บทที่ 451 โจมตีอย่างทันที
อ๋องจงผิงซ่านเชียนหยวนแม้จะบอกว่าเป็นองค์ชายสี่ แต่เพราะข้างกายมีเพื่อนที่ไม่ได้เรื่องอย่างฉีหลิน นอกค่ายพักแรมยังมีท่าทางที่อยู่น่าเกรงขามอีกด้วย พอเข้ามาในค่ายก็นั่งอยู่อย่างหยิ่งผยอง ได้แค่มองดูฉีหลินกอดหยินเชี่ยวพร่ำเพ้ออยู่ตรงนั้น
กู้อ้าวเวยไม่มีคำพูดใด ได้แต่เพียงคารวะเขาด้วยความเคารพนับถือ มองไปทางฉีหลินอีกครั้ง และฉีหรัวที่ปลอมตัวเป็นผู้ชายที่อยู่ด้านข้าง ถอนหายใจ “นี่เจ้าลากคนทั้งบ้านออกมาเลยหรือ กลับไม่คิดถึงความปลอดภัยของหยินเชี่ยวกับฉีหรัว”
“อินโจวบัดนี้วุ่นวายนัก” ซ่านเชียนหยวนพูดถึงตรงนี้ ส่ายหัวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “คิดไม่ถึงว่าคนข้างกายข้า ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสายของเสด็จอา”
“ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่ผู้ประกอบการค้าที่อินโจวก็มีปัญหา” ฉีหรัวก็ขัดจังหวะขึ้น “แต่ก่อนเจ้ากับเมิ่งซู่คิดเอาเองว่าอินโจวเป็นดินแดนเจริญ กลับคิดไม่ถึงว่าอ๋องจิ้งจะเดินเกมเหนือกว่า ได้แฝงอำนาจอยู่ที่นั่นไว้นานแล้ว”
“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้” กู้อ้าวเวยกำหมัดแน่น บัดนี้คิดไปมาอย่างละเอียด ตอนนั้นแม้ว่าจะมีตนเองเป็นอาวุธอยู่ข้างกายซ่านจินจื๋อ แต่ที่แท้ก็ยังมีเหตุการณ์อีกมากมายที่ตนเองคาดไม่ถึง
พูดไปพูดมา ก็ยังคงเป็นซ่านจินจื๋อที่ฝังรากลึก
“แต่ข้ายืนยันที่จะมา ที่จริงแล้วยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” พูดถึงตรงนี้ ซ่านเชียนหยวนไอออกมาอย่างแห้งๆ หนึ่งคำ แววตาเบนไปที่หน้าทางเข้าค่ายพัก
ม่านของประตูถูกเปิดออก ซ่านเซิ่งหานกำลังเดินเข้ามา ฉีหรัวได้แค่เดินไปที่ด้านหลังของฉีหลินเพื่อหลบซ่อนตัวเองเอาไว้
จะว่าไปซ่านเชียนหยวนและซ่านเซิ่งหานสองคนพี่น้องความสัมพันธ์ก็นับไม่ได้ว่าดีขนาดนั้น ได้แค่ตอบกลับไปอย่างส่งๆ สองสามคำให้จบเรื่อง เพียงแค่ผ่านไปสักครู่ ซ่านเซิ่งหานพูดด้วยเสียงโทนต่ำว่า “ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าน้องหกจะ……”
ซ่านเชียนหยวนกำถ้วยแน่น กู้อ้าวเวยอึ้งไปอยู่สักพัก หลังจากนั้นก็ยกมือขึ้นมากดนวดหน้าผากไปมา มืออีกข้างหนึ่งก็จับไปที่ช่วงเอว กุ่ยเม่ยกลับรีบรั้งนางไว้ พูดอย่างเบาๆ ว่า “อย่าจิตใจว้าวุ่นไปเลย บัดนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือ ควรจะจัดการกับคนที่เปล่าประโยชน์พวกนี้อย่างไร”
โดยเฉพาะผีบ้าอย่างผิงชวน คิดถึงตรงนี้ สองคนนี้ตวัดสายตาไปทางเขาชั่วครู่ คนที่อยู่ด้านหลังไอขึ้นหนึ่งเสียง
ตอนนี้คนเกือบทั้งหมดในค่ายราวเป็นคนกันเอง ซ่านเซิ่งหานกลับรู้สึกว่าการปฏิสัมพันธ์ของแต่ละคนราวกับคนในครอบครัว ในใจอดไม่ได้ที่จะสั่นคอน กู้อ้าวเวยกำลังพิจารณาอยู่ว่าควรจะทำเช่นไร ก็เห็นเยว่กับโย่วหลีคนหนึ่งเดินหน้าคนหนึ่งเดินอยู่ด้านหลังพากันเดินเข้ามา
เยว่ทำความเคารพต่อซ่านเซิ่งหาน “แม่นางยู่จูส่งข่าวมา มีแผนที่ป้องกันอยู่ครึ่งหนึ่งในเมือง ยังมีในจดหมายอีกฉบับหนึ่งพูดถึงเรื่องปกป้องรักษาเมือง หากสามารถทำได้ พวกเราก็สามารถเอาป้อมในเมืองนั้นแย่งมาได้อย่างน่าแปลกใจ”
แต่โย่วหลีแน่นอนว่าต้องกลับไปที่ข้างกายของซ่านเชียนหยวนก่อน คุกเข่าลงอย่างทันใด “เทียนเหยียนส่งข่าวมาว่า แคว้นเจียงเยี่ยนมีความต้องการป้อมในเมืองอีกสองแห่ง ถูกปฏิเสธ อีกสองวันก็จะเริ่มเปิดศึก เรื่องได้เข้าหูของอ๋องจิ้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
ข่าวคราวสองสายมาถึงเกือบพร้อมๆ กัน ซ่านเซิ่งหานลุกขึ้นมาอย่างทันที “เยว่ ตามข้าไปสนามฝึกซ้อม”
“รับทราบ” เยว่ลุกขึ้นยืนอย่างรีบร้อนแล้วติดตามไป
กู้อ้าวเวยมองดูหยินเชี่ยวกับฉีหรัวชั่วครู่อย่างไม่รู้จะทำเช่นไร พูดด้วยโทนเสียงต่ำว่า “ศึกใหญ่รออยู่ข้างหน้า พวกเจ้าทั้งสองไม่ควรอยู่ที่นี่ ผิงชวนเจ้าพาพวกเขาไปสถานที่นอกค่ายห่างไปสองร้อยลี้เดี๋ยวนี้เสีย ให้คนของทิงเฟิงโหลดูแลพวกเขาอย่างดีๆ แล้วค่อยกลับมา”
ฉีหรัวมองมาอย่างค่อนข้างไม่พอใจ หยินเชี่ยวยังไม่ทันที่จะได้คัดค้าน ฉีหลินก็พูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “ฟังที่คุณหนูของเจ้าพูดเถอะ หากเกิดเรื่องขึ้นมา วันหน้าจะไม่ให้เจ้าออกจากบ้านอีก”
หยินเชี่ยวได้แต่ปิดปากเงียบอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม
“วันพรุ่งนี้น้องหกจะนำทหารมา แต่ข้าจะไม่ยอมเอากำลังทหารทั้งหมดให้อยู่ในมือพี่สามหรอก” ซ่านเชียนหยวนลุกขึ้นยืน ปัดขี้ฝุ่นที่ปกคลุมอยู่บนตัวออก
“นี่ก็แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าช่วยใครล้วนดีหมด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต้องระวังความปลอดภัย หากเกิดเรื่องก็ให้ฉีหลินนำคำมาบอกด้วยตัวเอง คนอื่นข้าจะไม่เสวนาด้วย” กู้อ้าวเวยพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วก็รีบร้อนตามติดซ่านเซิ่งหานไป
กุ่ยเม่ยดึงผ้าพันคอเข้าที่เรียบร้อยแล้ว ก็ค่อยๆ ตามติดไปด้วย พูดขึ้นอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร “วรยุทธ์แมวเดินกำแพงของเจ้านั้น เข้าไปสนามรบก็เป็นแค่อะไรที่เปล่าประโยชน์ หลายวันนี้ควรจะฝึกเข้มงวดหน่อยแล้ว”
“ข้ารู้แล้วน่า แค่เสียดายที่ข้าเป็นง่อยไปตลอดทั้งฤดูหนาว” กู้อ้าวเวยพยักหน้าอย่างจริงจัง ก้มหน้าลง สายตามองดูขาของตนเองชั่วครู่ หากไม่ใช่เพื่อความทุกข์ทรมานข้างกายของซ่านจินจื๋อ บางทีบัดนี้นางอาจจะไม่อยู่เฉยๆ เช่นนี้ก็เป็นได้
บนสนามฝึกซ้อม รองผู้บัญชาการนับไม่ถ้วนล้วนรับรู้ข่าวคราวแล้ว เร่งรีบการฝึกซ้อมอย่างแข็งขัน
บัดนี้ซ่านจินจื๋อกับซ่านเซิ่งหานอยู่คนละฝั่งของชายแดน พูดน่าฟังหน่อยก็ทั้งสองด้านมีการดูแลซึ่งกันและกัน พูดไม่น่าฟังก็บอกว่าทั้งสองฝั่งนั้นไม่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หากเกิดเรื่องขึ้นจริง ก็อาจจะเป็นเหตุจำยอม หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซ่านจินจื๋ออาจจะไม่สามารถข้ามมาช่วยเหลือได้
ซ่านเซิ่งหานรีบเรียกคนสนิทจำนวนหนึ่งมาถกเถียงกัน กู้อ้าวเวยยืนฟังอยู่ด้านข้าง ขณะเดียวกันก็เห็นด้วยกับการวางแผนบุกเมือง
“ลงมือก่อนย่อมได้เปรียบกว่า บัดนี้สายลับก็ได้หารายงานลับพบแล้ว แน่นอนว่าพวกเราไม่สามารถอยู่นานเกินไปได้”
“และก็ไม่รู้ว่าแผนที่ผืนนี้จะดีหรือจะร้าย หากแคว้นเจียงเยี่ยนยอมที่จะประนีประนอมจริงๆ ศึกสงครามครั้งนี้ก็ไม่ต้องรบกัน” จุนซือ(ผู้แนะนำวางแผนด้านการทหาร)อีกท่านหนึ่งได้แต่ส่ายหัวอย่างทำอะไรไม่ถูก
“อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องพวกนี้ก่อน ในเมื่อตัดสินใจที่จะบุกเมือง ถ้าเช่นนั้นอันดับแรก การจัดวางกำลังป้องกันของพวกเราด้านนี้ต้องแก้ไข” ซ่านเซิ่งหานพูดจบ แววตาก็เหลือบไปที่ร่างของกู้อ้าวเวย “นายท่านมีข้อเสนอแนะเช่นไรบ้าง”
อึ้งไปชั่วครู่ กู้อ้าวเวยก็ครุ่นคิดอยู่นาน จึงพูดออกมาเบาๆ ว่า “ในเมื่อสายลับของพวกเราได้ข่าวคราวแล้ว ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร แต่การจัดวางกำลังป้องกันบัดนี้นับว่าครบถ้วน วิธีที่ดีที่สุด ควรจะลงมือจากเรื่องเล็กก่อน”
“ทำเช่นไร” มีคนถามขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้
กู้อ้าวเวยมองไปทางเขาอย่างเรียบเฉยอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากได้รับความเห็นชอบจากซ่านเซิ่งหานแล้ว จึงพูดต่อว่า “เอาเรื่องแผนภาพการจัดวางกำลังป้องกันปลอมพูดต่อๆ กันออกไป ยู่จูยังไม่กลับมา พอออกอุบายสาวงาม ก็เพียงพอที่สองฝั่งจะออกรบได้แล้ว”
“แต่ไหนแต่ไรมา หากฝ่ายตรงข้ามบุกก่อนจะทำเช่นไร” ด้านข้างมีนายทหารแสดงความไม่พอใจขึ้น “การทำสงครามนั้นสำคัญที่สุดคือโอกาส หากพวกเราเปลี่ยนเป็นฝ่ายตั้งรับ แม้ว่าแผนที่ผืนนั้นจะเป็นของปลอมก็ตาม พวกเราก็ยากที่จะเป็นฝ่ายรุกก่อนได้”
“พวกเราไม่บุกจากตรงนี้ แต่เป็นตรงนี้ต่างหาก” นิ้วของกู้อ้าวเวยชี้ไปที่บนป้อมในเมืองที่อยู่ห่างออกไปห้าสิบลี้ ตรงนี้บุกง่าย แต่รักษาไว้ยาก มักจะเป็นทหารจำนวนมากที่รักษาไว้ อีกทั้งด้านในยังมีพวกชาวบ้านไม่น้อยที่ยังไม่ได้อพยพไป ไม่รอให้คนอื่นพูด นางก็พูดต่อว่า “พอเรื่องของแผนที่ป้องกันเมืองรั่วไหลไป พวกเราก็บุกได้เลย อ้ายหยินเจ้าเล่ห์ รู้ว่าหากป้อมเมืองแห่งนั้นรักษาไม่ได้ แน่นอนว่าจะต้องวางกำลังอย่างแน่นหนาเพื่อรักษาป้อมของอีกเมืองหนึ่งไว้เป็นแน่ หากเขาบังเอิญได้แผนที่ป้องกันเมืองของที่นี่ บุกเข้าโจมตีตรงนี้ เป้าหมายของเราก็บรรลุแล้ว”
“จุดนี้บุกง่ายแต่รักษาได้ยาก แม้ว่าจะมีสองหมื่นคนก็รักษาไว้ไม่ได้หรอก”
“ป้อมนี้เอามาใช้ในการบุก ไม่ใช่เอาไว้รักษา” กู้อ้าวเวยส่ายหัวอย่างต่อเนื่อง “พวกนายทหารทั้งหลานมาบุกที่จุดจุดนี้ก่อน รอจนพวกเขาบุกมาถึงป้อมแห่งนั้น พวกเราค่อยล้อมเมืองบุกอีก หากคาดการณ์ไว้ไม่ผิด พวกเขามากันเท่าไหร่ พวกเราก็จัดการเท่านั้น”
ทหารหลายคนมองหน้ากันไปมา ทำไมฟังจากที่นางพูดแล้วดูเหมือนว่าจะมีเหตุผลสอดคล้องกันอยู่หลายประการ
“งั้นเจ้าจะแน่ใจได้เช่นไรว่าพวกเราจะสามารถบุกโจมตีเมืองนั้นได้”
“เพราะว่าเมืองนั้น เดิมทีแล้วเป็นของแคว้นชางหลานข้า หากมีแผนที่ป้องกันเมืองแล้วพวกเราประชาชนแคว้นชางหลานยังไม่สามารถบุกโจมตีมาไม่ได้ ปฐพีเหล่านี้ที่บรรพบุรุษเสียสละมา ก็เอามันใส่มือมอบให้คนอื่นไม่ดีกว่าหรือ” กู้อ้าวเวยตบลงบนแผนที่ผืนนั้นที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างดัง ทำให้ทั้งห้องเกิดการครุ่นคิดหนัก