บทที่409 สถานการของตระกูลหยุน
“คนของตระกูลหยุนจะลงเขาไปรักษาโรคเมื่อไหร่ การเดินทางของพวกเราครั้งนี้อย่างน้อยก็ครึ่งเดือนแล้วก็ป้อนได้แต่เพียงพวกซุปพวกน้ำ ตอนนี้ก็หมดสติไปแล้วแต่ทำไมกลับไม่มีคนมาทำให้นางตื่น?”หลิ่วเอ๋อร์นั่งอยู่ขอบเตียงถามหมอเทวดาเทียนหมางอย่างแปลกใจ
นางกับผิงชวนเล่าเรื่องที่เกิดที่เทียนเหยียนทั้งหมดให้กุ่ยเม่ยฟัง แต่คนของตระกูลหยุนก็ยังไม่มา
“เรื่องนี้ไม่สมควรเผยแพร่ ตอนนี้บนราชสำนักมีคนจำนวนไม่น้อยจับจ้องตระกูลหยุนจึงไม่ควรรีบ”
หมอเทวดาเทียนหมางสั่งให้เด็กในสำนักยกชามาให้ อย่าร้อนใจ
สองสามคนนี้ก็ได้แต่รออย่างใจเย็นจนกระทั่งสองวันต่อมา แม่หม้ายจู้ถึงส่งคนมาพากู้อ้าวเวยขึ้นเขา ตลอดทางนี้แทบจะต้องระมัดระวังตลอดทางเพราะกลัวเกิดอุบัติเหตุอะไร
แต่หลังจากที่ตระกูลหยุนถูกค้นบ้านยึดทรัพย์ไปก็ไม่รู้ว่าไปหาคนที่มีความสามารถที่ไหน อาคารใหม่เล็กๆปลูกอยู่บนหินครึ่งสันเขาแม้ว่าจะไม่ห่างจากพื้นนักแต่ก็มีกลิ่นอายท้องถิ่นส่วนตึกไม้ไผ่อื่นๆก็สูงขึ้นด้านล่างก็วางชั้นวางไว้ระเกะระกะ
เหมือนว่าแม่หม้ายจู้จะเตรียมตึกไม้ไผ่ไว้ให้เธอเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ส่งคนไปบดสมุนไพรก็ไม่ลืมหันมาทางหลิ่วเอ๋อร์กับผิงชวน “พวกเจ้าสองคนตลอดทางไม่มีใครแก้พิษให้นางรึไง?”
“ที่จริงแก้ไม่ได้แล้วก็ไม่สามารถรักษาจนเกินไปทำได้แค่ปล่อยจนถึงตอนนี้” หลิ่วเอ๋อร์ขมวดคิ้ว
แม่หม้ายจู้ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก หลังจากวุ่นสักพักก็เดินออกไปจากตึกไม้ไผ่ไปตบไหล่กุ่ยเม่ยเบาๆ “อีกสองสามชั่วโมงนางจะตื่นขึ้นมาแต่ร่างกายจะไม่สะดวก เจ้าต้องดูดีๆ”
หลิ่วเอ๋อร์ถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วก็ฟังแม่หม้ายจู้พูดต่อว่า “พวกเจ้าส่งคนแล้วก็ควรไปได้แล้ว”
ตอนนี้แม่หม้ายจู้ไม่ให้มครก็ตามที่นางไม่ไว้วางใจเข้าใกล้ ส่วนกุ่ยเม่ยตอนแรกก็เกือบจะพาชิงจือกลับมาก็พอพิสูจน์ได้ว่ากู้อ้าวเวยไว้วางใจเขา แต่หลิ่วเอ๋อร์กับผิงชวนนางไม่รู้จัก
ทั้งสองคนมองตากันก็ได้แต่พยักหน้าแล้วจากไป มีเพียงแต่ผิงชวนที่มองแม่หม้ายจู้บ่อยๆเหมือนกับขมวดคิ้วอยากจะพูดอะไรแต่ถูกหลิ่วเอ๋อร์จ้องอยู่แล้วก็รีบดึงจากไป
จนกระทั่งตกเย็นกู้อ้าวเวยก็ตื่นขึ้นมาอย่างเชื่องช้า เป็นไปตามที่แม่หม้ายจู้บอก
กุ่ยเม่ยเห็นดวงตายังสะลึมสะลือก็ยกมุมปากขึ้นนั่งอยู่ขอบเตียงมองนาง “หลับตั้งนานในที่สุดเจ้าก็ตื่นสักที”
สำหรับกู้อ้าวเวยแล้วนางแค่ปิดตาแล้วค่อยๆลืมตาขึ้นอีกครั้งอย่างช้าๆ
ม่านผืนใหญ่ตรงหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีขาวงดงาม ในโพรงจมูกก็ไม่มีกลิ่นควันหรือกลิ่นสมุนไพรแรงๆอีกแล้ว มีเพียงแต่กลิ่นละอองเบาๆ เมื่อฟังกุ่ยเม่ยพูด ในใจเธอก็ไม่รู้สึกอะไรไปครู่นึง “ในที่สุดก็ออกมาแล้ว”
“เวลานานขนาดนี้ได้ยินว่าข่าวลือของเทียนเหยียนได้สงบลงแล้ว”
“นั่นก็ดีแต่ขาสองข้างของข้าเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย”กู้อ้าวเวยพลั้งปากพูดประโยคหลังออกมา
กุ่ยเม่ยผงะเล็กน้อย
“ตอนนั้นของติดตัวข้ามีไม่เยอะ นี่คือแผนที่รอบคอบที่สุด ข้าดีใจที่เจ้าฟังคำของข้าจริงๆแล้วมาที่หลิ่งหนานตระกูลหยุน แต่อย่าโทษข้าที่หลอกเจ้า” กู้อ้าวเวยรู้สึกว่ามันน่าตลก อยากจะเงยหน้าไปดึงกุ่ยเม่ยที่ออกไปเรียกคน
แต่เธอนอนมาเป็นเวลานานแทบจะไม่มีแรงอะไร
จึงทำได้แต่เพียงมองแม่หม้ายจู้ที่รีบร้อนเข้ามาเพื่อตรวจชีพจร สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างจนปัญญา “อย่างน้อยต้องรอ1เดือนพิษจะค่อยๆขับออก”
กุ่ยเม่ยถอนหายใจแต่กู้อ้าวเวยกลับทำไม่สนใจอะไร ยืมแรงกุ่ยเม่ยเพื่อกลับตัวแล้วนอนหลับไป
ในฝันเหมือนเห็นต้นไม้แห้งใหญ่ในวิหารเฟิ่งหมิง
ไม่ออกไปสองวัน หลิ่งหนานก็ยิ่งมีหิมะตก ด้านหน้าเป็นหิมะขาวโพลนแต่ในตึกไม้ไผ่กลับไม่ได้รู้สึกถึงความหนาวสักนิด เพียงเพราะระหว่างชั้นวางกระดานไม้ไว้แล้วก็ทาสีแต่ว่าอบอุ่นมาก
กู้อ้าวเวยต้องนั่งรถเข็นอีกครั้ง การมาหิมะมันควรจะเป็นเรื่องวุ่นวายแต่ครั้งนี้เธอสบายมาก นอกจากอาบน้ำสมุนไพรวันละครั้งแล้วเธอก็ไม่ได้แตะสมุนไพรสักนิด เพียงแค่นั่งขี้เกียจๆอยู่ในบ้านอุ้มห่อขนมไว้ รอบกายก็ล้อมไปด้วยกลุ่มเด็กๆ ทะเลาะกันเรื่องที่เธอทำไม่ได้ทั้งวัน
“ผู้ใหญ่ในเมืองเทียนเหยียนกินเด็กหรือเปล่า?”
“ท่านกินขนมทั้งวันแบบนี้ทำไมไม่อ้วนเป็นปีศาจแปลงมารึเปล่า”
เด็กกลุ่มนี้เอะอะโวยวายไม่กลัวอะไรทั้งนั้น มิน่าหล่ะกุ่มเม่ยบอกว่าจะไปช่วยแต่ก็ปล่อยเธอไว้กับเด็กๆคนเดียว แม้จะมีเจ็ดแปดคนแต่ดีที่เด็กเหล่านี้มีความสัมพันธ์ที่ดีไม่ได้ทะเลาะกันเพียงแค่ถามคำถามแปลกๆ
กู้อ้าวเวยถูกก่อกวนจนไม่มีความโกรธเพียงแต่คิดถึงชิงจือที่น่ารักไร้เดียงสา
“ทุกวันนี้พวกเจ้าอยู่ในตระกูลหยุนไม่ได้ออกไปข้างนอกเลยหรอ?”กู้อ้าวเวยคว้าเด็กสาวที่อยากออกไปเล่นหิมะด้านนอก
เด็กสองสามคนส่ายหัวตามๆกัน เด็กคนหนึ่งที่ดูโตขึ้นมาหน่อยก็ยืดคอพูดว่า “น้าจู้บอกว่า พวกเราคนตระกูลหยุนถ้าไม่ได้ศิลปะการต่อสู้ออกไปข้างนอกก็จะถูกจับได้ง่าย”
“ว่าไงนะ?” กู้อ้าวเวยอุ้มเด็กน้อยอายุสามขวบไว้ในอ้อมแขนแล้วลูบหัวเขา
“เพราะว่ามีคนไม่น้อยบอกว่าพวกเราตระกูลหยุนมีสูตรยาอมตะดังนั้นต่างก็อยากได้”เด็กอีกคนพูดอย่างไม่พอใจ
สองสามคนก็พยักหน้าเหมือนกับหวาดกลัวเรื่องนี้
เหตุผลที่เด็กในวัยนี้พูดควรจะไม่ควรอะไรเลยสิถึงจะถูกแต่พวกเขาดูเหมือนคิดว่าการออกไปข้างนอกอันตรายมาก
กู้อ้าวเวยสับสนไม่ค่อยเข้าใจ จึงแอบถามกุ่ยเม่ยตอนที่เธอมาส่งอาหาร
กุ่ยเม่ยมองเด็กๆที่ก่อกวนอยู่ด้านนอกก็ผลักกู้อ้าวเวยเข้าไปในห้องเพื่อนวดขาเธอแล้วพูดว่า “ตระกูลหยุนถูกราชสำนักชื่นชอบมาตลอดแต่ในสายตาคนอื่นมองมาราชสำนักไม่เคยปกป้องตระกูลหยุนเลย ในสถานที่ที่ห่างไกลจากฮ่องเต้ มีเพียงคนของตระกูลหยุนปกป้องตนเองดังนั้นจึงสร้างฉากกำบังเพื่อปกป้องเด็กพวกนี้”
เสียงของกุ่ยเม่ยเบาๆ กู้อ้าวเวยยังคงจับแขนเสื้อแน่น “งั้นพวกเขา……”
“เพราะการใส่ร้ายป้ายสีแต่ก่อนเคยมีเด็กสองคนจากไปแล้วก็ถูกคนในยุทธภพพาไป เมื่อรอจนหมอเทวดาเทียนหมางมาเด็กสองคนนั้นก็ไม่มีลมหายใจแล้ว ก็ฝังศพไว้หลังเขา” กุ่ยเม่ยพูดอย่างจนใจแล้วก็ชี้ไปทิศทางนึง “หัวหน้าตระกูลทุกคนที่ตายไปถูกฝังไว้ที่เชิงภูเขาเทียนแต่คนตระกูลหยุนทุกคนอยู่ที่หลังเขานี่คือเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ตระกูลหยุนย้ายไม่ได้”
“พาข้าไปดูหน่อย”กู้อ้าวเวยจับกุ่ยเม่ย
กุ่ยเม่ยคิดสักครู่แต่ก็พยักๆหน้า ให้เธอคว่ำไปกับหลังตนเองไปสุสานหลังเขาท่ามกลางหิมะและสายลม
ข้ามไหล่ของกุ่ยเม่ยไป เธอก็มองดูสุสานหลังเขาที่ถี่ยิบแต่บนแท่นหินหน้าสุสานที่ถี่ยิบก็มีต้นเหมยอยู่แล้วก็มีเด็กสาวมวยผมสองจุกนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านบน หยิบเอาไม้สลักแบบหยาบๆออกมาจากอ้อมแขนแล้วก็วางไว้บนหินอย่างจริงจัง
“นางทำอะไร?”
“กำลังแบ่งไม้สลักที่เธอทำทั้งหมดให้แก่บรรพบุรุษและเพื่อนที่ตายไปก่อน”เสียงของกุ่ยเม่ยแทบจะหายไปตามสายลมหิมะ “ตระกูลหยุนมีเด็กกำพร้าเยอะ เพื่อนก็ตายก่อนมีแต่เพียงป้ายสุสานพวกนี้เหลือไว้เท่านั้น”