บทที่ 483 เหตุใดต้องรัก
รถม้าควบปุเลง ๆ กู้อ้าวเวยทานยาเองแล้ว ตลอดการเดินทางนี้ล้วนใช้เวลาอย่างสะลืมสะลือ
ตอนที่ตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ในครั้งนี้ ภายในรถม้านอกจากล่ายเสวียนที่ไม่มีแม้แต่แรงยกมือแล้ว ก็ไร้ซึ่งคนอื่น ๆ อีก คืนนั้นถูกปิดล้อม ด้านนอกรถม้ามีเสียงของฉูหลี่และพลทหารไม่กี่คนลอยมา นางจึงนวดวนดวงตาพลางปลายเชือกของล่ายเสวียนออกเล็กน้อย และพิงอยู่ด้านข้าง “ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าจะปล่อยเจ้าไป เกิดเรื่องอะไรขึ้นก็จะไม่สนใจ รอจนลงไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เจ้าก็กลับไปหากู้เฉิงเถิด”
“กู้เฉิงเคยเลี้ยงดูเจ้าจนเติบใหญ่”
“แต่เขาไม่ได้มีความผูกพันอะไรกับข้าสักนิดเดียว ปีนั้นข้าคิดจะไว้ชีวิตเขาจากภายใต้เครื่องประหารชีวิตของฮ่องเต้ นี่ก็เรียกว่ากตัญญูถึงขีดสุดแล้ว” กู้อ้าวเวยหยิบผ้าขนหนูเช็ดที่ใบหน้า พลางเอ่ยเสียงต่ำ “ตอนนี้ข้ากับกู้เฉิงมิได้มีความขุ่นข้องหมองใจใด ๆ ต่อกันแล้ว แต่ระหว่างพวกเรายังคงยืนอยู่สองฝั่งอยู่ดี”
“เขาเป็นคนดีคนหนึ่ง ข้ามิอาจถวายชีวิตของข้าแก่ท่านได้” ล่ายเสวียนกัดฟันกล่าว “หากมิใช่เขา ปีนั้นข้าก็คงตายภายใต้ดาบของอ้ายหยินไปตั้งนานแล้ว และก็คงปีนป่ายมาจนถึงตำแหน่งปัจจุบันนี้ไม่ได้ ร้องขอชีวิตให้กับทาสพวกนั้น ทั้ง ๆ ที่ท่านก็ดีกับทาสพวกนั้นแท้ ๆ แต่ทำไม…”
“ชีวิตของทาสสำหรับข้าและกู้เฉิงแล้วมันไม่ได้มีค่าเลย ที่ข้าดีกับพวกเขาเพียงเพราะว่าน่าสังเวชเท่านั้นเอง แต่ถ้านับกันตามจริงแล้ว ข้ากับกู้เฉิงต่างก็หลอกใช้ประโยชน์จากทาสพวกนั้นเหมือนกันนั่นแหละ” กู้อ้าวเวยไม่มีการกักกันของฉูหลี่ ความชั่วร้ายใต้ผิวหนังนั่นก็เปิดเผยออกมา “หลอกใช้พวกเจ้ามาต่อต้านกับเจียงเยี่ยน”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าเองก็เต็มใจเชื่อเขา อย่างน้อย ๆ แบบนี้พวกเราถึงจะมีหนทางรอด” ล่ายเสวียนปวดเสียจนร่างสั่นระริกไปหมด เหงื่อเม็ดเย็นราวกับน้ำตก แต่กลับยังคงไม่เต็มใจปรนฝีปาก
มือข้างหนึ่งของกู้อ้าวเวยกุมอยู่ปลายคางของเขา ไม่อนุญาตให้เขาปฏิเสธพลางป้อนยาถอนพิษนั้นเข้าไปให้ สายตาเย็นเยียบ “แต่ข้ากับเขาต่างกัน เขาจะหลอกใช้พวกเจ้าแล้วค่อยล้อมกรอบพวกเจ้าอีกที แต่ข้าจะชี้แนะพวกเจ้า ทำให้พวกเจ้ากลายเป็นคนที่แท้จริง”
“แล้วข้าจะเชื่อท่านได้อย่างไรกัน” ล่ายเสวียนไม่ยอมกลืนยาถอนพิษนั้นลงท้องไป ความรู้สึกที่ถูกคนควบคุมอยู่นี้ คล้ายกับเขาได้กลับไปยังวันเวลาที่เป็นทาสในปีนั้นเลย
“เพราะว่าข้าเป็นหมอ” กู้อ้าวเวยขมวดคิ้ว และหยิบน้ำมาป้อนให้เขาอีกครั้ง “ข้าไม่อยากเห็นคนตายไปโดยเปล่าประโยชน์ สำหรับข้าแล้ว ต่อให้มนุษย์เป็นเครื่องมือ แต่นั่นก็ยังเป็นมนุษย์ ส่วนในสายตาของกู้เฉิง เครื่องมือกับมนุษย์ ไม่ได้แตกต่างกันเลย หวังว่าเจ้าจะพอเข้าใจนะ”
ล่ายเสวียนกัดฟันแบบไม่ได้ซาบซึ้งด้วยซ้ำ กู้อ้าวเวยกลับไม่คาดหวังว่าคำพูดไม่กี่ประโยคจะสามารถโน้มน้าวเขาได้
ทำได้คลายปลายคางของเขา ตนจึงเปิดกล่องยาออก และเริ่มทานยาบางส่วน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ใกล้เข้าสู่ใบไม้ร่วงแล้ว ถึงแม้เอ่อตานจะอบอุ่นตลอดเวลา แต่ว่าในฤดูใบไม้ร่วงนี้เป็นฤดูกาลที่มีในตกปรอย ๆ มันล้วนเป็นความเจ็บปวดทรมานสำหรับช่องท้องและสองแขนสองขาของนางยิ่ง ปีนั้นผลสืบเนื่องอันขมขื่นที่ฝืนปลูกลงไปทั้งหมดตอนนี้ล้วนย้อนคืนกลับมาที่นางแล้ว
นวดถูหัวเข่าที่เริ่มปวดของตน ม่านบนรถม้าถูกดึงออก ฉูหลี่ในชุดนักรบทั้งกายยื่นมือมาให้นาง พลางเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน “ขายังเจ็บอยู่หรือ”
“ไม่เจ็บแล้ว” กู้อ้าวเวยจับมือของฉูหลี่ลงจากรถม้าไป ทำเพียงเก็บงำความรู้สึกเจ็บปวดทั้งหมดไว้กับตนเพียงคนเดียวตามปกติ
ส่วนทุกอย่างนี้ ล่ายเสวียนต่างมองเห็นเองกับตา
บางครั้งระหว่างกู้เฉิงและกู้อ้าวเวยอาจจะแตกต่างกัน แต่ว่าปีนั้นตอนที่กู้เฉิงส่งคนไปช่วยชีวิตเขาเอาไว้
เป็นดั่งแสงสว่างแห่งพระเจ้า
เขาไม่อาจหักหลังเทพแห่งแสงสว่างของตนโดยง่ายดาย แต่กลับสังเกตถึงกู้อ้าวเวยเพียงเพราะเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเหมือนกัน
อาศัยในอารามร้างหนึ่งวัน เริ่มคืนแรกฉูหลี่ยังหวังว่าจะได้พักอยู่ในโรงแรม แต่ตามอุปนิสัยที่ยืดหยุ่นของกู้อ้าวเวยแล้วคล้ายกับจะนอนที่ไหนก็สามารถหลับได้อย่างสบาย
แต่วันนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ค่อยจะเหมือนกัน
ท้องฟ้าอันมืดครึ้มถูกปกคลุมด้วยละอองฝน หน้าต่างพังที่ถูกลมพัดโกรกเกิดเป็นเสียงรบกวนดังขึ้นมา
ปีนั้นสูญเสียลูกไป ความรู้สึกที่ทำได้เพียงนอนราบบนเตียงไร้คนให้พึ่งพิงกลับกลายเป็นฝันร้ายตามมาหลอกหลอน กู้อ้าวเวยกุมอกเสื้อสะดุ้งตื่นจากความฝัน เงาของซ่านจินจื๋อคล้ายกับยังคงเดินเข้ามาจากที่ไกล ๆ เบื้องหน้ากลับหลงเหลือเพียงความเลือนรางเป็นแถบ น้ำตาร่วงรินในค่ำคืนอันแสนเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง
ฉูหลี่ที่อยู่ข้างกายตื่นขึ้นมาท่ามกลางความงงงวย กลับได้ยินเสียงดังแผ่วเบาดังลอยมาจากข้าง ๆ หู ตอนที่หยัดตัวขึ้น เห็นเพียงแต่กู้อ้าวเวยในชุดโปร่งบางกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างประตู ค่อย ๆ แหงนหน้าขึ้นมองบนหยาดน้ำที่สามารถร่วงรินอยู่บนชายคาเป็นเวลาเนิ่นนาน
ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทำให้พลทหารข้างกายตื่นตระหนก ฉูหลี่ค่อย ๆ เดินขึ้นมาอย่างเชื่องช้า และก็นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกายนางด้วย “นอนไม่หลับหรือ”
“ตอนกลางวันนอนเยอะเกินไป กลางคืนจึงนอนไม่หลับ” กู้อ้าวเวยตอบกลับอย่างราบเรียบ เหงื่อเย็นบนแผ่นหลังถูกกลมพัดจนเกิดความเจ็บและหนาวเย็น แต่กลับสามารถปัดเป่าการหวนกลับไปคิดเรื่องราวบางอย่างในสมองของนางได้ ฝันร้ายในค่ำคืนที่ขจัดเหตุผลไป
มักจะคุ้นชินแบบนี้แล้วเสมอมา
บนไหล่ถูกฉูหลี่คลุมเสื้อผ้าตัวหนาให้ กู้อ้าวเวยจึงยิ้มขึ้นมาเบา ๆ “ข้าไม่ได้เรียกท่านว่าพ่อเลยสักนิด แต่ท่านกลับเห็นข้าตั้งแต่แวบแรกก็ทำดีกับข้ามาก ๆ เสียแล้ว”
“เจ้าเป็นลูกสาวของข้า แต่กลับชอบพูดจาเป็นคนอื่นคนไกลเสมอ” ฉูหลี่ลูบกระหม่อมของนางตามปกติ ฟังเสียงหัวเราะเบา ๆ ของลูกสาว กลับเริ่มระส่ำระส่ายขึ้นมา “หากได้พบแม่ของเจ้า ข้าควรทำอย่างไร…”
“อยากทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นเถิด ตัวข้าเองก็ยากจะรักษาตัวเองได้อยู่แล้ว” กู้อ้าวเวยหดลำคอลง “พูดตามความจริง ข้าเองก็ไม่เคยเห็นท่าทีตอนนางโกรธเลยเหมือนกัน”
“พอนางโกรธขึ้นมา ใครก็ห้ามไม่อยู่” ไม่รู้เหตุใด ครั้นฉูหลี่นึกถึงท่าทีตอนที่หยุนหว่านโกรธกลับหัวเราะเบา ๆ ขึ้นมา ผ่านไปสักพักกลับลูบปลายจมูกอย่างละอายใจ “หากว่านางจะสามารถโกรธเพื่อข้าบ้าง คงจะดีสินะ”
กู้อ้าวเวยเหลียวกลับไปมองทางฉูหลี่อย่างจับพลัดจับผลู ในดวงตาสองข้างคล้ายกับเปื้อนด้วยรอยยิ้ม
นางไม่เข้าใจ ความรักมักจะนำมาซึ่งความเจ็บปวดอันไม่รู้จบ แต่เหตุใดฉูหลี่ยังคงเห็นมันเป็นราวกับน้ำผึ้งหวานได้
ความทรงจำในวันวานแล่นทะลักเข้าสู้จิตใจอีกครั้ง นอกจากแวบเดียวของโชคชะตาแล้ว กลับยังหลงเหลือความกลัวลึก ๆ เอาไว้ กู้อ้าวเวยไม่กล้าคิดมาก และไม่ยินดีแสดงความอ่อนแอใด ๆ ต่อหน้าของฉฉูหลี่อีกด้วย ทำเพียงกระแอมไอหลายที พลางกล่าว “เวลาดึกมากแล้ว ท่านรีบหน่อยเสียหน่อยจะดีกว่า วันพรุ่งนี้ยังต้องรีบเดินทาง”
“อืม” ฉูหลี่พยักหน้า และหยิบเอาผ้าห่มมาห่อตัวนางเอาไว้อีก คราวนี้จึงกลับไปนอน
นอนไม่หลับทั้งคืน วันถัดมาขึ้นสู่รถม้า กู้อ้าวเวยแทบจะไม่กล้ากินยาเพื่อจะนอนหลับเลย ฉูหลี่ควบม้ามาด้วยตัวเอง นางจึงพิงในรถม้ายกหนังสือที่เด็ก ๆ อ่านขึ้นมาอ่าน บางครั้งก็ยังอ่านออกเสียงหนึ่งย่อหน้าเพียงมาอภิปรายกับล่ายเสวียน รังแต่จะทำให้ล่ายเสวียนโกรธจนแทบจะอดรนทนไม่ไหวอยากใช้ดวงตาคมกริบมาสังหารผู้หญิงน่าหงุดหงิดคนนี้ทิ้งเสีย
ในที่สุดก็มาถึงชายแดนอย่างไม่ง่ายดายนัก ตอนที่ได้ยินพลทหารป้องกันชายแดนบอกว่าอ๋องจิ้งชางหลานจะมาหาคน และก็เป็นเรื่องปวดเศียรเวียรเกล้าเหลือหลาย จากนั้นฉูหลี่จึงส่งคนไปขับไล่อ๋องจิ้งออกไป ทางนี้จึงพานางไปปักหลักในร้านพักแขกแบบไม่ให้คลาดสายตา
เผชิญกับฉีหรัวที่เมื่อครู่เพิ่งจะส่งจนหมดเสร็จ หยินเชี่ยวถูกส่งกลับไปแล้ว ฉีหรัวจึงคารวะต่อฉูหลี่อย่างราบเรียบ รู้ว่าฉูหลี่มีพฤติกรรมเงียบเชียบ และก็ทำได้เพียงเกร็งหนังศีรษะเรียกว่าท่านลุง หลังจากนั้นจึงบอกกับกู้อ้าวเวย “ข้าแนะนำว่าให้ท่านไปพบกับอ๋องจิ้งเสียหน่อยดีกว่า”
“เพราะเหตุใด” หนังตาของกู้อ้าวเวยพลอยสะดุ้งโหยงตามขึ้นมา
“เขาได้รับคำสั่งให้พาองค์หญิงเอ่อตานไปหารือเรื่องแว่นแคว้นที่ชางหลาน อย่าลืมสิ ข่าวนี้เป็นข่าวที่ท่านแพร่ออกไปเองในตอนแรกนะ” ฉีหรัวลูบไหล่นางหนึ่งทีอย่างจนปัญญา “แต่ข้าก็กลัวว่าท่านจะถูกฮูหยินตีเอา ดังนั้นทางที่ดีท่านไปเกลี้ยกล่อมทั้งสองฝ่ายเสียหน่อย ไม่เช่นนั้นท่านก็คงจะต้องซื่อโลงศพรอไว้ได้เลยจริง ๆ แล้ว”
สีหน้าของกู้อ้าวเวยปั้นยากถึงขีดสุดแล้ว