บทที่ 419 แม่ลูกคล้ายคลึงกัน
“และก็ไม่ต้องขอโทษแล้ว หลังจากกลับไปเจ้าก็รับเงินและไปเสียเถิด”
กู้อ้าวเวยแสร้งทำเป็นหงุดหงิด ทว่าหัวใจทั้งดวงกลับเต้นระส่ำอยู่ในทรวงอก แต่กลับต้องระงับอารมณ์ไม่ให้ไปมองซ่านจินจื๋อแม้แต่ปราดเดียว
แต่น่าเสียดายที่หลังคารั่ว บ้านซึมเจิ่งนอง เมื่อครู่เข้าใกล้ซ่านจินจื๋อ ด้านข้างก็มีคุณหนูอรชรนางหนึ่งชนกระแทกเข้ากับซ่านเซิ่งหานโดยไม่ตั้งใจ ซ่านเซิ่งหานก้มหน้างุดมองไม่เห็นอะไร และพยุงคุณหนูผู้นั้นเอาไว้ด้วยสัญชาตญาณ
พอเงยหน้าขึ้น ในใจกู้อ้าวเวยลอบกู่ร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว กลัวเหลือเกินว่าซ่านจินจื๋อจะจำซ่านเซิ่งหานได้
“อัยยะ” กู้อ้าวเวยจงใจชนหัวไหล่ของซ่านจินจื๋อ และพลอยซวนเซตามไปด้วยหลายก้าว
ซ่านเซิ่งหานรีบตอบสนองกลับมา ประคองกู้อ้าวเวยไว้อย่างรวดเร็ว กู้อ้าวเวยจำต้องใช้พัดพับในมือตบเข้าที่กระหม่อมของเขา และเอ่ยเสียงต่ำว่า “ไปให้พ้นๆ”
ซ่านเซิ่งหานประคองนางจนมั่น กุมลำคอเอาไว้พลางเอ่ยคำ “ข้า…ข้าจะไปรับอาภรณ์มาให้ท่านเดี๋ยวนี้”
กู้อ้าวเวยแสร้งโกรธขมุกขมัว เด็กรับใช้เสี่ยวเอ้อร์ที่อยู่ด้านข้างกลับสูดลมหายใจเย็นเยียบ กู้อ้าวเวยยังไม่ทันตอบสนอง ข้อมือก็ถูกคนคว้าหมับไป พอเงยหน้าขึ้นมา ก็มองสบเข้าไปในดวงตาดำขลับลุ่มลึกคู่นั้นพอดี
หัวใจลั่นดั่งกลองรบ
ซ่านจินจื๋อดึงนางเข้ามาอยู่ข้างกาย แต่กลับพบว่าใบหน้าดวงนี้ต่างไปจากกู้อ้าวเวย เพียงแต่มีความคล้ายคลึงกันเล็กน้อยเท่านั้น
ส่วนสีหน้าของกู้อ้าวเวยเกือบจะผุดเผยแววตื่นตระหนกขึ้นมา หลังจากนั้นเมื่อนึกถึงสถานะของตัวเอง มุมปากจึงกระตุกยิ้มเย็นชาขึ้น ก่อนสะบัดมือของซ่านจินจื๋อออกเสียดื้อๆ พัดพับในมือคลี่ออก ในดวงตาสองข้าแฝงแววเย็นชา “ข้ายังคิดว่าเป็นผู้ใดกัน ข้าน้อยเคยพบอ๋องจิ้งมาก่อน”
ท่าทีไม่ร้อนไม่หนาว ซ่านจินจื๋อขมวดคิ้วขึ้นมา “เจ้าคือ…”
“ข้าคือใครก็ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับอ๋องจิ้ง” กู้อ้าวเวยจงใจแฝงแววเสียดสีในถ้อยวาจา และก็ไม่สนใจด้วยว่ามือของเฉิงซานวางพร้อมอยู่บนด้ามดาบที่ช่วงเอวของเขาแล้ว ทำเพียงกล่าวเย็นชา “หลายเดือนก่อนพี่สาวบุญธรรมของข้าเพิ่งตายไป หลายวันมานี้ก็ได้เห็นท่านอ๋องสุขสำราญกับเหล่าอนุชายา ราชวงศ์นี่ช่างโหดเหี้ยมเหลือเกินจริงๆ”
“บังอาจ” ดาบของเฉิงซานถูกชักออกจากฝัก
ซ่านจินจื๋อยกมือห้ามเฉิงซานเอาไว้ ก่อนมองสำรวจเขาอย่างถี่ถ้วน “เจ้าคือน้องชายบุญธรรมของเวยเอ๋อ?”
“ใช่หรือไม่ใช่ มันคงไม่ได้มีความหมายใดๆ สำหรับท่านในตอนนี้แล้ว” ในดวงตาของกู้อ้าวเวยเจือแววเกลียดชังอย่างปกปิดไม่มิด ความทรงจำในอดีตเหล่านั้นทำให้นางรู้สึกขุ่นเคือง “พี่สาวบุญธรรมสร้างเรื่องราวดีๆ ตั้งมากมายขนาดนั้น สุดท้ายกลับป่วยตายในตำหนักอ๋องจิ้งของท่าน ขอบังอาจถามว่าพระองค์ปฏิบัติกับนางอย่างนี้เชียวหรือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าข้าเพิ่งจะสืบข่าวมาได้ในช่วงสองวันมานี่เอง โดยบอกว่าท่านโปรดปรานนางอนุมากกว่า ไม่หือไม่อือต่อพี่สาวบุญธรรมของข้า กลัวก็แต่นางตรอมใจตายนั่นแหละ”
ข้อกล่าวหาเหล่านี้เพียงพอที่จะทำลายใบหน้าเย็นชาของซ่านจินจื๋อได้ ความละอายใจที่เขามีต่อกู้อ้าวเวยไหลทะลักมาอย่างท่วมท้น กระทั่งแฝงแววสงบลงมาในสายตาที่มองไปยังผู้สืบทอดตระกูลหยุนเบื้องหน้านี้ “เห็นแก่ที่เจ้าเป็นน้องชายของนาง ข้าจะไม่ถือสาแล้วกัน”
“ถ้าเช่นนั้นก็ต้องขอบคุณท่านอ๋องยิ่งนัก” กู้อ้าวเวยเอ่ยอย่างแปลกประหลาด ก่อนสะบัดชายเสื้อจากไปทันที
แขกเหรื่อคนอื่นๆ ต่างทยอยหันหน้าหนีแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ซ่านจินจื๋อเองก็ไม่มีกะใจจะไปเยี่ยมเยือนองค์หญิงหมิงจูแล้ว จึงรีบจากไปโดยทันที
เขาไม่เคยได้ยินว่ากู้อ้าวเวยมีน้องชายบุญธรรมที่หน้าตาคล้ายคลึงกับนางขนาดนี้มาก่อนเลย แต่น้องชายคนนี้ก็ช่างใจกล้ามากจริงๆ ดูแล้วเหมือนกับกู้อ้าวเวยเหลือเกิน
เฉิงซานรีบสาวเท้าเดินตาม “ต้องการให้ผู้ใต้บัญชาไปจัดการกับเขาหรือไม่”
“เขาแซ่อะไร” ซ่านจินจื๋อปั้นหน้านิ่ง
“เด็กรับใช้เสี่ยวเอ้อร์บอกว่า คนผู้นั้นแซ่หยุน เข้ามาเจรจาธุรกิจโรงหมอจากหลิ่งหนานขอรับ” น้ำเสียงของเฉิงซานค่อนข้างเบา
ซ่านจินจื๋อนวดขมับอย่างปวดเศียร “วันหน้า วันหน้าหากพบกับผู้สืบทอดตระกูลหยุน ก็ยังต้องปฏิบัติด้วยอย่างดี”
“ขอรับ” เฉิงซานทำได้เพียงพยักหน้ารับบัญชา
ส่วนในตรอกที่ทั้งสองคนมองไม่เห็น กู้อ้าวเวยลอบมองเงาหลังของซ่านจินจื๋อที่หายลับไปในมุมเลี้ยวเบื้องหน้าอย่างเงียบๆ นวดวนขมับที่เริ่มปวดตุบๆ ขึ้นมา
ท่านเองก็รู้สึกละอายใจเป็นด้วยหรือ
นางคิดไปอย่างอดไม่ได้ แต่เป้าหมายที่มาในวันนี้บรรลุแล้ว ถึงแม้ตนจะไม่ได้สืบข่าวอะไรได้เลย แต่เมิ่งซัวจะต้องเป็นคนที่ปะปนอยู่กับสังคมชุมชนมาช้านานแล้ว มอบหน้าที่ให้เขาทำคงไม่น่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงจะถูก
เมื่อไปพบกับซ่านเซิ่งหานยังสถานที่ๆ นัดเจอกัน สีหน้าของกู้อ้าวเวยกลับไม่สู้ดีนัก ซ่านเซิ่งหานรู้อยู่แก่ใจว่าสาเหตุคืออะไร จึงไม่ถามมากความ ทำเพียงล้อมหัวล้อมหางส่งนางกลับไปในทิงเฟิงโหล ก่อนเอ่ยเสียงเบา “รอจนมีข่าวสารข้าจะมาพบเจ้าใหม่ พักนี้ เจ้าก็พักผ่อนให้เต็มที่เสีย”
“อื้อ เพียงรบกวนท่านว่าถึงตอนนั้นให้ส่งคนไปหาเมิ่งซัวสักเที่ยว” กู้อ้าวเวยแสร้งทำเป็นยิ้มเหมือนไม่มีเรื่องอะไร ลงจากรถม้า และกลับไปยังทิงเฟิงโหลอย่างเชื่องช้า
เมื่อกลับมาในทิงเฟิงโหล ตอนที่บังเอิญพบกับหยุนหว่าน นางยังคงทำราบเรียบ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
ทว่ารอจนลมราตรีพัดพลิ้ว กุ่ยเม่ยจึงคว้านางขึ้นมาบนชายคา หิ้วกาสุราสองอันพลางนั่งลงข้างกายนาง
กู้อ้าวเวยประคองจอกเหล้าในมือ ไม่ขยับเขยื้อยเป็นนานสองนาน “เจ้าจับสังเกตอะไรได้อีกหรือ”
“ข้าจับได้ว่าท่านถูกขังอยู่ในห้วงความรักอีกแล้ว” กุ่ยเม่ยดื่มสุราหนึ่งอึก รู้สึกเพียงว่ามันแสบจนถึงลำคอ “มักพูดอยู่เสมอว่าปล่อยวาง ท่านก็ไม่ได้ปล่อยวางจริงๆ เสียที ถ้าหากไม่เต็มใจพบเห็น ไม่ยินดีพัวพัน แค่หนีไปก็สิ้นเรื่องแล้ว”
“เจ้าเป็นเด็กตัวน้อยๆ หรือ การหนีแก้ไขปัญหาไม่ได้หรอก” กู้อ้าวเวยจ้องเขาหนึ่งที แต่ร่างกายกลับเอนพิงบนบ่าของเขา “ข้าไม่อาจหยุดฝีก้าวไม่รุดหน้าต่อได้”
“ท่านแข็งแกร่งขนาดนี้เรื่อยมา ยังไม่มีคนสามารถควบคุมท่านอยู่อีกเชียวหรือ” กุ่ยเม่ยหัวเราะขึ้นมาเบาๆ เตะสะกิดเท้าของนางหนึ่งที “ทำตัวเป็นผู้หญิงสักหน่อยได้หรือไม่ ได้รับการปกป้องจากคนอื่นอยู่เฉยๆ ไม่ดีหรือ”
“ข้าก็เอนพิงบนไหล่เจ้าแล้วยังไม่ใช่ผู้หญิงอีกหรือ” กู้อ้าวเวยก็เตะเขาเช่นกัน
“ถ้าหากยามปกติท่านก็พึ่งพิงผู้อื่นบ้างคงจะดีหรอก สิ่งที่องค์ชายสามกำลังต่อสู้คือดินแดนของเขา ท่านชี้แนะผู้อื่นไปทำอะไร เขาอยากพุ่งชนกำแพงทางใต้ก็ปล่อยให้เขาชนไป ตอนนี้ท่านปูทางให้เขาดิบดี วันหน้าหากท่านต้องการไปท่องเที่ยวทั่วหล้าขึ้นมา และเขาก็ไม่สนใจใยดีราษฎรเพราะไม่มีท่านแล้วจะทำอย่างไร ถึงตอนนั้นท่านก็คงเป็นสตรีแม่มดคนที่สองอีกครั้ง” กุ่ยเม่ยสั่งสอนนาง
ถูกพูดเช่นนี้ กู้อ้าวเวยก็นวดกระหม่อม “แต่ถ้าหากข้าไม่บอกเขาละก็ หากว่าเขาเดินไปทางแยกจะทำอย่างไร”
“ท่านเป็นแม่ของเขาหรืออย่างไร นี่คืออาณาเขตของเขา คือธุระของเขา คงไม่สามารถพึ่งพาท่านได้ทุกเรื่องไปหรอกกระมัง” กุ่ยเม่ยชำเลืองมองนางปราดหนึ่งอย่างจนปัญญา “ถ้าหากข้าเป็นท่าน ก็คงจะกตัญญูเชื่อฟังโอวาทท่านแม่อย่างดี ท่านก็รู้ ทุกสรรพสิ่งมันไม่แน่นอน”
พูดถึงตรงนี้ ดวงตาของกุ่ยเม่ยก็มีความละอายใจเพิ่มขึ้น
กู้อ้าวเวยมองเห็นสิ่งเหล่านี้อยู่ในสายตาทั้งหมด
กุ่ยเม่ยก็เคยทำงานให้กับซ่านจินจื๋อไม่ได้อยู่กับมารดาเป็นเวลายาวนาน ท้ายที่สุด ก็ทำได้เพียงอยู่เคียงข้างไม่กี่วัน แต่สำหรับกุ่ยเม่ยแล้ว หยุนหว่านคือผู้มีพระคุณที่มอบชีวิตให้แก่มารดาของเขา ดังนั้นในยามปกติเขาจึงเรียกหยุนหว่านอย่างให้เกียรติว่าฮูหยินนั่นเอง
“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก ไม่สู้เจ้ายอมรับข้าเป็นพี่สาว แม่ของข้าก็คือแม่ของเจ้าด้วยเช่นกัน” สภาพจิตใจของกู้อ้าวเวยดีขึ้นโขในทันที
ที่กุ่ยเม่ยพูดมานั้นไม่ผิด องค์ชายสามจะต่อสู้กับดินแดนเพื่อตัวเขาเอง แล้วทำไมนางต้องเป็นกังวลขนาดนี้ด้วยเล่า
“ท่านช่างพูดช่างเจรจาจริงๆ นั่นแหละ” กุ่ยเม่ยเบิกตากว้างมองนาง
ทั้งสองคนหัวเราะคิกคักพลางนั่งร่ำสุราอยู่บนชายคาบ้าน จนถึงช่วงเย็นจึงแยกย้าย
ส่วนหยุนหว่านที่ตากลมอยู่บนชั้นสองของทิงเฟิงโหลก็มองเห็นทุกอย่าง หลิ่วเอ๋อที่อยู่ตรงข้ามพลันปริปากเอ่ยเสียงเบา “ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ คุณหนูพบเพื่อนสนิทที่ไม่เลวคนหนึ่งแล้ว”
“คงไม่สู้ข้ารับเขาเป็นบุตรบุญธรรมกระมัง?” หยุนหว่านเอ่ยคำอย่างอดไม่ได้ ผิงชวนที่อยู่ด้านข้างซึ่งได้ยินชัดถ้อยชัดคำพลันสำลักน้ำ และทุบอกดังปึก
ดูท่าทั้งสองคนนี้เป็นแม่ลูกกันจริงๆ นั่นแหละ