บทที่ 514 วางยุทธวิธีให้กับบิดา
ซ่านจินจื๋อจำใจปิดปากลงเงียบสนิท อุ้มชิงจือเดินออกไปข้างนอก
รู้สึกเข้าใจเขาเป็นอย่างดีที่ก่อนหน้านี้ต้องเสแสร้งแกล้งทำเป็นรักใคร่ซูพ่านเอ๋อช่างทำให้เหนื่อยล้าทั้งกายใจ ผนวกกับคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาอย่างละเอียดดูแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกว่าทั้งคำพูดและการกระทำของซูพ่านเอ๋อนั้นมันไร้ซึ่งจริยธรรมจรรยา ไม่ใช่คนดิบคนดีอะไร
เพลานี้จ้องมองจดหมายที่ซูพ่านเอ๋อส่งมาจากแดนไหล เกรงว่าจะก่อให้เกิดความรู้สึกอันร้อนรุ่ม
นางแกะเปิดจดหมายออก พลางเอ่ยปากพูดขึ้นไปด้วยว่า “เท้าของชิงจือถูกฟองเอาไว้ เจ้าต้องอุ้มเอาไว้ ห้ามวางลง ระวังหน่อยนะ”
ซ่านจินจื๋อไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่กอดชิงจือแน่นขึ้นอีก พลางก้มหัวเล็กน้อยให้กับฉูหลี่ ถึงได้ย่างเท้าเดินออกจากเรือนไป
เนื้อความที่อยู่ในจดหมายมีเพียงสั้น ๆ ฉูหลี่เองก็ถลาตัวตามติดมาด้วย เพียงแค่ชำเลืองมองดูทีหนึ่ง “ซูพ่านเอ๋อผู้นี้รู้ได้อย่างไรกันว่าอ้ายหยินปรับกองทัพเป็นการลับ”
“แต่ว่าอ้ายจือใช้แผนซ้อนแผนไปก็พอแล้ว นางยิ่งรู้มาก เอาจริงก็นับว่ายิ่งดี”กู้อ้าวเวยยกมุมปากขึ้น เพียงแค่นำเอาจดหมายนับพับเอาไว้ ใส่ลงไปในกระเป๋าเงิน มองไปทางฉูหลี่ “ฝ่าบาท”
“ยังไม่เปลี่ยนคำเรียกอีก?”ฉูหลี่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พูดขัดจังหวะนางขึ้น
ก้มหน้าแล้วคิดอย่างพินิจพิเคราะห์ กู้อ้าวเวยก็ยังโคลงศีรษะไปมา “ถ้าหากว่าท่านแม่ยังไม่คลายความเคร่งนี้ลง ข้าก็จะไม่เรียกเพคะ”
“ช่างมีจริยธรรมจารีตที่ประพฤติเหมือนแม่ของเจ้า”ฉูหลี่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ทีหนึ่ง จ้องมองที่นาง “แต่เจ้ายังนับว่าเป็นคนที่ใจอ่อนมากกว่านางอยู่บ้าง ในตอนแรกที่ข้าได้ทำเรื่องพวกนั้น จวบจนถึงบัดนี้นางยังไม่ยอมยกโทษให้ข้า อ๋องจิ้งผู้นี้ทำเรื่องที่หนักหนามากกว่าข้าเป็นร้อยเป็นพันเท่า แต่บัดนี้เจ้ากลับอยู่กับเขาได้อย่างมีความสุขไม่กินแหนงแคลงใจ”
ปล่อยให้ฉูหลี่คิดสะระตะไปเรื่อย กู้อ้าวเวยเพียงแค่หัวเราะออกมาเบา ๆ “ในใจของท่านแม่มีท่านอยู่ ถ้าหากว่าทำท่าทีดูน่าสงสารดูอ่อนแอออกมาให้เห็น เป็นไปได้ว่าเพียงไม่กี่เดือนท่านแม่ก็จะต้องยอมใจอ่อน ยอมจำนนให้”
“อ๋องจิ้งก็ใช้วิธีนี้ทำให้เจ้ายอมใจอ่อน?”ฉูหลี่หยุดนางเอาไว้
“ไม่ใช่ว่าข้าใจอ่อน เพียงแค่เรื่องราวมากมาย ถ้าคอยแต่สร้างความเจ็บปวดให้ซึ่งกันและกันแล้ว สู้ปฏิบัติต่อกันด้วยความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาไม่ดีกว่าหรือ คนที่รับก็ต้องมอบความรู้สึกกลับไป ต่อไปในภายหน้าอีกกี่สิบปีก็จะติดตามพันผูกพวกเราไปด้วย แย่อยู่แค่เพียงเวลาสั้น ๆ”กู้อ้าวเวยตบลงบนถุงเงิน ยิ้มแล้วพูดไปว่า “ท่านแม่โกรธมาหลายปี ฝ่าบาทเองก็ต้องมีน้ำอดน้ำทน ในช่วงระยะเวลาอันสั้นอย่าได้รีบร้อน ในอนาคตข้างหน้าการมีคนอยู่ด้วยแบบนี้ ไม่ได้ยิ่งดีกว่าหรือ? ”
กู้อ้าวเวยพูดขึ้นอย่างเบิกบานใจ ฉูหลี่เองก็ตั้งอกตั้งใจฟัง ซ่านจินจื๋อที่อยู่ด้านนอกอุ้มชิงจือและหัวเราะออกมาเบา ๆ
พ่อลูกทั้งสองคนต่างก็หันหน้าไปมองพร้อมกัน มองเห็นหยุนหว่านที่ถือกล่องอาหารยืนอยู่ที่ประตู ท่าทางเหมือนกับได้ยินคำพูดของคนทั้งสองในเมื่อครู่นั้นอย่างชัดเจน สีหน้ามีดูกึ่งโมโหกึ่งรำคาญ วางเอากล่องอาหารลงในทันที “เวยเอ๋อ”
“ลูก……”กู้อ้าวเวยรู้สึกประดักประเดิดเหลือประมาณ
“ไปกินข้าวเถอะ”ซ่านจินจื๋อรีบพุ่งเข้ามารับหน้า รีบพากู้อ้าวเวยเดินออกไป
มาถึงที่ด้านนอกแล้วดูเหมือนว่าล้วนจะได้ยินเสียงของมารดาอย่างชัดเจน กู้อ้าวเวยเห็นชิงจือที่เอามือปิดปากและหัวเราะขึ้น ก็รู้สึกระอาใจ “เห็นท่านแม่มาแล้ว ก็ไม่เรียกข้านะ”
“ท่านป้าอยู่ด้านหน้า ข้าเองก็ไม่กล้าเรียกออกไปสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก”ซ่านจินจื๋อกอดชิงจือเอาไว้ จ้องมองสีหน้าท่าทางที่เต็มไปด้วยกลัดกลุ้มของกู้อ้าวเวย แล้วก็ดันชิงจือเอาไว้ในอ้อมอกของนาง มือข้างหนึ่งโอบคนตรงหน้าให้มาอยู่ข้างกาย “ไม่รู้ว่าบัญชีเก่าเนี่ยจะต้องคิดไปจนถึงเมื่อไหร่กันนะ”
“แต่เจ้าพูดเองแล้วว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือชดใช้คืนให้”กู้อ้าวเวยมองเขาอย่างไม่พอใจ พอหันหน้ากลับไปมองที่ชิงจือใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ “เมื่อใดก็ตามที่เจ้ากล้าคิดไม่ซื่อสัตย์แม้แต่น้อย ต่อไปทั้งเจ้าและข้าไม่ใครก็ใครต้องตายกันไปสักข้าง ต่อให้ไกลสุดล่าฟ้าเขียว ก็จะไม่ปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป”
ประโยคนี้ก็ได้สิ้นเสียงไปพร้อม ๆ กับสายลมที่พัดผ่าน ซ่านจินจื๋อรู้ดีกว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จึงไม่ได้เอามันมาใส่ใจ
กู้อ้าวเวยมักจะเป็นคนกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ทั้งคำพูดและการกระทำเป็นตามที่ว่านี้มาโดยตลอด อยากจะสมน้ำหน้าในสิ่งที่ไม่ควร ล้วนแต่ไม่ได้นับว่ากู้อ้าวเวยได้ลงมือแก้แค้นด้วยตนเอง แต่เป็นการใช้น้ำใจของคนเป็นดุจเช่นดาบเท่านั้นเอง
กู้เฉิงที่อยู่อีกด้านหนึ่งกลับกลัดกลุ้มในหัวอก ส่งข้อความไปสามหน กู้อ้าวเวยถึงจะตอบกลับมาสักฉบับ
“แคว้นเอ่อตานมีเรื่องมากมาย ซูพ่านเอ๋ออยู่ในงานเถลิงถวัลย์ ม้าศึกพันตัวนี่ก็ไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ”
พูดขึ้นอย่างกระชับรัดกุม เพียงแค่ให้กู้เฉิงได้รับรู้ว่าบัดนี้นางตกอยู่ในสภาวะยากลำบาก นางเองก็ปลอบโยนคนในตระกูลหยูนอย่างเต็มที่ สถานะความร่ำรวยของครอบครัวเพียงแค่เรียกเสียงความตกตะลึงจากเพื่อนข้างกาย มีเพียงแค่ฉีหรัวที่กลับไปยังอินโจวตั้งนานนมมาแล้วก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไรกับเรื่องนี้
กู้อ้าวเวยเองไม่เคยได้หยุดช่วยเหลือสำนักเยี่ยนหยู่เก๋อ ยิ่งไม่ต้องถึงเลยด้วยซ้ำว่าได้มาหยิบยืมมือของนางไปจัดการร้านค้าในหลายแห่งในเมืองอินโจวเพื่อเอาไว้ใช้สอย ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นการจัดการที่รกหูรกตาให้กับอ๋องจงผิง ในอีกด้านหนึ่งก็ถือว่าเป็นการจัดการหนทางธุรกิจให้กับอินโจว หลายปีผ่านไป นางก็สามารถกอบโกยขึ้นมาได้เป็นกอบเป็นกำ
ภายในรถม้าเฉิงซานก็ดูแลจัดการอย่างครบถ้วนใส่ใจ นายองครักษ์ลับของซ่านจินจื๋อเดิมทีเข้าไปในแคว้นเจียงเยี่ยนไม่ได้ ในตอนแรกถูกขัดขวางให้รออยู่ด้านนอก ครั้งนี้เองก็ไม่สามารถติดตามเข้าไปด้วยได้
ซ่านจินจื๋อเปลี่ยนแปลงหน้าตา กลายเป็นคนที่มีท่าทางคงแก่เรียน กู้อ้าวเวยยื่นเอาชิงจือไปไว้ในอ้อมกอดของฉูหลี่ด้วยความอาลัยอาวรณ์ เมื่อขึ้นรถแล้วพลันก็ได้มองเห็นท่าทางเช่นนี้ ก็หัวเราะขึ้นจนท้องขดท้อแข็ง ซ่านจินจื๋อทำหน้างอง้ำลง ทำให้กู้อ้าวเวยแสดงท่าทีออกมาไม่ง่ายนัก
กุ่ยเม่ยเองก็วิ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอย ถ่ายทอดข้อความต่อซ่านจินจื๋ออย่างละเอียดยิบ เขาเองต้องการอยู่เป็นเพื่อนกับฉูห้าวเพื่อจัดการสะสางธุระปะปังบางเรื่อง ต่อไปในภายหน้าจะได้บอกเล่ากระจายข่าวได้สะดวกยิ่งขึ้น
เป็นเช่นดังนี้แล้ว ที่ในรถม้าก็มีเพียงแค่นางและซ่านจินจื๋ออยู่ด้วยกันสองต่อสอง
กู้อ้าวเวยถูกบังคับให้นั่งลงบนพรมที่นุ่มนิ่ม “ขาของข้าดีขึ้นสักเจ็ดแปดส่วนแล้ว นี่ก็ไม่ใช่ฤดูหนาวด้วย เจ้ารู้ไหมว่ามันร้อนแค่ไหน?”
“ก็ดี”ซ่านจินจื๋อเอาขาของนางวางพาดไว้บนตักของตนเองอย่างนกรู้ แล้วค่อย ๆ นวดเบา ๆ
“แล้วธุระงานราชการพวกนั้นของเจ้าจะทำเยี่ยงไร?”
“ข้าช่วยหยวนเอ๋อจัดการพวกนายกองที่ไร้ประโยชน์พวกนั้น เขาเองก็ควรจะช่วยข้าสักหน่อย”ในตอนที่ซ่านจินจื๋อกำลังพูดนั้น รถม้าก็ได้เดินทางออกไป
กู้อ้าวเวยจำต้องสงบปากไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่ประคองม้วนหนังสือเอาไว้โดยไม่ยอมปล่อยมือลง
บนหนทางครั้งนี้มีซ่านจินจื๋อที่ไปเป็นเพื่อน กู้อ้าวเวยเองก็ไม่ต้องกังวลความเหน็บหนาวในยามค่ำคืน เพียงแค่เขยิบเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของซ่านจินจื๋อสักพัก ร่างกายพลันก็อบอุ่นขึ้น การใช้ชีวิตด้วยกำลังและสติปัญญาก็นับว่าไม่ได้มีนางเพียงคนเดียวที่ต้องแบกรับมันเอาไว้
เมื่อมาถึงเรือนพำนักในแคว้นเจียงเยี่ยน หนทางครั้งนี้ก็ได้ผ่านไปแล้วเป็นเวลาหลายวัน
ล่ายเสวียนได้พาม้าศึกพันตัวมารับด้วยตนเอง กู้อ้าวเวยลงจากรถม้า แล้วก็ทำทีไม่ยอมให้ซ่านจินจื๋อลงมาจากรถเนื่องด้วยความหวงแหนรักใคร่ เอาธนบัตรไม่กี่ใบยื่นส่งให้กับล่ายเสวียนเพียงเท้านั้น “เจ้าจะได้เอาไว้ใช้ จำนวนม้าศึกพวกนี้มากมายยิ่งนัก เพลานี้ความร่วมมืออย่างลับ ๆ ระหว่างแคว้นเอ่อตานและเจียงเยี่ยน ไม่สะดวกนักถ้าจะให้ใครรู้กันเยอะ เจ้าเองก็ไปตามที่อยู่ด้านบน ค่อย ๆ ย้ายกลับมาก็ได้แล้ว”
ล่ายเสวียนไม่เข้าใจธนบัตรพวกนี้ เพียงแค่ในตอนที่กำลังมองอย่างละเอียดอยู่นั้น ก็มองเห็นภายในมีกระดาษที่หนีบเอาไว้ด้วยกัน เขาเก็บของชิ้นนี้ลงอย่างระมัดระวัง แล้วก็ไม่ได้บอกกับใครอีก เพียงแค่กำชับว่า “เข้ามา ส่งฝ่าพระบาทเสด็จไปพำนักที่จวนของใต้เท้ากู้เป็นการชั่วคราวก่อน”
ในตอนที่กู้อ้าวเวยกำลังจะไปก็ได้ทำปากว่า——อ้ายจือ
แล้วก็เดินขึ้นรถม้าด้วยตนเอง
จวบจนกระทั่งที่รถม้าได้เคลื่อนตัวออกไปอย่างช้า ๆ ล่ายเสวียนก็ได้มายังบริเวณที่ไม่มีคนเห็น หยิบเอากระดาษที่อยู่ในธนบัตรนั้นออกมา
ที่ด้านบนนั้นมีชื่อสถานที่ที่อยู่ติดกับแคว้นเอ่อตานทั้งห้าที่ อีกใบหนึ่งเป็นแผนที่อย่างลวก ๆ ห่อยาแก้พิษหนึ่งห่อ และยังมีกระดาษอีกใบที่เขียนสถานที่ที่อยู่ของม้าศึก
และประโยคหนึ่งว่า
“ม้าศึกพันตัวจำต้องให้คนสนิทใช้ ถึงแม้อ้ายจือจะไม่ยอมเชื่ออะไรทั้งนั้น แต่บางทีก็อาจจะมีประโยชน์”
“หมายความว่ายังไงกัน?”ล่ายเสวียนไม่เข้าใจ แต่ในตอนที่ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าแว่วเข้ามา ก็ได้เก็บซ่อนทุกอย่างเอาไว้อย่างระมัดระวัง แล้วก็ยื่นธนบัตรที่ด้านบนมีเลขจำนวนไม่มากส่งให้กับข้ารับใช้ “นี่เป็นน้ำพระทัยเล็ก ๆ น้อย ๆ ของฝ่าพระบาท ไปเอาม้าศึกแล้ว ก็รีบกลับมายังแคว้นเจียงเยี่ยน”