บทที่ 518 คนที่ยังมีชีวิตอยู่เป็น ๆ
ซ่านจินจื๋อกลับยึดเอาไว้ที่บริเวณศีรษะด้านหลังของนางด้วยท่าทีเรียบเฉย
“เจ้าเป็นฝ่ายเริ่มก่อน”เพียงแค่กลืนเสียงที่ร้องขึ้นด้วยความตกใจของกู้อ้าวเวยลงไปอยู่ในท้อง
นางระบำและเสาเพลิงต้นนั้นก็เพียงพอที่จะขโมยสายตาของทุกคนไป กู้อ้าวเวยกลับต้องค่อย ๆ ถลึงตาเพื่อยอมรับกับการจุมพิตที่ดูกระหายและดุดัน หลังจากที่ตกตะลึงแล้วก็ค่อย ๆ ผลักคนออกเบา ๆ จ้องมองเขาด้วยสายตาที่ไร้ซึ่งความคุกคาม “อย่าวุ่นวายนัก”
ซ่านจินจื๋อพอจะสำนึกผิด ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงจ้องมองกลับไปอย่างเงียบ ๆ
ภายในจมูกก็เหมือนกับรู้สึกถึงกลิ่นที่แปลก ๆ บริวารที่อยู่ข้างกายกลับค่อย ๆ เอาจอกสุราวางลงข้างมือของกู้อ้าวเวย จมูกของกู้อ้าวเวยค่อนข้างไวต่อกลิ่นมาโดยตลอด หนึ่งในนั้นมีกลิ่นที่ผิดปกติ แต่นางกลับรินให้ตัวเองและซ่านจินจื๋อคนละจอก พร้อมกับไม่ลืมที่จะหัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าคออ่อน อย่าดื่มเยอะนักล่ะ”
ซ่านจินจื๋อพยักหน้า เพียงแค่เอาจอกเหล้านั้นมาแล้วจิบลงไปหนึ่งคำ แต่กู้อ้าวเวยกลับดื่มลงทั้งแก้วรวดเดียวในทันที ยังหันไปยิ้มให้กับทาสรับใช้คนนั้นอย่างหน้าชื่นตาบานว่า “อยู่ข้าง ๆ นี่ล่ะ”
ทาสรับใช้วางแผนที่จะผละตัวออกไป แต่กู้อ้าวเวยกลับดึงเขาไว้โดยไม่สามารถปฏิเสธได้อย่างง่าย ๆ สายตาพุ่งเป้ามองไปที่บนเวทีจุดเดียวโดยไม่ยอมละสายตา
เปลวเพลิงที่อยู่เบื้องหน้าชัดแจ้ง นางระบำเต้นอยู่กลางเปลวเพลิง ชุดกระโปรงพริ้วมีไฟติดสะบัดไปด้วย
ขี้เถ้าที่มีกลิ่นไหม้ได้พัดกระจายออก นางระบำผู้นั้นกำจัดเสื้อผ้าส่วนที่ติดไฟ เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย
ในเพลานี้เอง กู้เฉิงก็ได้ตบโต๊ะลงและกระโดดผึงลุกขึ้น ตะโกนก้องขึ้นว่า “ปกป้องฝ่าบาท!”
คณะเล่นกลที่อยู่ใต้เสาเพลิงนั้นต่างก็กระโดดขึ้น ผงฝุ่นสีเหลืองอ่อน ๆ ทะลักปลิวออกมาจากในถึงที่ปูดออกมาของพวกเขา เปลวไฟสาดกระเซ็น ที่เบื้องหน้าไม่ว่าอะไรต่อมิอะไรต่างก็ถูกผงสีเหลืองอ่อนนี้บดบังสายตาไปจนหมด
ฉากงานเลี้ยงกลายเป็นภาพแห่งความโกลาหล สะเก็ดไฟที่บินว่อนดูเหมือนว่าพอตกลงกับพื้นก็จุดติดลุกไหม้ พรมที่อยู่ใต้เท้าต่างก็มีไฟลุกขึ้น ช่างเป็นภาพที่น่าตกอกตกใจเสียงจนเหล่าบรรดาขุนนางชั้นสูงรีบวิ่งหนีออกไปด้วยความรวดเร็ว
รอให้บรรดากลุ่มองครักษ์ได้หาบน้ำเข้ามา คนจำนวนมากมายที่อยู่ใต้เสาเพลิงของคณะเล่นกลนั้นต่างก็ยอมใช้ยาพิษปลิดชีวิตตน พวกบรรดาเสนาขุนนางชั้นสูงต่างก็พากันหนีไปเป็นที่เรียบร้อย แม้กระทั่งฮ่องเต้เองและกู้เฉิงต่างก็พากันวิ่งหนีหายอย่างที่ไม่ได้เกินไปจากความคาดหมายเท่าไรนัก
หลังจากที่ฝุ่นควันล้วนจางหายไปแล้ว มีเพียงแค่กู้อ้าวเวยและซ่านจินจื๋อที่ไม่มีการขยับเขยื้อนตัวใด ๆ สักนิด ทาสรับใช้ที่อยู่ข้างกายกลับถูกซ่านจินจื๋อยกมือขึ้นขัดขวางจับกุมเอาไว้
กู้อ้าวเวยที่สวมใส่ไว้ชุดหรูหราสีเหลืองนวล บัดนี้ท่ามกลางความวุ่นวายโกลาหลนางก็ยังคงหลังตรงเหมือนในตอนแรก เพียงแค่หยิบเอาผ้าขึ้นมาเช็ดเศษฝุ่นตามใบหน้า แล้วค่อย ๆ หยัดกายลุกขึ้น ปัดเอาเศษฝุ่นผงตามเนื้อตามตัว ค่อย ๆ เผยอปากขึ้นพูดกับพลทหารของแคว้นเอ่อตานที่อยู่ด้านหลัง “นำเอาทาสผู้นี้ลงไปทรมานด้วยโทษร้ายแรง”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าพระบาท”พลทหารทั้งสองคนฉุดกระชากลากถูทาสรับใช้คนนั้นออกไป
กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้น จ้องมองไปทางฮ่องเต้ของแคว้นเจียงเยี่ยน “ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตัวข้านี้มีวิชาทางแพทย์ติดตัวมา เกรงว่าวันนี้ชีวิตคงจะต้องหาไม่ไปแล้ว”
“นี่มัน……”เป็นเวลาอยู่นานที่ฮ่องเต้ยังเรียกสติกลับมาไม่ได้
“ในสุรามียาพิษ เอามาเผาพร้อมกับผงสีเหลืองนี่แล้วเอาชีวิตคนไปได้เลยนะ”กู้อ้าวเวยหัวเราะขึ้นด้วยเสียงเยียบเย็น พลางดึงซ่านจินจื๋อมาอยู่ข้างกาย จ้องมองไปทางฮ่องเต้ “สุรานี้ตกอยู่ในมือข้า ข้าก็รู้ได้ในทันที ถ้าหากว่าพระองค์ทรงไม่เชื่อ ก็จงไปให้โรงหมอหลวงมาตรวจสอบดูสุราของแขกแต่ละคนเถิด”
เมื่อพูดจบ กู้อ้าวเวยเพียงแค่เร่งฝีเท้าไปอยู่ที่ข้างกายของกู้เฉิง พยักหน้าเบา ๆ “ถึงแม้ว่าข้าจะสังเกตเอาได้ แต่ก็ยังต้องขอบคุณท่านใต้เท้าที่เตือนเข้า ครั้งนี้มาที่นี่ บรรลุจุดประสงค์ ผ่านไปไม่กี่วันข้าก็จะต้องกลับไปแคว้นเอ่อตาน”
กู้อ้าวเวยไม่ได้ให้เขาใช้เวลาตรึกตรองได้นาน แล้วก็รีบพาซ่านจินจื๋อสาวเท้าอย่างเร่งรีบจากไปด้วยความโมโห
ตลอดทางราบรื่นไร้ซึ่งการกีดขวาง เดิมทีกู้อ้าวเวยควรจะแสร้งทำท่าทีโมโห แต่บัดนี้กลับโมโหขึ้นมาจริง ๆ ทุกอย่างนี้ล้วนตกอยู่ภายในสายตาของซ่านจินจื๋อ เมื่อตอนที่ได้ผละออกมาจากวังหลวงแล้ว ยกมือขึ้นนวดเบา ๆ ตรงท้ายทอยของนาง แล้วก็ใช้นิ้วมือนวดไปตามลำคอเพื่อปลอบปะโลมให้ผ่อนคลายลง
แต่กู้อ้าวเวยกลับยังคงหัวรัดฟัดเหวี่ยงด้วยความเดือดดาล นัยน์ตาดูแหลมคม
“เขาข้าคน แต่ตัวข้ากลับไปตัวช่วยให้เขาทำชั่ว”ในที่สุดนางก็ระเบิดอารมณ์พูดออกมาด้วยความโมโห “ถ้าไม่ใช่เพราะว่าในตอนนั้นข้าทำใจให้สงบลง คงจะได้เอากระบี่เสียบเขาให้ตายไปแล้ว จัดการทุกอย่างไปเรียบร้อย ยังต้องให้ข้าอดทนเอาไว้อีก”
ไม่แน่ใจว่าประโยคนี้ถือว่าเป็นการต่อว่าใครกันแน่
ซ่ายจินจื๋อบับที่ไหล่ของนางอย่างระมัดระวัง “ต่อไปถ้าตัวเองรู้ในคำตอบอยู่แล้ว แล้วทำไมถึงจะต้องโกรธตัวเองด้วย”
“ถ้าหากว่าไม่โกรธตัวเอง ต่อไปเวลาทำเรื่องอะไรผิดก็จะไม่รู้จักแก้ไข”เมื่อกู้อ้าวเวยพูดถึงตรงนี้แล้ว ก็เอียงหน้าไปมองซ่านจินจื๋อ “จะว่าไปแล้ว เหตุการณ์ในวันนี้ก็เป็นกู้เฉิงที่เป็นคนก่อ เพียงแค่ต้องการจะผลักความหายนะในวันนี้ไปให้อ้ายจือ ในแคว้นเจียงเยี่ยนมีคนไม่น้อยเลยที่รู้ว่าอ้ายจือรู้เรื่องพิษเป็นอย่างดี เพียงแค่ว่า ซูพ่านเอ๋อฟากนั้นต้องการทำอะไรกันแน่?”
“ไม่รู้เหมือนกัน”ซ่านจินจื๋อโคลงศีรษะไปมา “นางจะทำอะไร ข้าควรจะต้องรู้ด้วยหรือ?”
กู้อ้าวเวยหัวเราะด้วยเสียงเยือกเย็น แล้วก็ยังคงไม่ยอมขึ้นไปบนรถม้า เพียงแค่สะบัดปลายแขนเสื้อไปทางถนนสายยาวที่เวิ้งว้างเงียบสงบ
ซ่านจินจื๋อรู้สึกงงไปหมด เพียงแค่รู้สึกว่ากู้อ้าวเวยอารมณ์ขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นส่วนใหญ่คือการระบายลงอารมณ์เสียมากกว่า
จึงจำใจต้องค่อย ๆ สาวเท้าติดตามไป
ครั้งนี้ ในใจของซ่านจินจื๋อมีความรู้สึกว่ากำลังตึงเครียด เพียงสองพยางค์นี้เท่านั้น
กู้อ้าวเวยยังไม่ทันเดินไปได้ไกล คนชุดดำหลายคนก็โผล่ตัวถลาออกมาจากข้างต้นไม้ แส้ยาวที่อยู่ในมือยิ่งทำให้ซ่านจินจื๋อรู้สึกกังวลมากขึ้นไปอีก กลัวว่านางจะหลบไม่ทัน
ถึงแม้ว่ากู้อ้าวเวยภายในใจจะยังเดือดดาล แต่บัดนี้ทั้งอารมณ์และสติกลับกระจ่างชัด แล้วรับแส้นั้นเอาไว้ต่อหน้าซ่านจินจื๋อ พลิกมือจับเข้าที่ปลายของแส้เอาไว้แล้วกระชากคนที่อยู่บนกำแพงให้ตกลงมา คนที่เหลือต่างก็กำลังคันไม้คันมือรอพุ่งตัวเข้าโจมตี แต่ซ่านจินจื๋อกลับใช้กระบี่ยาวที่อยู่ใกล้ไม้ใกล้มือขวางขึ้นเอาไว้ กู้อ้าวเวยสะบัดตัวกดลงที่ร่างของคนหนึ่งในนั้นเอาไว้ ฝักของดาบยัดเข้าไปในปากของเขา แต่ในตอนที่ไม่ทันระวัง ที่ทรวงอกก็โดนฟาดผ่านเข้ามาจนเป็นรอยแผลเป็นทางยาว
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างไม่ทันได้กระพริบตา ซ่านจินจื๋อจำได้แค่ว่าเมื่อครู่ตอนที่กู้อ้าวเวยกำลังรับแส้ที่ส่งเสียงแหวกผ่านอากาศดังลั่นนั้น ในใจก็ปรากฏไปด้วยความกระหายอยากจะเข้าไปสังหาร คนพวกนั้นหลายคนล้วนแต่ถูกกดลงเอาไว้กับพื้นหมดหนทางที่จะลุกขึ้นมาได้ ดวงตาทั้งสองมีสีแดงเลือดขึ้นเป็นริ้ว ๆ
จวบจนเมื่อตอนที่กู้อ้าวเวยได้เอาแขกที่พุ่งตัวเข้ามาทำร้ายแล้วนางกอดเอาไว้ได้ส่งมอบให้กับทหารของแคว้นเอ่อตาน ถึงได้พุ่งตัวเข้ามาขวางซ่านจินจื๋อเอาไว้ “ถ้าจะทำร้ายเขาต่อไปอีก พวกมันจะต้องตายลงหมด”
“ตายเสียได้ก็ดี”ซ่านจินจื๋อคิดอยากจะสะบัดคนที่กอดเขาเอาไว้ออก แต่สายตาที่เหลือพลันให้ไปชำเลืองเห็นคราบเลือดที่อยู่ตรงไหปลาร้า อีกทั้งยังมีคราบสีแดงที่เปรอะเปื้อนอยู่ตามผิวกายขาวนวล ความบ้าคลั่งคิดอยากจะสังหารพวกนั้นก็ได้มลายไปในทันที มีเพียงแค่ความครุกรุ่นภายในใจที่ยังไม่จางหายไป แล้วก็รีบเอาเสื้อผ้าคลุมนางเอาไว้ให้ดี พูดขึ้นด้วยความเดือดดาล “เมื่อครู่เจ้ารู้ถึงสิ่งผิดปกติขึ้นใช่ไหม?”
“ใช่”กู้อ้าวเวยกระเดือกน้ำลายลงอย่างไม่ทันได้รู้สึกตัว แล้วก็ยังไม่ทันพูดจบ ซ่านจินจื๋อพูดกลับมาด้วยเสียงอันดังก้อง เสียจนทำให้บาดแผลสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อครู่ของนางต้องรู้สึกปวดขึ้นตามไปด้วย
“ช่วงนี้เจ้าห้ามสลัดข้าทิ้งไปเป็นอันขาด”
ซ่านจินจื๋อจ้องมองนางที่ยังคงทำท่าทางเหมือนกับว่าทุกอย่างมันควรจะเป็นเช่นนี้ ก็ได้พุ่งตัวเข้าไปอุ้มนางเอาไว้ กู้อ้าวเวยก็รู้สึกเพียงแค่ว่าที่ด้านหลังโดนแส้เข้าจนได้รับบาดเจ็บและตอนนี้ก็รู้สึกปวด จนเรียวนิ้วกำเอาเสื้อของซ่านจินจื๋อเอาไว้แน่น ใบหน้าขาวโพลน “ข้าไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ยังมีชีวิตแถมจับคนนึงเอาไว้ได้……”
“เงียบไปเลย”ซ่านจินจื๋ออุ้มเอาไว้แน่น สาวเท้าอย่างรวดเร็วตรงไปยังเรือนพำนัก
บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าในช่วงนี้ซ่านจินจื๋อดูอ่อนโยนนุ่มนวล จนเกือบจะทำให้กู้อ้าวเวยลืมนิสัยหน้าตาท่าทางแบบเดิมของเขา บัดนี้ถูกซ่านจินจื๋อกอดเอาไว้แนบกับอก แต่ในสมองของนางกลับวุ่นวายสับสนจนยุ่งเหยิง
พลทหารของแคว้นเอ่อตานที่อยู่ด้านหลังปรากฏกายขึ้นในทันทีพร้อมกับจับกุมจอมวายร้ายพวกนั้นเอาไว้อย่างเรียบร้อย แต่ละคนจ้องมองกันไปมา โดยที่ไม่แน่ใจว่าควรจะขวางซ่านจินจื๋อเอาไว้ดีหรือไม่
ในจังหวะที่สาวเท้าอย่างเร่งรีบกลับคืนสู่เรือนพำนัก ซ่านจินจื๋อก็ได้วางนางลงบนเตียง ยกมือขึ้นเตรียมถอดเสื้อผ้าของนางเพื่อสำรวจบาดแผล
“ไม่นะ!”กู้อ้าวเวยใช้แม้กระทั่งขาเตะเขาไปทีหนึ่ง ส่วนอีกมือยังคงจับเสื้อของซ่านจินจื๋อเอาไว้แน่น “พวกนี้มันก็แค่บาดแผลเล็กน้อย ไม่……”
“ไม่เจ็บจริง ๆ รึ?”ซ่านจินจื๋อกดคนเอาไว้บนเตียง ใช้เรียวนิ้วแตะลงบนบาดแผลของนาง เห็นนางค่อย ๆ เลิกคิ้วขึ้น คำพูดที่อยู่ในใจที่ไม่เคยได้พูดออกไปก็พรั่งพรูออกมา “นี่เจ้าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยกลัวความเจ็บปวดใช่ไหม นับตั้งแต่เมื่อครั้งก่อน เจ้าก็มักจะมีท่าทีเยี่ยงนี้”
“นี่เจ้ายังทำเหมือนตัวเองเป็นคนที่ยังมีเลือดมีเนื้ออยู่หรือเปล่า?