพงมีหูประตูมีช่อง”
จางเหยียงซานนิ่งเงียบสงบลง แต่มีเพียงฉีหรัวที่รู้ แม้ว่าจากภายนอกเมืองเทียนเหยียนจะเงียบสงบ แต่ภายในนั้นเคลื่อนไหวกันอย่างเงียบๆ
ตระกูลหยุนทั้งตระกูลเกือบจะมีอายุยืนยาวเท่ากับราชวงศ์แล้ว หากบอกว่าราชวงศ์ทำให้แผ่นดินเกิดความสงบสุข ถ้าเช่นนั้นตระกูลหยุนก็เปรียบเสมือนรากที่ตามติดแคว้นชางหลานมาตลอดทาง รากฐานที่สร้างมาตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีหากจะต้องมลายสิ้น ณ ตอนนี้จริงๆ ถ้าเช่นนั้นขุนนางที่ตระกูลหยุนปลุกปั้นมากับมือในราชสำนักนั้นควรจะมีทิศทางเป็นเช่นไรกัน
ฉีหรัวเงยหน้ามองไปนอกหน้าต่าง แววตาเปลี่ยนไป “ฟ้าผืนนี้น่าจะเริ่มเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ”
นิ่งเงียบไปสักครู่ ฉีหรัวก็หัวเราะออกมาเบาๆ หนึ่งเสียง พลางดูสมุดบัญชีพลางส่ายหัว “เขื่อนหลานแห่งถูกทำลายโดยพวกมดทั้งหลาย คิดไม่ถึงว่าฟ้าจะเปลี่ยนไป คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเพราะผู้หญิงชั้นต่ำ ชั่งน่าขำเสียจริง
ในขณะเดียวกันกู้อ้าวเวยก็นั่งอยู่ตรงระเบียง อุ้มชิงจือมองดูท้องฟ้าที่มืดครึ้ม นัยน์ตาค่อยๆ เย็นชาลงมา “ผ่านไปอีกหลายวัน เมืองเทียนเหยียนก็ต้องมีหิมะตกมาเป็นแน่”
ครั้งก่อนนางแค่ได้ยินเสียงของลมหิมะ ปีนี้ นางกลับจะต้องดูสักหน่อย หลังจากหิมะใหญ่ครั้งนี้ ในเมืองเทียนเหยียนจะเป็นเช่นไร
ยังไม่พูดถึงคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังเป็นใคร แต่อยากจะถอนรากตระกูลหยุนที่มีสัมพันธ์แนบชิดกับแคว้นชางหลาน ชั่งเป็นการยั่วยุแคว้นชางหลานเสียจริง