บทที่ 516 ขมหวานปะปนกันไป
เด็กน้อยที่สุด!
กู้อ้าวเวยจำต้องเออออห่อหมกไปตามซ่านจินจื๋ออยู่สักพัก ในท้ายที่สุดยังเอนตัวจุมพิตลงที่ข้างแก้มอย่างลวก ๆ ถึงได้ทำให้ซ่านจินจื๋อผละตัวออกออกไปจากห้องรับรอง แล้วไปรออยู่ตรงแนวทางเดินยาวที่อยู่ด้านข้าง
“คิดไม่ถึงเลยว่าคนอย่างเจ้าจะไปตกหลุมรักเด็กคงแก่เรียนที่คิดจะทำอะไรไปตามอำเภอใจ”กู้เฉิงหัวเราะขึ้นอย่างอดเอาไว้ไม่ได้
กู้อ้าวเวยแสร้งนวดลงที่ปลายหูเบา ๆ ด้วยความกระดากอาย พูดขึ้นอย่างระอาใจว่า “ในตอนเริ่มแรกก็คิดไปว่าเขาดูมีหน้าตาท่าทางบางส่วนที่เหมือนกับซ่านจินจื๋ออยู่บ้าง คอยสอดส่องระมัดระวัง ใครจะไปรู้กันว่าเขากลับทำดีต่อข้าเป็นอย่างมาก เพียงแค่ว่ามีนิสัยตามประสาคนคงแก่เรียน ชอบถกเถียง ยิ่งไปกว่านั้นยังดูหยิ่งผยองเป็นอย่างมาก”
คำพูดประโยคนี้มีทั้งจริงและเท็จผสมกัน แล้วก็หลอกล่อทำให้กู้เฉิงต้องสับสนมึนงงไป
“ในครั้งนี้ฝ่าบาทเรียกให้เจ้าไป น่าจะเป็นด้วยเรื่องใช้การแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ แต่ในบัดนี้ตัวเจ้าเองได้พาคนรักมาด้วย ข้าเองก็ไม่รู้แล้วว่าพระองค์จะทรงตรัสถึงเงื่อนไขขึ้นว่าอย่างไร ”สายตาที่ดูยิ้ม ๆ พลันก็หายไปจากนัยน์ตาของกู้เฉิง เพียงแค่จ้องมองกู้อ้าวเวยที่กำลังรินน้ำชาให้กับคนเอง แต่กลับไม่ได้เอ่ยพูดอะไรออกมา
เงียบงันกันอยู่เป็นช่วงระยะเวลาที่นาน กู้เฉิงจึงได้พูดขึ้นต่อไปว่า “ถ้าหากว่าจะให้เจ้าแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์จริง ๆ แล้วล่ะก็ เจ้าเองก็คงจะไม่เต็มไปเป็นอย่างแน่เพียงแค่ม้าศึกหนึ่งพันตัวเนี่ยมันยังไม่พอที่จะทำให้ฝ่าบาททรงมาอยู่ข้างข้าได้ อ้ายหยินเองในบัดนี้ก็คิดแต่จะระราน……”
“พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูกนัก”กู้อ้าวเวยรีบพูดขัดจังหวะเขาขึ้น ดวงตาทั้งสองส่องประกายเล็ก ๆ ออกมา “เจ้าจะต้องมีทางหนีทีไล่เป็นอย่างแน่นอน ตอนนี้คิดจะดึงเอาฮ่องเต้โง่เขลาไร้ความสามารถ รู้จักเพียงแค่ลุ่มหลงไปกับความสนุกสนาน เบื้องหลังต้องมีตระเตรียมอะไรเอาไว้อย่างใหญ่โตล่ะสิ”
ในครั้งนี้กลับเป็นกู้เฉิงเองที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา มีเพียงแค่ใบหน้าที่ยังประดับเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม พลางหมุนแก้วที่อยู่ในมือไปมา
ที่ด้านนอกหน้าต่างลมก่อพัดขึ้นโชยพัด กู้อ้าวเวยใช้มือข้างหนึ่งรวบเอาผมที่กำลังพัดปลิวขึ้น แล้วก็พูดไปว่า “การปฏิบัติสำหรับฮ่องเต้ในตอนนี้ เกรงว่าจะเพื่อให้มีเหตุผลที่น่าไว้วางใจเพียงเท่านั้น”
“กลับไปกลับมาเช่นนี้ ตัวเจ้าเองก็จะสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจของใครต่อหลายคน ถึงจำเป็นที่จะต้องสนับสนุนล่ายเสวียน บุคคลที่มีสถานะเป็นทาสเช่นนี้”
เมื่อสิ้นเสียงลง แก้วที่อยู่ในมือของกู้เฉิงก็ร่วงตกลงบนพื้น สายตาตกตะลึงอย่างขีดสุด “เจ้าช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก”
“แต่ในตอนแรกเจ้าเองก็ยังไม่เคยได้ช่วยเหลือข้าจริง ๆ”กู้อ้าวเวยพูดขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉย ไม่โกรธ และไม่ยิ้ม เพียงแค่ค่อย ๆ หยัดกายลุกขึ้น “ถ้าคิดว่าอยากจะให้ข้าช่วยเหลือละก็ ไปคิดหาวิธีทำให้ซูพ่านเอ๋อกลายเป็นคนผิดขึ้นมาเสียก่อน รอให้ถึงตาข้าที่ได้ทำให้นางทุกข์ทรมานจนพอใจแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เจ้าคิดอยากจะทำหรอก ต่อให้เป็นตำรับยาอมตะนั้นข้าก็จะหามาให้เจ้า”
“เจ้ารู้ตำรับยานั้น!?”กู้เฉิงเงยหน้าขึ้นด้วยความตกอกตกใจ สายตาทั้งสองเต็มไปด้วยความรู้สึกยินดี
กู้อ้าวเวยพยักหน้าลงด้วยความเรียบเฉย หยิบเอาก้อนเงินออกมาจากอกเสื้อแล้ววางลงบนโต๊ะ พูดขึ้นด้วยเสียงต่ำ “เรื่องของเชือกทวงชีวิตในวันนั้น เพื่อที่จะให้ข้าได้รับรู้ความจริงในปีนั้นนั่นเอง”
“แต่ข้ามีเชือกทวงชีวิต ก็ต้องรู้ส่วนผสมของตำรับยานั้น”
“แท้ที่จริงแล้วนั้นในตอนแรกเข้าต้องการบังคับให้ข้าพูดความจริงออกมา”สีหน้าของกู้เฉิงสงบเยียบเย็นลง ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเรื่องทวงชีวิตที่ได้ทำให้ถือกำเนิดใหม่อีกครั้ง โลงศพของหยุนหว่านก็ได้ถูกขโมยไปอีก เขาคงจะไม่ทำตัวเป็นต้องคอยไปพึ่งพิงเช่นดังนี้ มีรากฐานที่ไม่มั่นคงจึงต้องไปอิงแอบอาศัยองค์ชายสาม ตกอยู่ในสภาะที่น่าเวทนา โดยที่ไม่ได้ประโยชน์อันใดกลับคืนมาสักนิด
แต่กู้อ้าวเวยกลับรู้เรื่องเชือกทวงชีวิตและโลงศพของท่านแม่ในปีนั้น ทั้งหมดนั้นมันสำหรับทิงเฟิงเก๋อ นางรับรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ในตอนนี้ใช้มาข่มขู่กู้เฉิง ก็นับว่าลงจังหวะพอเหมาะพอเจาะอย่างพอดี
“ในครานั้นข้ากลับสงสัยว่าเจ้าไม่ใช้บิดาแท้ ๆ ของข้า บางครั้งก็ได้ยินเรื่องนี้ที่บรรพบุรุษหลายในเมืองเทียนเหยียนพูดกันมาก่อน และก็มาตระหนักได้ว่าฉิงคุนที่อยู่ในนั้น เมื่อได้รับเชือกทวงชีวิตไปแล้ว ข้าเองก็ไปที่ตระกูลหยูนครั้งหนึ่ง และก็ได้ไปยังหลุมศพของท่านตา ในที่สุดก็รับรู้เพียงแค่ส่วนเล็กน้อย”
กู้อ้าวเวยจงใจบอกรายละเอียดที่ผ่านมาให้ฟังทั้งหมด
กู้เฉิงเองก็ได้ตกหลุมเข้า ใบนี้ต่อให้นับว่าไม่อยากเชื่อ ก็ต้องเชื่อ
“พูดไปพูดมาเช่นนี้แล้ว หยุนหว่านจริง ๆ แล้วคือ……”
“ข้าเองได้นับเอาซากกระดูกของท่านแม่ไปส่งที่ภูเขาเทียน ฝังเอาไว้ให้เป็นเพื่อนกับท่านตา บริเวณเขาหยินซานไม่ใช่ที่ที่ดีสักเท่าไหร่”เมื่อกู้อ้าวเวยพูดถึงตรงนี้แล้ว ดวงตาก็ปรากฏให้เห็นถึงความโศกเศร้า เรียกให้กู้เฉิงเข้าไปดูจนโดยตลอด
แต่กู้เฉิงกลับจำได้ว่าตัวเองเคยพบกับหยุนหว่าน เมื่อคิดกลับไปกลับมาดูแล้ว นั่นอาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นเพียงแค่ในความฝัน โลงศพของหยุนว่านเองจริง ๆ แล้วก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร มิหนำซ้ำคนก็ได้เสียชีวิตจากไปตั้งกี่สิบปีมาแล้ว ไม่ปรากฏตัวขึ้นที่เมืองเทียนเหยียน จะไปมีความสามารถทำเรื่องพวกนี้ได้กันเสียที่ไหน
และในปีนั้น กู้อ้าวเวยก็เป็นพระชายาของอ๋องจิ้ง เบื้องหลังก็มีตระกูลหยูนคอยปกป้อง ต่อไปยิ่งได้อาศัยใบบุญ ก็นับว่ามันช่างสอดคล้องเข้ากับเรื่องพวกนี้เสียเป็นอย่างดี
“ข้าช่วยเจ้าได้นะ แต่ว่าข้ากับซูพ่านเอ๋อไม่ได้มีความสัมพันธ์ต่อกัน”ในที่สุดกู้เฉิงก็ตกปากรับคำ
“จะไม่มีความสัมพันธ์ต่อกันได้อย่างไร นางเป็นบุตรสาวของเจ้า ฮัวหลี”ในจังหวะนั้นกู้อ้าวเวยกัดฟันพูดชื่อฮัวหลีสองพยายามนี้ขึ้น “ในตอนนั้นนางมีใจรักต่ออ๋องจิ้ง วางยาพิษสังหารซูพ่านเอ๋อหวังเข้าไปแทนที่ แม้กระทั่งนำเอาหนังหมีที่ถูกทำร้ายจนตายลงในหมู่บ้าน ต่อมาติดตามซ่านจินจื๋อพยายามที่จะแย่งชิงราชบัลลังก์ บัดนี้กังวลว่าอ๋องจิ้งจะมีใจต่อข้า คิดไม่ถึงเลยว่าจะกลับมาแสดงละครตบตาในปีนั้น คิดจะสังหารข้าให้ตาย แล้วเข้ามาแทนที่”
เมื่อสิ้นเสียงลง กู้เฉิงก็ได้เข้าใจเรื่องราวขึ้น “ฮัวหลีช่างเป็นลูกสาวที่อกตัญญูเสียจริง ๆ”
“ใต้เท้าเป็นคนจริงใจ”กู้อ้าวเวยหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วผลักบานประตูของห้องรับรองออก “เข้าไปในพระราชวังในวันพรุ่ง ใต้เท้าไม่ต้องทำตัวสนิทสนมกับข้า จะได้ไม่ต้องทำให้ใครมาสงสัยเข้า”
เมื่อบานประตูปิดสนิทลง การนัดหมายของคนทั้งสองก็ได้สิ้นสุดลงเช่นกัน
โสตประสาทของซ่านจินจื๋อช่างไวเป็นอย่างยิ่ง ได้ยินการสนทนาของทั้งสองคนจนเต็มสองรูหู เมื่อเดินมาถึงบนบริเวณถนน พลันก็ได้จับเข้ากับมือที่เย็นเฉียบของกู้อ้าวเวย จ้องมองที่นาง “อ้ายหยินมีกำลังเหลือคณา ถ้าหากว่ากู้เฉิงได้รับการสนับสนุนจากฮ่องเต้อยู่เบื้องหลังจริง ๆ ละก็ แคว้นเจียงเยี่ยนนี้จะต้องถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนแน่”
“นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ข้าต้องการอยู่พอดี”กู้อ้าวเวยจับมือเขากลับไป หัวเราะเสียงเบา ๆ “กู้เฉิงเองก็ยังนับว่ามีประโยชน์ เพียงแค่เก็บเขาเอาไว้ กู่เซิงและอ้ายจือก็มีความสามารถในการเดินหมากอย่างยุติธรรม อีกทั้ง……ครั้งนี้ซูพ่านเอ๋อก็จะหนีไม่พ้นแน่ ๆ”
“เจ้าปล่อยให้นางไปคอยสืบเอาหลักฐานกระทำความผิดให้เจ้า แล้วก็ยังพูดว่านางคิดอยากจะช่วงชิงราชบัลลังก์ ภายหลังถ้าพูดว่านางในช่วงจังหวะนั้นจงใจมาอยู่กับข้าเพื่อสร้างรอยร้าว ข้อหาเชลยพวกนี้–ตกลงมา ก็นับว่าไม่น้อยเลยนะ”
“ถึงแม้ว่าจะไม่น้อย แต่ก็ยังไม่ถึงตาย ข้าไม่คิดอยากทำให้มือของตัวเองต้องมาแปดเปื้อน เอาเรื่องพวกนี้ให้กู้เฉิงไปจัดการ ก็นับว่าเป็นเรื่องไม่เลว”กู้อ้าวเวยเอียงศีรษะจ้องมองเขา “เมื่อไหร่องค์ชายสามและฉูห้าวจะยกทัพ”
“สามวันหลังจากนี้ ถ้าหากว่าอ้ายหยินมันคิดวางแผนจะช่วงชิงราชบัลลังก์ ด้วยความกดดันแล้ว ก็จะต้องปรากฏให้เห็นถึงความทะเยอทะยานที่อยู่ในใจ”ซ่านจินจื๋อพูดเช่นนี้ออกมา พลางก็หยุดฝีเท้าลง สบตากับกู้อ้าวเวย “ในตอนแรกเริ่ม ข้าคิดว่าแผนการของเจ้าคือทำให้กู้เฉิงมันฟื้นคืนมาไม่ได้อีก”
“แต่ว่าไม่เชื่อในเรื่องทุกอย่างที่เจ้าทำมาทั้งหมด”กู้อ้าวเวยจ้องมองเขาอย่างเงียบ ๆ แล้วค่อย ๆ ดึงมือออกจากการกุมของเขา มีเพียงเส้นผมที่อยู่ข้างหูพลิ้วไหวลู่ตามลงทิ้งตัวลงบนไหล่ของซ่านจินจื๋อ สายตาสองข้างปะทะเข้ากับลมจนต้องหยีตาลง แล้วยิ้มต่อไป “แต่ในตอนนี้ ข้ายังไม่ได้บอกแผนการของข้าให้เจ้าฟัง เจ้าก็รู้เข้าเสียแล้ว”
“ดูท่าเวรกรรมอันนี้ของเจ้า เจ้าจะตัดมันไม่ขาดเสียแล้ว”ซ่านจินจื๋อเองก็ลดมือลงเช่นกัน โดยไม่ได้คิดจะแตะต้องอีก
กู้อ้าวเวยเพียงแค่เร่งฝีเท้าเดินรุดหน้าไป ในใจสั่นไหวขึ้นเล็กน้อย
ใครก็เดาใจของนางไม่ออก และก็ยิ่งนึกไม่ออกว่าแผนการของนางจะเป็นเช่นใด แต่ซ่านจินจื๋อใช้เวลาฟังไปเพียงแค่นิดเดียวกลับรู้ความจริงทั้งหมดเข้า โดยที่ตนเองก็ไม่ใช่คนที่ฉลาดปราดเปรื่องที่สุด แต่เพราะว่าทั้งสองคนมีส่วนละม้ายคล้ายกัน ราวกับเป็นกระจกสะท้อนของกันและกัน
ทั้งสองต่างก็ไม่ชอบกันและกัน แต่กลับไม่สามารถแยกออกจากกันได้
ซ่านจินจื๋อเดินตามอยู่ที่ด้านหลังของนางมาติด ๆ “การแก้แค้นของเจ้าไม่ช้าและก็ไม่เร็วจนเกินไป”
“ก็เป็นเช่นนี้แล้ว ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วนิสัยที่โกรธง่ายมุทะลุ และหุนหันพลันแล่นของเจ้า จะไปช่วยให้ใครสงบได้”กู้อ้าวเวยเอียงหน้าไปยิ้มให้เขา “มีข้าอยู่ข้างกาย จะเรียกเจ้าไว้ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง”
“ความเจ้ากี้เจ้าการของข้า เจ้าเองก็เรียนรู้ไปทั้งหมด”ซ่านจินจื๋อกลอกตามองบนอย่างระอาใจ
นัยน์ตาของคนก็เคร่งขรึมลง มีที่ไหนที่ทั้งสองคนจะอดทนเสียจนทำความลำบากให้กันและกัน เอาความตายมาไว้ที่ตรงเบื้องหน้า
แต่ทว่าชีวิตนี้มันยังอีกยาวไกล มีทั้งหวานและขมปนกันไป
ถนนสายนั้นทอดยาวสุดลูกหูลูกตา แต่สองคนกลับต่างคนต่างเดิน คนหนึ่งรุดหน้า อีกคนอยู่ด้านหลัง โดยที่ไม่ได้แตะต้องและสัมผัสกัน